วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง

สำหรับวันนี้ผมมีเรื่องราวข่าวดี ที่ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้รู้ได้เห็นผ่านสื่อหลักอย่างทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์หรือแม้แต่สื่ออนไลน์เอง ก็น่าจะเคยผ่านหูผ่านตาคุณผู้มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย แต่ในที่นี้จะเป็นการทบทวนเรื่องราวข่าวดีดังกล่าวให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้รู้ ได้ยินได้ฟังมาก่อน ได้รู้และอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม​ในการทิ้งขยะของคุณผู้อ่านในอนาคตก็เป็นได้

 คุณผู้อ่านจำเรื่องที่ผมนำเสนอไปเรื่องขยะพลาสติกได้ไหมครับ ในตอนนั้นผมได้ตั้งคำถามเกี่ยวการจัดการขยะพลาสติก ว่าเราควรจะให้มันไปสิ้นสุดที่ไหนดี ใช่แล้วครับ ข่าวดีที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้น ก็คือ เรามีที่ให้ขยะพลาสติกและ ผลิตภัณฑ์​ บรรจุภัณฑ์​เหลือทิ้ง โฟม หรือแม้แต่ขยะที่เป็นผลพวงจากผลิตภัณฑ์​จากยางพารา และอื่นๆ ไปที่ชอบๆได้แล้วครับ  ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ เขาคิดและทำได้มานานแล้วครับ จากคลิปในยูทูปที่ผมไปไล่ดู มีคลิปนึงเกี่ยวกับเรื่องจัดการขยะพลาสติกนี้ มีคนลงไว้ให้ดูตั้งแต่สิบปีที่แล้ว และมีคลิปอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ยังนานเป็นห้าหกปี ที่คนเรา รวมถึงคนไทย ได้ประสบความสําเร็จ​ในการจัการขยะพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีที่สุดแล้วสำหรับปัญหาที่เรากังวลและเผชิญ​อยู่ นั้นคือการนำเอาขยะพลาสติกและพรรคพวก​มาเป็นวัตถุดิบ​ในการผลิตน้ำมันนั่นเองล่ะครับคุณผู้อ่าน มันอาจจะเกินความสามารถของคนธรรมดาอย่างเราๆ สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดการนี้ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปสำหรับ ระดับชุมชน เช่นเทศบาลตำบล หรืออำเภอ ซึ่งสามารถดึงงบประมาณอันเกินกำลังของพวกเรามาจากภาครัฐได้

ผมจะอธิบายให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพคร่าวๆว่า  เขามีแนวคิดและวิธีการอย่างไรในการทำสิ่งที่ว่ามานี้
เนื่องจากพลาสติกที่เรานำมาใช้สอยกันนี้ มันมีที่มาจากอุตสาหกรรม​น้ำมันปิโตรเคมี​ ดังที่ผมได้เคยนำเสนอคุณผู้อ่านไปในตอนที่ชื่อว่า "ที่มา"ผู้คนกลุ่มหนึ่ง จึงคิดว่าน่าจะดี ถ้าทำให้ขยะที่ย่อยสลายยากพวกนี้ กลับสู่สถานะเดิมที่มันเคยเป็น นั้นก็คือ น้ำมันปิโตรเลียม

 เมื่อคิดได้ดังนี้พวกเขาเลยออกแบบเครื่องจักรสำหรับการทำให้แนวคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมา เราเรียกวิธีการนี้ว่า ไพโรไลซีส( pyrolysis)​ คือการเผาด้วยอุณหภูมิ​1200 องศาเซลเซียส​ขึ้นไปในระบบปิด(โดยไม่ใช้อากาศหรืออ็อกซิเจนมาช่วยในการเผาไหม้)​ ทั้งนี้ทั้งนั้นขยะพลาสติกที่จะสามารถ​นำเข้าสู่กระบวนการเผานั้น ต้องมีความสะอาดประมาณนึงครับ กล่าวคือ ต้องแห้ง ไม่มีเศษอาหาร  เศษดินโคลน หรืออื่นใดอันที่อาจจะทำให้การเผาไหม้ด้อยประสิทธิภาพลง

เท่าที่ผมรู้ตอนนี้มหาวิทยาลัยอย่างน้อยๆสามแห่ง(ผมเชื่อมีมากกว่านี้)​ได้ทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงแล้ว มาเป็นเวลามากกว่าห้าปี มีมหาวิทยาลัย​อุบลราชธานี  มหาวิทยาลัย​เทคโนโลยี​สุรนารี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์​วิทยาเขตสงขลา นอกจากนั้นยังมีผู้ประกอบการเอกชนอีกอย่างน้อย หนึ่งแห่งคือ ศูนย์กรรมธรรมชาติ ท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี​(ซึ่งผมก็เชื่อว่ามีมากกว่านั้นอีกเหมือนกัน)​ได้สร้างสรรค์​นวัตกรรมนี้ให้เกิดขึ้น และยังตอบแทนชุมชนและสังคม อย่างน่าชื่นชมด้วยผลิตผล​จากขยะพลาสติกของชุมนนั่นเอง คุณผู้อ่านตามไปอ่านเรื่องราวน่าประทับใจนี้ได้ที่นี่ครับ

 https://readthecloud.co/plastic-pyrolysis-oil/

คุณผู้อ่านที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ลองไปดูคลิปในยูทูปก็ได้ครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เป็นคลิปของไทยผมเห็นอยู่หลายคลิปเลย ลองเอาคีย์​เวิร์ดไปเสิร์จดูนะครับ

สงสัยอยู่นะครับว่า ผู้ผลิตน้ำมันอย่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย​จะมองเห็นโอกาสในวิกฤติการณ์​ขยะนี้หรือไม่ จะเสียเวลาเสียเงินมากมายไปเพิ่มสำรวจแหล่งน้ำมันไปทำไม ในเมื่อเรามีน้ำมันมากมายอยู่กลาดเกลือน ดาษดื่น

พอได้รู้ว่าขยะพลาสติก และพรรค​พวก สามารถ​นำมาผลิตน้ำมันได้ ผมก็อยากสนับสนุนให้ไ้อ้เครื่องเผาขยะที่ว่านี้ มีในชุมชน อย่างน้อยตำบลละหนึ่งที่ เพื่อบรรเทาวิกฤติ​การณ์ขยะล้นเมืองที่เป็นปัญหา​ที่ยังแก้ไม่ตกซักทีของประเทศไทย​ แน่นอนว่า เครื่องมือเครื่องจักรเหล่านี้จะมีดีมีประสิทธิภาพ​เพียงใด ก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ​เด็ดขาด เรายังมีงานอื่นที่ต้องคำนึงถึง และต้องทำไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการ​รณรงค์​ในคนทิ้งขยะให้ถูกที่ แยกขยะแต่ละชนิดไม่ปะปนกัน และจัดการให้มันไปในที่ที่มันควรไป เหมือนพลาสติกนี่แหละครับ ซึ่งมันยากมากเลยครับ ที่ผู้คนมากมายจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​เดิมที่คุ้นชินได้ง่ายๆ มันไม่ได้จบลงเหมือนการทิ้งขยะออกไปให้พ้นตัวแน่ๆครับ เมื่อมันไม่จบ มันก็ก่อปัญหามาให้เรากลับไปแก้ไขอยู่ดี และถ้าเราเพิกเฉยต่อปัญหา ลูกหลานของพวกเราก็จะต้องมาแก้ในที่สุด

ทุกวันนี้ผมยังใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ผมเห็นในสองข้างทางในภูเก็ต ไม่ได้ต่างจากสองข้างทางที่บ้านเกิดของผม มันเต็มไปด้วยขยะครับ นี่คือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ​ ประชากรส่วนหนึ่งของประเทศนี้ยังคงสร้างปัญหาไม่รู้จบ ที่แย่กว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันคือการสร้างปัญหา และคนที่รู้สึกเดือดร้อนกังวลกับปัญหานั้นอย่างผม กลายเป็นไอ้พวกโลกสวยไร้เดียงสาไปซะอย่างงั้น
สถานการณ์​ปัจจุบัน​ผู้คนทั่วโลกยังคงประหวั่นพรั่นพรึง​กับไวรัสโควิต19 นี้จะเป็นเรื่องที่ผู้คนพูดถึงจดจำและเข็ดขยาดไปอีกนานแสนนาน มีคนตายจากไวรัสชนิดนี้ไปกว่าหนึ่งแสนคนแล้วทั่วโลก ในยุโรปและอเมริกามีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย​ เมืองท่องเที่ยว​ทึ่คึกคักอย่างภูเก็ตหงอยเหงาเป็นไก่ติดห่าไปเลยละครับ ผู้คนตกงาน ไม่มีรายได้ ร้านค้าธุรกิจ​ต่างๅทยอยปิดตัวลง ผมเองก็ตกงานเช่นกัน ผลกระทบของวิกฤติ​ไวรัสโควิต19นี้ ประเมินค่าความเสียหายไม่ได้เลยครับว่ามันมากมายมหาศาลเท่าใด และดูทีท่าว่ามันจะยังไม่จบลงง่ายๆ รัฐบาลไทย ที่ประชาชนไม่เคยพึ่งพาอะไรได้  ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์​นี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น คงเส้นคงวา

อันที่จริง ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณผู้อ่านหดหู่ใจ​ไปมากกว่าเดิมหรอกครับ พอดีว่าอารมณ์​มันพาไป
ยังไง​ๆผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​บุคลากร​ทางการแพทย์​ที่เสียสละหลายๆอย่างเพื่อปกป้องดูแลพวกเรา ขอให้ทุกท่านปลอดภัย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้งกลายปกป้องท่านผู้เสียสละเหล่านี้ให้แคล้วคลาด​จากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยนะครับ ส่วนรัฐบาล และพรรคพวก​รวมไปถึงองค์กร​อิสระ​ต่างนานาที่รับใช้เผด็จการ  ที่ไม่เคยแก้ปัญหา มีแต่สร้างเพิ่ม ก็ขอให้พินาศล่มจม ตกนรกหมกไห้ ตายโหงตายห่าไปซะทีเถิด สาธุ

ขออภัยคุณผู้อ่านที่เป็นติ่งรัฐบาลด้วยนะครับ แต่ผมมันสุดจะทนแล้วจริงๆ

ขออภัยอีกครั้งครับ เริ่มต้นด้วยข่าวดี ลงท้ายไปสาปแช่งเค้าซะอย่างงั้นไป เอิ้กๆๆๆๆ
ดีใจที่ได้กลับมาทำสิ่งที่รักครับผม  ขอให้ผู้อ่านที่รักทุกท่านจงเข้มแข็งกำลังใจกายที่พร้อมรับทุกสถานการณ์​ หวังว่าสิ่งเลวร้ายจะผ่านพ้นไปในเร็ววัน เราจะยังหยัดยืน และสู้ไปอย่างทรนง องอาจ
ขอให้คุณพระคุ้มครองทุกท่าน สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เหงาๆ


ตลอดสี่ปีกว่าๆที่ผมอาศัยอยู่ที่นี่ ภูเก็ต มีโครงการก่อสร้างอุโมงค์ข้ามแยกอยู่ห้าโครงการ ด้วยกัน ปัจจุบัน (วันที่6มิถุนายน​2562)เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการได้แล้วสี่โครงการ คือ อุโมงค์ข้ามแยกเซ็นทรัล และอุโมงค์ข้ามแยกสามกอง(โลตัสสามกอง)  อุโมงค์ข้ามห้าแยกฉลองและอุโมงค์ข้ามแยกเกาะแก้ว ส่วนอีกโครงการนั้น (สามแยกทางเข้าสนามบินกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ

สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนเหล่านี้ ต้องแลกมาความไม่สะดวกของผู้ใช้รถใช้ถนนอีกเช่นกัน ประมาณว่า ถ้าอยากสบายก็ต้องทนลำบากไปก่อนว่างั้นเถอะ แต่เดี๋ยวก่อน วิบากกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนยังไม่หมดเพียงเท่านี้หรอกคู้ณ นี่แว่วๆว่าจะเริ่มมีโครงการเมกะโปรเจ็คท์อีกหนึ่งโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว  แต่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาผลกระทบในด้านต่างๆตลอดจนการสำรวจประชามติของประชาชนในพื้นที่ นั่นก็คือ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา ที่จะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่บริเวณท่าฉัตรชัย ยาวจนไปถึงห้าแยกฉลองนู้นล่ะครับ พร้อมๆกันกับที่จะเกิดขึ้นที่ขอนแก่นและเชียงใหม่ ต้องขอแสดงความยินดีกับ
พี่น้องประชาชนทุกท่านด้วยครับเราจะมีระบบขนส่งมวลชนที่เปี่ยมประสิทธิภาพมาช่วยแบ่งเบาปัญหาการจราจรที่กำลังเป็นจราจลอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วล่ะครับ ช่างน่ายินดีปรีดาและน่าสลดหดหู่อยู่ในคราวเดียวกันเสียจริงๆ แหม่ ไอหมาแตก.... (หดหู่อีตอนเขากำลังสร้างนี่แหละครับ ไม่อยากจะคิดเลยว่ารถมันจะติดวินาศสันตะโรขนาดไหน)

 สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดที่พำนักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงนี้ ก็คงสาหัสสากรรจ์มากโขอยู่ล่ะครับสำหรับการจราจร บนท้องถนน เพราะโครงการก่อสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้าสายต่างๆที่ดำเนินการก่อสร้างหลายๆสายพร้อมกันนั่นเอง ยังไงก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน เอิ้กๆๆๆ

ราวๆสามปีล่วงมาแล้ว บนถนนสายหลักสายหนึ่งของภูเก็ต รถยนต์มากมายหลากหลายประเภทจอดติดเรียงรายอยู่เต็มท้องถนน ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆฝน บรรยากาศ​อึมครึม ขมุกขมัว มีฝนปรอยๆสลับกับฝนพร่ำอยู่ตลอดทั้งวัน
กะบะโตโยต้าไฮลักส์รีโว่ดับเบิ้ลแค็ปสีดำป้ายแดงคันนี้ ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมวิบากกรรมบนท้องถนนเช่นกัน
ผมมองเหม่ออกไปนอกตัวรถ ทัศนียภาพสองข้างทางมักดึงความสนใจใคร่รู้ของผมได้เสมอ สำหรับผม หากไม่ได้ขับรถเองละก้อ วิวสองข้างทางก็ทำให้ผมปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างเพลิดเพลินได้เต็มที่ทุกทีสิน่า หยาดละอองฝนที่เกาะกระจกรวมตัวจากเม็ดเล็กๆ แล้วค่อยๆใหญ่ขึ้นจนไม่อาจทานแรงโน้มถ่วงของโลกก็ไหลร่วงหล่นลงเป็นสาย เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อนร่วมงานอีกสามคนหยุดบทสนทนาสัพเพเหระลง พลขับเอื้อมมือกดสวิตเพาเวอร์วิทยุ หน้าจอแสดงคลื่นวิทยุท้องถิ่น93เมกกะเฮิร์ท อันมีสโลแกนว่า 93กรีนเอฟเอ็มคลื่นสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนั้นเอง ตึ่งดึงดึง ตึ่งดึงดึ้งดึ่งดึงดึ่งดึงดึ่งดึง (คีย์บอร์ด)​ตือเดือดึงตึ่ง (เบส)​ตึ่งดึงดึง ตึ่งดึงดึ้งดึ่งดึงดึ่งดึงดึ่งดึง
ติ่วดิวดีวดิ่วดิ้วดิวดีวดิว ติ่วดิวดีวดิ่วดิ้วดีวดิว ติ่วดิวดีวดิ่วดิ้วดีวดิว ฮู้ว ฮุฮู แสงดวงดาวที่ดูอบอุ่น ทำไมยิ่งดูยิ่งเหงา.....
อา เสียงเพลงๆนี้ ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์  แล้วกลับเข้าสู่ปัจจุบันขณะอีกครั้งนึง
ซาวด์ดนตรีที่มีกลิ่นอายของยุค1980 ที่โดดเด่นด้วยเสียงซินนิไธเซอร์ เสียงกลองอิเลคทรอนิกส์ เมโลดี้ช่วงอินโทร ช่างไพเราะติดหูดีเสียนี่กะไร แถมเสียงร้องของน้องอิ๊งค์(ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเป็นเพลงของใคร)ก็ชวนหลงไหลใฝ่ฝันเสียเหลือเกิน หวานปนซึ้ง ลูกคอของน้องเค้ากระเส่าเร้าอารมณ์​ดีแท้ ซาวด์ดนตรี ท่วงทำนอง เนื้อหา และน้ำเสียงของศิลปินผู้ถ่ายทอด ช่างเป็นส่วนผสมที่พอเหมาะ ลงตัว กลมกล่อมกำลังดี  ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจบอกไม่ถูก ทั้งๆที่เนื้อหาในเพลงกล่าวถึงความเหงาอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว เหน็บหนาวใจ เมื่อไม่มีเธอหรือเขาอยู่ด้วย ช่างเป็นความขัดแย้งน่าสนใจจริงๆ ทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่รู้
อันที่จริงก่อนหน้านี้สักสองปี ก็มีวงดนตรีที่ทำซาวด์ดนตรี เนื้อหาเพลง ตลอดจนสไตล์การร้องของเพลงป๊อบของยุค1980แบบเป๊ะๆเลย ถึงวันนี้คงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างแล้วล่ะครับ จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากพวกเขา เหล่าสห สารพัดแมว polycatนั่นเองละขอรับ ต้องบอกว่าวงนี้ เค้านำจิตวิญญาณ​ของเพลงในยุค1980มานำเสนอผู้ฟังได้อย่างครบถ้วน​ไม่มีตกหล่น เหมือนข้ามเวลามาจากอดีตยังไงอย่างงั้นเลย ไม่เชื่อไปลองฟังดูสิครับ
เพลงที่มีซาวด์ย้อนยุคแบบนี้ เมื่อได้ฟังแล้ว ก็หวนให้นึกถึงวันเก่าๆเมื่อผมยังเด็ก ช่วงนั้นก็พอรู้ความรู้เรื่องบ้างแล้ว เป็นช่วงที่เพลงป๊อบแบบที่กล่าวมาข้างต้นกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการใช้เสียงสังเคราะห์มาแต่งเติมเต็มในเพลงอย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าเดิม  ในขณะที่เพลงเต้นรำอย่างดิสโก้ ฟังค์กี้ ควันหลงทางดนตรีแห่งยุค1970ก็กำลังเสื่อมความนิยมลงไป ทีละน้อย รูปแบบดนตรี ถูกปรับเปลี่ยนพัฒนาไปตามยุคสมัย เครื่องไม้เครื่องมือ และแน่นอนที่สุด คือความคิดสร้างสรรค์​ของศิลปินสำหรับสายร็อคนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ยังคงเป็นแนวเพลงกระแสหลักและครองใจวัยรุ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร​ เติบโตอย่างต่อเนื่องและแตกแขนงออกไปอีกหลายแนวทาง  จากร็อคแอนด์โรล สู่เฮฟวี่ฮาร์ดร็อค เฮฟวี่เมทัล พังค์ เดทเมทัล แบล็คเมทัล นูเมทัลและอีกมากมายหลากหลาย
เคยมีโอกาสได้ดูสารคดีของต่างประเทศที่ว่าด้วยเรื่องของดนตรีร็อคล้วนๆอยู่ครั้งนึงทางเคเบิ้ลทีวี ซึ่งทำออกมาได้สมบูรณ์และน่าสนใจมากๆ แต่ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว เอิ้กๆๆๆ อันที่จริงถ้าลองเสิร์ชยูทูปดูเดี๋ยวก็เจอ เผลอๆผมว่าจะเจอสารคดีเพลงเจ๋งๆกว่าที่ผมดูอีกเพียบแน่นอน

... ไม่อยากรู้แล้วเพราะอาไร ตีดี้ดิวตีดี้ดิวตีดี้ดิว ทำไมจึงเป็นแบบนี้ แต่ ที่อยากรู้ก็มีแค่เพียง...
ที่เราห่างกันอย่างนี้ไม่รู้ว่าเธอ นั้นรู้สึก อย่างไร เหงาเหมือนกันบ้างไหม....

 ความเหงา เป็นหนึ่งในหลายสภาวะอารมณ์​ของมนุษย​์ เหมือนความโกรธ เศร้า ดีใจ เสียใจ และอื่นๆข่าวดีก็คือ มันจะไม่อยู่กับเราตลอดเวลา แต่มันก็จะมาหาเราเสมอเหมือนสภาวะ​อารมณ์​อื่นๆ
พระพุทธ​องค์ทรงให้แนวทางมาให้มนุษย์​มาปฏิบัติ ยามเกิดวิกฤตทางอารมณ์​ ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นั่นก็คือ การฝึกเจริญ​สติ
ผมคงไม่ลงรายละเอียดลึกเท่าไหร่เพราะด้วยเหตุว่า ผมเองก็ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญประสบการณ์​สูงอะไรแบบนั้น เป็นเพียงนักเรียนที่พยายามเรียนรู้ จากการทดลองด้วยตัวเอง สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ส่วนใหญ่จะล้มเหลว ซึ่งผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะทำได้ดีกว่าผม

อยากให้ผู้อ่านที่รักทุกท่านได้ทราบว่า นี่เป็นความปรารถนา​ดีจากใจของผม มิสเตอร์เฮิร์บ ที่อยากแนะนำทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่าน ได้รับ

รับไปเถอะครับ ถ้าไม่ดีไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้สึก​ว่าดี มีประโยชน์ ก็ช่วยแชร์ช่วยบอกต่อสิ่งดีๆให้คนที่คุณรัก คนรอบข้างให้มันค่อยขยายวงกว้างขึ้น ให้สังคม ประเทศ โลกของเรา น่าอยู่ขึ้น

ไม่แค่ตอนขับรถเท่านั้นหรอก ที่เราต้องใช้สติ ผมว่านะ
ขอบคุณน้องอิ้งค์​นะครับ สำหรับเพลงเพราะๆและซิงเกิ้ลล่าสุด ดีใจด้วยนะ ก็เพราะมากๆเช่นกัน

ไม่อยากอยู่อย่างเหงาๆ...
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าครับผม

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้
โดยปกติแล้ว ผมจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอมิได้ขาด ความสนใจของผมอยู่ในวงจำกัด ในวงจำกัดนั้น มีเรื่องการเมืองแซมอยู่ในความสนใจอยู่บ้าง คือพอรู้ ไม่ได้รู้ลึกเชี่ยวชาญ (จริงๆแล้ว เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน) สิ่งที่ผมและผู้อ่าน พบเจอและรับรู้ผ่านสื่อสารมวลชนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมเป็นเรื่องการชุมนุนทางการเมือง อย่างแน่นอน(ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม 2556)









ความรู้สึกของผมกับข่าวการเมือง ก่อนหน้าเหตุการณ์วิกฤตข้างต้น นั้นก็คงไม่ต่างกับผู้คนอีกไม่น้อย ที่รู้สึกเบื่อหน่าย และหมดหวังกับการเมืองในภาพรวม ทั้งตัวนักการเมือง วิธีการทำงาน การทุจริตคอร์รัปชั่น คุณธรรมและจริยธรรมรวมถึงอุดมการณ์ ความจริงใจของฝ่ายการเมืองที่จะพยายามแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองและประชาชนอย่างจริงจัง และอื่นๆ ทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน และรัฐบาลชุดก่อนๆ ความห่วยแตกของการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับบ้านเมืองนี้มันมากพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกแบบเดียวกับผมได้ไม่ยาก ไม่อาจบอกได้ว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับผมมีจำนวนมากน้อยเท่าใด มันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้สังคม การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน แต่พวกเราก็ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง จะช้าจะเร็วก็ขอให้เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้นัการเมืองมีสปิริตมีอุดมการณ์ มีความจริงจังและจริงใจที่จะแก้ปัญหา มีคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับอำนาจบริหารบ้านเมือง หรือที่เราอาจจะคุ้นกับคำว่า ปกครองโดยใช้หลัก ธรรมาภิบาล นิติธรรม นั่นเอง หลักการและวิธีการมันการฟังดูง่ายๆแบบที่ผมว่านี่แหละ แต่ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีนักการเมืองที่มีคุณสมบัติที่ว่ามานี่กันซักกี่คน เท่าที่ศึกษาที่อ่านมา คนดีๆมักจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งการเมือง หรือถ้าโชคร้ายหลุดเข้าไปในวังวนการเมืองแล้ว มักจะอยู่กันไม่ได้ เพราะมีพวกน้อย เงินน้อยและถูกบีบให้พ้นทาง ไม่ก็ถูกระบบอำนาจ และเงินตรากลืนกิน กลายพันธุ์จากเทวดาเป็นซาตาน เป็นเช่นนี้เสมอมา









มีบางมุมมองกล่าวว่า เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เป็นพัฒนาการทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยในบ้านเรากำลังก้าวไปอีกขั้น ว่ากันขนาดนั้นก็มี









โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าไม่มีทางที่ความวุ่นวายในรูปแบบเดิมๆนี้จะจบลงง่าย ถึงฝ่ายนี้จะชนะในวันนี้ แต่อีกฝ่ายจะทำแบบเดียวกันนี้ซ้ำเดิมอีกในวันข้างหน้า พี่น้องชาวไทยทั้งหลายก็ต่างเห็นมาด้วยตากันมาแล้วรอบนึง ในขณะที่ผมเองรู้สึกมืดมน หมดหวังปนสังเวชประเทศนี้และชะตากรรมของคนไทยอยู่ ความหวังดังแสงทองก็ทาบทอมากระทบ









เมื่อวานนี้(7 ธันวาคม) ผมได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง รายการได้นำเสนอ วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆโดยเน้นวิธีการพูดคุยด้วยเหตุผลของคู่กรณีที่เกิดข้อพิพาท วันนั้นรายการได้นำเอาตัวแทนมวลชนของทั้งสองฝั่ง(เสื้อแดง และฝ่ายที่ออกไปชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้)มาร่วมพูดคุยถึงสาเหตุปัญหาความขัดแย้งและร่วมกันเสนอทางแก้ไข ผมไม่ได้คาดหวังอะไรนักเมื่อเปิดมาเจอ แต่พอดูไปฟังไปแล้ว ผมเริ่มมีความหวัง ถ้าสิ่งที่คนทั้งสองฝั่งพูดและนำเสนอทางแก้ไขได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง (ในใจก็คิดว่า น่าจะดีถ้าประชาชนทั้งหลายได้รับชมรายการในวันนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกไปประท้วงให้เสียการเสียงานเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ต้องเกลียดชังกันหรือมุ่งหมายเอาชีวิตกัน ทั้งๆที่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือสิ่งเดียวกัน) เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ผมว่าผู้อ่านคงอยากรู้แล้ว ผมจึงนำลิ้งของรายการมาให้ผู้อ่านไปติดตามชมกันด้วยตัวเอง แล้วมาช่วยกันพิจารณาว่า ผมหวังลมๆแล้งๆรึเปล่า









ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตาม ผมจะพยายามไม่เขียนเรื่องการเมืองอีก ตอนหน้าจะหาเรื่องราวดีๆเบาๆมานำเสนอครับ











วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

โยคะ

ย้อนกลับไปเมื่อปี2552 ซึ่งเป็นปีที่ผมกำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรี หลังจากคร่ำหวอดอยู่กับการเรียนที่สถาบันแห่งนี้มากว่าสิบปี(คนอื่นเค้าเรียนกันสามสี่ปีก็จบ เอิ้กๆๆๆ)
ในหลักสูตรใหม่ พ.ศ.2551 กำหนดให้มหาวิทยาลัย (ไม่แน่ใจว่าที่อื่นจะเหมือนกันรึเปล่า)เปิดการเรียนการสอนวิชาบังคับ เพิ่มเข้าในหลักสูตรอีกอย่างน้อย2วิชา สำหรับที่นี่ เพิ่มวิชาราย "ความรู้คู่คุณธรรม"และ รายวิชาที่อยู่ในหมวดพละศึกษา อีกหนึ่งวิชา มีกีฬาชนิดต่างๆ ให้เลือกเรียนมากมายหลายชนิด อาทิ ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล เทนนิส แบตมินตั้น เซปักตะกร้อ ว่ายน้ำ เทควันโด้ มวย และอีกหลากหลายชนิดทั้งในร่มและกลางแจ้ง หนึ่งในหลายชนิดนั้นผมเลือกเรียนวิชา โยคะ ขอรับกระผม
ในความรู้สึกและความเข้าใจตอนนั้น คิดว่าเป็นวิชาเรียนที่แทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย และแทบไม่ต้องใช้ทรัพยากรอะไรเลย(ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ส่วนเรื่องที่คิดว่าไม่ต้องออกแรงมากนั้น รู้สึกจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปไม่น้อยทีเดียว)ถึงวันนี้ ผมได้แต่ขอบคุณตัวผมเอง ที่เลือกเรียนศาสตร์ที่เป็นดั่งโอสถทิพย์ที่โลกใบนี้ ได้มอบให้เป็นของกำนัลแด่มวลมนุษยชาติก็มิปานศาสตร์นี้....

"มันดีอย่างงั้นเชียวเหรอวะไอ้มิสเตอร์เฮิรบ?"
ผมก็ต้องยืมวลีฮิตติดปากของ แอนนาเชิญยิ้ม มาใช้เลยครับว่า"สวดยอดเลยลวกเพี่ยะ!"



ความมุ่งหมายเจตนาของการบรรจุสองรายวิชานี้เข้าไปในหลักสูตรผู้อ่านก็คงพอเข้าใจไม่ยากนัก ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้น เราคงต้องมาดูกันอีกที หวังว่าจะได้ผลอย่างที่ต้องการก็แล้วกันครับ

เรื่องราวที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล เป็นทัศนคติความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้อ่านที่รัก โปรดใช้วิจารณญาณให้การอ่าน

ท่านผู้มีเกียรติ​ทุกท่านครับ ผมขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ โยคะ งะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ....

**โยคะถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเอง อดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000 และ1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถานนักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า ปตัญชลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช [5] โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า โยคิน หรือ โยคี ส่วนผู้หญิงเรียกว่า โยคินีส่วนผู้สอนเรียกว่า คุรุ (ครู) ประเทศตะวันตกได้นำโยคะมาเป็นการออกกำลังกายโดยดัดแปลงจาก Hatha-Yoga ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของโยคะ นอกจากนี้การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือด และสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆ รวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกาย และจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย โดยท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะ เช่น การฝึกโยคะท่าศพอาสนะ Savasana (Corpse Pose) ท่านั่งก้มตัว (Paschimottanasana) การฝึกท่างู Bhujangasana (Cobra Pose) เป็นต้น[6]
 
หมายเหตุ**ข้อมูลจากวิกิพีเดีย

เชื่อผู้อ่านหลายๆท่านที่มีอายุตั้งแต่ 30 กลางๆขึ้นไป คงจะสังเกตได้ถึงความเสื่อมถอยของร่างกายตัวเองได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ยิ่งใครที่เป็นผู้มีนิสัยดื่มจัดดูดจัด อดหลับอดนอน กินอาหารเน้นอร่อยไม่เน้นประโยชน์ การออกกำลังกายไม่มีอยู่ในสารระบบแล้วละก็ ยิ่งสังเกตได้ง่าย จากริ้วรอย ความหมองคล้ำบนใบหน้า ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง หรือที่เลวร้ายที่สุดของผู้ชายอกสามศอก ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั่นเองละครับ ส่วนผู้อ่านที่เป็นสปอร์ตเกิร์ลสปอร์ตแมนมาตั้งแต่ยังวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน หรือเป็นผู้ที่จัดการระบบระเบียบ จัดสมดุลชีวิตได้ สม่ำเสมอมาตั้งไหนแต่ไรแล้ว คงไม่ต้องประสบปัญหาความเสื่อมถอยสุขภาพร่างกายก่อนวัยอันควรเป็นแน่  ดั่งเช่นกระผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่ได้ใช้ร่างกายอย่างสมบุกสมบั่น ต่อเนื่องยาวนานหลายปี หลายๆคนเริ่มป่วย หลายๆคนยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ ยังคงชะล่าใจและยังคงดำเนินชีวิตไปโดยไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบใดที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขในระยะยาวก็ตาม

ในวัย40ปีของผม ร่างกายและจิตใจผมได้รับผลจากการกระทำเมื่อครั้งอดีตมาเต็มๆ อันที่จริง มันเริ่มเมื่อตอนอายุยี่สิบกลางๆด้วยซ้ำ เดชะบุญ ที่ผมเห็น ผมสังเกตุการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่เงียบๆแม้ว่าผมจะปล่อยตัวปล่อยใจกับอบายมุข​สิ่งเร้าต่างๆอย่างเต็มที่เต็มใจ หากผมก็ตระหนักอยู่เสมอ ว่าการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องการเรียน การงาน มิตรภาพ ความรัก ความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องเงิน แต่แค่ตระหนักรู้นั้น มันไม่เพียงพอ การจัดการเรื่องต่างๆในชีวิตเหล่านี้ให้สมดุล พอเหมาะพอดีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนคนทุกคนจะทำได้ดี เพราะเมื่อเรามีปัญหาชีวิต เราก็มักมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้น เรื่องใดเรื่องหนึ่งจนลืมมองภาพรวม สำหรับผม ผมคิดว่าทักษะหรือศิลปะในการใช้ชีวิต มันคงต้องใช้เวลา สั่งสมประสบการณ์ ความเข้าใจอันมาจากการเรียนรู้ฝึกฝนให้เพิ่มพูน​อยู่เสมอประมาณนึงเลยละครับ คงไม่มีใครเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เกิดหรอก  ใช่แล้วครับ ชีวิตไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่ชีวิตก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดเช่นกัน เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองมันถูกบ่มเพาะจนสุกงอม จังหวะชีวิตก็ค่อยๆพาเราเข้าสู่การเริ่มต้นการพัฒนาศักยภาพของตนเองทั้งร่างกายและติตใจให้ยกระดับสูง​ขึ้นทีละน้อยๆ

มนุษย์​เราคงไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งอะไร​ก็​ตามที่ไม่ใช่ตัวเราเอง แหม่  พูดก็พูดเถอะ แม้ตัวเราเองก็ใช่ว่าจะควบคุมได้ง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ จริงไหมครับคุณผู้อ่าน นั่นแปลว่า ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เราสามารถคุมคุมได้อยู่เหมือนกัน​ แม้เราๆท่านๆจะหลงลืมละเลยกันอยู่เสมอก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น การหายใจ เป็นต้น ฟังดูไม่น่าจะสลัก​สำคัญอะไร แต่ทว่า อย่าได้มองข้ามเรื่องพื้นๆนี่เชียวครับ

การออกกำลังด้วยการเล่นโยคะนั้น นอกจากจะเน้นไปที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น อวัยวะต่างๆในร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้อีกประการหนึ่งของการเล่นโยคะ ก็คือ การหายใจ นั่นเองละคร้าบ

เคล็ดที่ไม่ลับนี้ ทั้งสำคัญและสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับศาสตร์แขนงนี้อย่างไร

ในคลาสเรียนที่ผมเรียนเมื่อเกือบสิบปีก่อน อาจารย์ผู้สอนมักจะเน้นย้ำเรื่องการหายใจในทุกๆครั้งที่เข้าเรียนในภาคปฏิบัติ  กล่าวคือ เมื่อเราฝึกเล่นโยคะในท่าทางต่างๆนั้น อาจารย์บอกผู้เรียนหายใจเข้าและออกให้ช้าและ ยาว ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในผู้เริ่มต้น เมื่อเราเริ่มยืดเหยียดร่างกายนั้นให้เราหายใจเข้าแล้วเริ่มนับในใจช้าๆ1-8นับเป็นหนึ่งคาบ แล้วหายใจออก นับในใจ1-8เหมือนกัน​อีกหนึ่งคาบ ในแต่ละท่าจะใช้เวลา2-4คาบ ครับ สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจและทึ่งมากในการฝึกปฏิบัติครั้งแรก ภายในเวลาไม่ถึง20นาทีสำหรับการฝึกท่าต่างไม่เกิน5ท่า  ผมหอบเหนื่อยและเหงื่อกาฬแตกซึมออกมาตามผิวหนังอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน นับเป็นการออกกำลังกายที่ทรงประสิทธิภาพมากวิธีนึง เคล็ดที่ไม่ลับอีกหนึ่งอย่างที่อาจารย์ไม่ได้บอก แต่นักศึกษาทุกคนก็ปฏิบัติตามๆกันโดยอัตโนมัติ คือเมื่อเริ่มฝึก เราทุกคนพร้อมใจหลับตาลงกันอย่างพร้อมเพรียง ราวกับจะทิ้งเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายแหล่ ที่รบกวนใจจิตอยู่ให้หลุดลอยและมลายหายไปพร้อมกับการมองเห็น... ว่ากันขนาดนั้นเลยเชียว เอิ้กๆๆๆ

จบการฝึกครั้งแรก ผมรู้ได้ด้วยตัวเองว่า นี่แหละ สิ่งนี้ คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผมนับจากนี้ไป ่นี่คือประตูสี่มิติของโดราเอมอน ที่จะนำพาชีวิตผมไปสู่โลกใบเดิมในมุมมองใหม่ ผ่านการเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต ที่สามารถเชื่อมโยงตัวเรากับทุกสรรพสิ่งได้ ในชั่วขณะหนึ่งหรือสภาวะหนึ่ง ตัวตนของเราจะถูกลืมไปว่ามีอยู่ เราจะกลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและจักรวาล
อะไรมันจะขนาดน้านไอ้มิสเตอร์เฮิร์บเอ้ย! เรียนคาบเดียวมึงบรรลุธรรมเลยรึไงมึงมันขี้โม้แล้ว
หลังจากเข้าเรียนอีกหลายครั้ง ผมเริ่มเชื่อมโยงความเข้าใจของผมเมื่อเล่นโยคะกับชุดความรู้เดิมบางชุดที่มีอยู่แล้ว เช่น อาณาปาณสติเอย(การมีสติระรึกรู้ด้วยการจดจ่อที่ลมหายใจเข้าออก)​ วิชาพละศึกษาว่าด้วยการยืดเหยียดร่างกาย(วอร์มอัพ)​ก่อนการเล่นหรือแข่งกีฬาชนิดต่างๆที่เราคุ้นชินคุ้นหูกัน ที่เขาเรียก วิชายืดหยุ่นเอย  นี่คือการผสานกายและจิตใจให้เป็นหนึ่ง​เดียวกัน​ สิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวโยงกับเรื่องความมีสติและสมาธิโดยแท้ แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ใหญ่โตที่ใครๆก็รู้กันดีอยู่แล้ว แต่ผมดีใจที่ผมสามารถ​ค้นพบและสัมผัสได้ด้วยตัวเองด้วยการลงมือปฏิบัติ เป็น "สันทิฏฐิโก" (เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติ​พึงเห็นได้​ด้วย​ตนเอง)​"อะกาลิโก" (เป็นสิ่งที่ปฏิบัติ​และเห็นผลได้ไม่จำกัดกาล)
​...... ได้รับโดยไม่ต้องขอ ได้รู้โดยไม่ต้องรอ.... ว่ารักคืออะไร... บุ้ย!  อะไรมันจะขนาดน้านนนพ่อคู้ณณณเอิ้กๆๆๆ

ปี2015-2016สโมสรฟุตบอลอังกฤษ นามว่า เลสเตอร์ซิตตี้ ได้สร้างมหัศจรรย์ประวัติศาสตร์ที่ผู้คนจะต้องเล่าขานเป็นตำนานไปอีกนาน จากทีมฟุตบอลที่เพิ่งเลื่อนชั้นจากลีกชั้นรอง มาสู่ตำแหน่งแชมป์ลีคสูงสุดของอังกฤษ ภายในหนึ่งปี! โว้ววว   นี่ไม่ใช่เรื่องจริงมันเทพนิยายชัดๆ ใครจะไปเชื่อ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอาจจะพูดเช่นนั้น แต่เชื่อเถอะครับ มันไม่มีอะไรจริงไปกว่านี้อีกแล้ว
ภายใต้การบริหารของประธานสโมสรชาวไทย คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา นักธุรกิจผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรร้านค้าปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ​ไทย นามว่า คิงพาวเวอร์ (ขอสรรเสริญผลงานของท่านและขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านและครอบครัวมาณ.ที่นี้ด้วยครับ)
หนึ่งในหลายๆสิ่งในการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสโมสรของคุณวิชัย นั้นก็คือการนำโยคะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมการฝึกของนักฟุตบอลในสโมสร ผมคงไม่บอกว่าการได้เป็นแชมป์พรีเมียร์​ลีกของเลสเตอร์​ซิตี้​ปีนั้น มันจะเป็นผลมาจากการฝึกโยคะของนักฟุตบอลหรอกครับ มันมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆอีกมากที่ผมไม่ได้กล่าวถึงอีกเยอะแยะมากมาย และผู้อ่านก็คงทราบข้อมูลเหล่านั้นอยู่บ้างแล้ว เพราะสื่อต่างๆได้ตีแผ่ถอดรหัสความสำเร็จของสโมรสรเลสเตอร์ออกมาให้ชมให้อ่านให้ฟังกันอย่างมากมายหลากหลายแง่มุม ซึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันล้วนเป็นสิ่งที่ต้องมีร่วมกันหาใช่มีเพียงปัจจัย​หนึ่งเพียวๆก็หาไม่

การฝึกโยคะแม้จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการออกกำลาย ที่ดีทางหนึ่งก็ตาม แต่คงไม่ได้เป็นกุญแจดอกเดียวที่คุณผู้อ่านนำไปใช้แล้วชีวิตจะดีขึ้นเลย คงไม่ใช่ อาหารการกินที่มีประโยชน์​ การพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ การบริหารจัดการกับความเครียดในชีวิตประจําวัน​ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงและปฏิบัติควบคู่กันไป

จบมันดื้อๆอย่างงี้แหละ เอิ้กๆๆๆ

.... สิ่งต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไป เธอเองจะอยู่ที่ไหน อยากจะบอกให้เธอรู้ไว้ ฉันยังอยู่.....

ห่างหายไปจากบล็อกนี้นาน นานเสียจนผู้คนหลงลืมไปแล้วว่าเคยมีใครอยู่ที่นี่ๆ ผมยังอยู่ครับคุณผู้อ่านที่รัก ไม่ได้ไปไหน และผมจะอยู่ในใจของทุกท่านเสมอ ชะเอิงเอย เอิ้กๆๆๆ

ของคุณที่ยังเข้ามาอ่านกันนะครับ
รักเสมอ
มิสเตอร์เฮิร์บ

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ขอร่วมถวายความอาลัย และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำรึกพระมหากรุณาธิคุณ หาที่สุดมิได้

ใกล้เข้ามา งวดเข้ามาเรื่อยๆ กับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ขณะที่ผมร่างบทความนี้ เป็นวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ซึ่งอีกสิบห้าวันหลังจากนี้ จะเป็นวันเริ่มพระราชพิธีฯ


คณะรัฐมนตรี รับทราบมติที่คณะอนุกรรมการฯฝ่ายจัดการพระราชพิธีฯในระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560 พร้อมทั้งพิจารณาหมายกำหนดการพระราชพิธีฯและกำหนดจำนวนริ้วขบวนพระราชอิสริยยศ ไว้ดังต่อไปนี้

25 ตุลาคม 2560 เวลา 17.30 น. พระราชพิธีพระราชกุศลออกพระเมรุมาศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

26 ตุลาคม 2560 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ
เวลา 7.00 น. พระราชพิธีเชิญพระบรมศพออกพระเมรุ ท้องสนามหลวง
เวลา 17.30 น. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เวลา 22.00 น. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจริง

27 ตุลาคม 2560 เวลา 8.00 น.พระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิ อัญเชิญพระบรมอัฐิเข้าสู่พระบร มมหาราชวัง

28 ตุลาคม 2560 เวลา 17.30 น. พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล พระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

29 ตุลาคม 2560 เวลา 10.30 น. พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล และเชิญพระบรมอัฐิ ขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยริ้วขบวนที่ 5
เวลา 17.30 น. พระราชพิธีเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร โดยริ้วบวนที่ 6
 ขอประชาชนชาวไทยทุกผู้ทุกนาม ร่วมถวายความอาลัยแด่ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ถ้วนทั่วพร้อมเพรียงกัน


 น่าใจหายจริงๆ ถึงแม้พระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตไปกว่าหนึ่งปีแล้วก็ตาม หากความรู้สึกหวิวๆในใจก็ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่เหมือนวันแรกที่ได้ยินข่าวร้ายนี้

ผมเติบโตมากับภาพจำในการบำเพ็ญตนปฏิบัติพระราชกรณียกิจของในหลวง ร.9 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกๆวันในข่าวพระราชสำนัก ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ด้วยความสัตย์จริง เมื่อยังเด็ก ผมเคยคิดว่าพระองค์อยู่บนฟ้า (สวรรค์)เป็นผู้มีบุญญาบารมีล้นเหลือ เป็นผู้วิเศษมีพลังอำนาจเหนือมนุษย์แบบว่า อยู่คนละโลกกันกับพวกเราๆท่านๆอะไรแบบนั้น

ทุกปีเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประชาชนชาวไทยจะออกมาร่วมเฉลิมฉลองในวันมหามงคลนี้กันอย่างคึกคัก ภาพของผู้คนจำนวนมาก ออกมารวมตัวกันเพื่อ บำเพ็ญประโยชน์ ทำความดีแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนั้น มันช่างน่าประทับใจยิ่ง นั่นบ่งบอกว่าคนไทยรักและเทิดทูนพระองค์มากแค่ไหน และหากจะพูดสิ่งที่พระองค์เสียสละ ทรงงานมาตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ คงต้องบอกว่าพระองค์คือยอดคน คือ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มนุษย์เราต้องมีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาสักเพียงไหน ต้องทุ่มเทเสียสละเพื่อผู้อื่นมากมายเพียงไร ต้องอดทนพากเพียรกันขนาดไหน จึงจะทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเสียสละทุ่มเทพระวรกายและพระราชหฤทัย เพื่อพสกนิกรของพระองค์ ได้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ไม่สิ ไม่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น ที่ได้รับดอกผลแห่งความเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน มีอีกหลายๆชนชาติ หลายศาสนาในโลก ที่ได้รับอานิสงฆ์ผลบุญอันประเสริฐนี้ มีคนบอกว่าพระองค์คือ เทวาดาเดินดิน นั้นก็คงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด

ผมเป็นคนอีกคนนึง ที่อยากจะกล่าวคำพูดนี้ออกไปจากเบื้องลึกของจิตใจ แม้ว่าพระองค์จะรับรู้ได้ยินหรือไม่ก็ตาม ว่า

ผมภูมิใจและโชคดีที่เกิดเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมีของในหลวง

หลังจากนี้เรื่องราวของพระองค์จะยังคงถูกกล่าวขานเป็นตำนานต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน แม้พระองค์จะจากไปแล้ว แต่พระองค์จะยังคงสถิตย์อยู่ในใจ ของคนไทยทุกดวง และคนไทยก็จะร่วมสืบสานพระราชปณิภาณของพระองค์ต่อไปอีกนานแสนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ



วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ระยะห่าง

หากเคียงชิดกลั้ยยยย แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่าง เพื่อช้านอาน
ประโยชน์ที่ดัยยย หากรักทำร้ายตัวเอ เอง
หากเดินแนบกายยยย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บ ด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียววว ให้รักเป็นสาย ลมผ่าน ระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน....ร่วม กันนนน



คิดว่าคุณผู้อ่านหลายๆท่าน คงรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี เคยเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักเรียนนักศึกษาในยุคนั้น (พ.ศ.2539)เพลงที่พูดถึงระยะห่างของความสัมพันธ์ ระยะห่างที่ว่านี้ ในเพลงเรียกมันว่า ที่ว่าง และเป็นชื่อของเพลงด้วย
วงพอส เป็นวงดนตรีที่เรียกตัวเองว่าเป็นอเมริกันร็อค จากค่ายเบเกอรี่มิวสิค ออกวางจำหน่ายครั้งแรก เมื่อ ปี2539เป็นวงดนตรีที่ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับแถวหน้าของเมืองไทยในยุคนั้นก็ว่าได้ เสียงร้องของพี่โจ้ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นเสียงร้องที่หาใครเปรียบได้ยาก ทั้งสูง กว้าง และก้องกังวาน และก็เป็นเช่นนั้นจริง เพลงที่ว่าง ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเพลงที่สร้างชื่อให้กับวง เนื้อหาของเพลงถ่ายทอดมุมมองของความเข้าใจความต้องการพื้นฐาน ความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนได้อย่างชัดเจน กระจ่างใจ
ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ จึงจำเป็นต้องเว้นที่ว่าง เว้นระยะห่างไว้ แล้วที่ว่างต่อรูปแบบความสัมพันธ์นั้น มันต้องขนาดไหน อย่างไรกันละ
ในเนื้อเพลงก็บอกไว้ประมาณนึงครับ จริงๆแล้วระยะห่างหรือที่ว่างที่กล่าวไป มันจำเป็นต้องมีจริงหรือ แล้วถ้าไมมีละ มันจะเป็นอย่างไร ในเนื้อเพลงก็บอกไว้อยู่เหมือนกัน เป็นในลักษณะข้อเท็จจริงและอุปมาอุปมัยในขณะเดียวกัน ก็พอเข้าใจ พอจะนึกภาพออกอยู่บ้าง สำหรับผมตอนนั้นครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่น โดยมากเมื่อฟังเพลงที่โดนใจแล้ว มันจะรู้สึกเข้าอกเข้าใจเนื้อหาไปเองครับ ทั้งๆที่เนื้อหาของเพลงบางเพลงนั้น เราไม่เคยมีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองมาก่อนเลย ไม่รู้คุณผู้อ่านเคยเป็นกันบ้างรึเปล่า พอถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังรู้สึกไปกับเพลงๆนี้เหมือนเดิมอย่างที่เคยรู้สึก ซึ่งมันจะไม่เกิดความรู้สึกแบบนี้กับทุกเพลงที่เราชอบหรอกนะครับ คือกับเพลงบางเพลงเราจะรู้สึกต่างออกไปเมื่อวัยและประสบการณ์เพิ่มขึ้น(เป็นที่น่าสังเกตุว่า ดนตรี บทกวี งานศิลปะแขนงใดก็ตาม ถ้ามันกระทบใจผู้เสพให้รู้สึกไปตามสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการจะสื่อแล้วละก็ ในศาสตร์ทางด้านการสื่อสาร ถือเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากครับ กระบวนการเกือบสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือคือผลตอบรับจากผู้เสพ ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ มันแล้วแต่คนเสพ ว่าจะเลือกตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรมหรือไม่ ท้ายที่สุดงานศิลปะก็เปิดกว้างให้ผู้เสพตีความได้เองอยู่ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องผิดถูกว่างั้นเถอะ)เนื้อหาและอารมณ์ของเพลง ที่ว่าง นั้นเข้าถึงใจผู้ฟังได้อย่างไม่ต้องพยายามมาก ดูมีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ ไม่ได้ยกตนมาสั่งสอนแต่เป็นการเล่าให้ผู้ฟังเห็นภาพด้วยตัวเอง เมื่อฟังแล้ว ก็รู้สึกว่า  เออ จริงแฮะ(ความรู้สึกอีกแล้ว)
ผมได้ทบทวนความทรงจำเรื่องราวเก่าๆ ในหลายช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านมา ผมพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด ทุกๆความสัมพันธ์นั้นจำเป็นและสมควรมีการเว้นระยะห่างครับ ห่างไว้ทำไม เป็นคำถามที่ดีมากครับ คำตอบที่ได้ก็คือ ห่างไว้สำหรับ พื้นที่ความเป็นส่วนตัวครับ


พื้นที่ที่ว่านี้ เว้นว่างไว้ทำไม เพื่อให้เราได้ตามหาฝันอย่างในเพลง?มันก็ใช่ และมันก็ไม่ใช่แค่นั้น มันยังใช้ทำอย่างอื่นได้อีกเยอะเลย เช่น เอาไว้หยุดพักเพื่อเยียวยาจิตใจ หลบลี้หนีบางสิ่ง เพื่อตั้งสติ เติมพลังชีวิต เราสามารถจะมีอิสระเสรีมีสิทธิ์ขาดในพื้นที่ที่เว้นว่างไว้นี้ อย่างที่ชีวิตจริงของเราไม่อาจมีหรือทำได้ การได้ปลดปล่อยจินตาการ ตัวตนของเราในแง่มุมต่างๆที่เราอาจไม่คิดว่าจะเป็นหรือมี การคิด พินิจ พิจารณา หาเหตุผล การเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ส่วนตัวแล้วผมว่ามันคงไม่มีอะไรที่จะเปิดกว้าง ยอมรับและโอบกอดเราได้มากไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับพื้นที่ส่วนตัวของมนุษย์หนึ่งคน อาจเป็นแค่สมุดไดอารี่เล่มเล็กๆ อาจจะเป็นแค่การนอนรับลมเย็นๆใต้ต้นไม้สักต้น อาจจะเป็นแค่การร้อง ฮัมเพลงที่ชอบขณะอาบน้ำ แค่ชั่วขณะที่จิตใจเราล่องลอยออกไปจากความวุ่นวายความเครียด กดดัน ที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น


เมื่อยังเด็ก เราอาจยังไม่ตระหนักว่า ความเป็นส่วนตัวนั้น มันจำเป็นมันสำคัญกับชีวิตของเราอย่างไร จนกระทั่งเริ่มย่างก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านของวัย เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกาย เริ่มมีขนขึ้นบริเวณหัวหน่าว เมื่อเด็กชายเริ่มเสียงห้าว เด็กหญิงเริ่มมีหน้าอกหน้าใจ เมื่อเราเริ่มรู้สึกเขินอาย ยามเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นเมื่อนั้นเองเราจึงจะตระหนักถึงคุณค่าของอาภรณ์และความเป็นส่วนตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องมีใครมาบอกสอน หรืออธิบายให้มากความ

แล้วถ้าชีวิตคนมันขาดความเป็นส่วนตัวแล้ว มันจะเป็นอย่างไรกันละ สำหรับผม มันคงเครียดและกดดันน่าดู สำหรับคนอื่นผมไม่รู้นะ แล้วถ้ายิ่งคนเคยมี แล้ววันนึงพื้นที่นั้นมันโดนล่วงล้ำก้าวก่ายเข้าไปจะโดยใครหรือเหตุผลกลใด มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าพิศมัยอย่างแน่นอน แค่คิดก็เครียดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ พื้นที่ทางกายภาพ หรือแม้แต่พื้นที่ในจิตใจเราก็ตาม ของๆเรา ที่ของเรา ความคิดความอ่านของเรา มันไม่ควรจะถูกแชร์ออกไปโดยที่เราไม่เต็มใจ
ใช่ครับ มันสำคัญมาก มันควรจะเป็นไปด้วยความสมัครใจ พร้อมใจไม่ใช่โดนกดดันบังคับขู่เข็ญเรียกร้องเอาโดยคนอื่น  ดั่งเช่นคำกลอนบทนี้ครับ
อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
ซึ่งมันผิดไปจากที่เราเจอะเจอในชีวิตประจำวันใช่ไหมครับ เพราะจริงๆเราเจอแต่คนเรียกร้องหาน้ำใจจากคนอื่น โดยมีข้ออ้างสารพัดอย่าง  หากเขาไม่ได้อย่างที่ต้องการ เราจะถูกมองประดุจเป็นอาชญกรแผ่นดินทีเดียว ผมได้แต่ถามตัวเองว่า ทำไมผมถึงต้องอยู่ในสังคมเดียวกับคนพวกนี้ ทำไมเราต้องโดนเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ทำไม ..ทำไม..

การจากไปอย่างกระทันหันของพี่โจ้ สร้างความสะเทือนใจต่อมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย รวมถึงผมด้วย ช็อคและตกใจมากที่คนที่มอบความสุขให้กับเราด้วยเสียงเพลงนั้นจากไปโดยไม่มีวันกลับ แม้ผมและแฟนคนอื่นๆจะไม่ได้รู้จักมักจี่กับพี่โจ้เป็นการส่วนตัวเลยก็ตาม

เมื่อไม่นานมานี้ วงพอสได้กลับมามีซิงเกิ้ลใหม่ โดยมีเสียงของพี่โจ้ ที่อัดเก็บไว้ก่อนเสียชีวิต อยู่ในเพลงนี้ด้วย ต้องเรียกว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเพลงไทยและคงพอจะทำให้แฟนๆได้หายคิดถึงกันบ้าง แล้วตอนนี้วงพอสก็ได้สมาชิกใหม่ในตำแหน่งร้องนำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการเปิดโอกาสให้แฟนเพลงของวงร้องเพลงคัฟเวอร์เพลงของวงพอส แล้วส่งมาทางแฟนเพจของวง นักร้องคนใหม่ก็คือแฟนเพลงคนนึง ที่ส่งเพลงคัฟเวอร์มาที่แฟนเพจนั่นเอง ยินดีด้วยครับกับการกลับมาของวงพอส หวังว่าพวกเราคงได้ฟังผลงานชิ้นใหม่ในเร็ววันนี้
แล้วที่ว่างของวงพอส ก็ถูกเติมเต็มเสียที

ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ เชสเตอร์ เบอร์นิงตั้น นักร้องนำวงลินคิ้นพาร์คอย่างสุดซึ้ง มา ณ.โอกาสนี้ด้วย เราจะคิดถึงนาย เชสเตอร์ หลับให้สบายนะ
พบกันใหม่ในตอนหน้าถ้าโทรศัพท์ผมยังดีอยู่








วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ถึงคุณ จอร์จ มิลเลอร์

23/8/2017 ที่วัดฉลอง ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต


คุณจอร์ช มิลเลอร์ ที่รัก
ไม่ว่าคุณจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้หรือไม่ก็ตาม
เนื่องด้วยผลงานภาพยนต์แอนิเมชั่นเรื่อง happy feet ภายใต้การผลิตและกำกับภาพยนต์โดยคุณจอร์ช มิลเลอร์ ผมต้องขอกล่าวคำชื่นชมยินดีให้กับคุณ และงานสร้างสรรค์ชิ้นนี้จากใจจริง เพราะหลังจากชมภาพยนต์เรื่องนี้จบแล้ว ผมได้อะไรหลายอย่างจากภาพยนต์เรื่องนี้ เจ้าสัตว์โลกที่น่ารักอย่างเพนกวินที่คุณนำเสนอมาเป็นตัวดำเนินเรื่องนั้น โดนส่วนตัวผม ก็ชื่นชอบสัตว์ชนิดนี้มานานแล้ว แล้วยิ่งเจ้าเพนกวินขนปุยพระเอกของเรา ผู้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการการเต้น ในขณะที่สังคมของเพนกวินโดยรวมในเรื่อง กลับให้ความสำคัญกับการร้องเพลงมากกว่าอย่างอื่น ทำให้บั้บเบิ้ล เติบโตขึ้นมาท่ามกลางอคติของบุคคลรอบข้าง ที่เลวร้ายที่สุด ก็น่าจะเป็นอคติจากพ่อของเขาเอง
คุณจอร์ช มิลเลอร์ ผมไม่อาจทราบได้ ว่าผู้คนบนโลกใบนี้ จะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ตระหนักจริงๆว่า ผลของการทำกิจกรรมทั้งหลายของมวลมนุษย์นั้น มันส่งผบกระทบมากมายเท่าใดกับเพื่อนร่วมโลกสายพันธุ์อื่นๆ นั้นเรายังไม่พูดถึงคนที่ตระหนักรู้ แล้วลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งผมเองเชื่อว่า มีจำนวนไม่น้อย แต่หากเทียบกับสัดส่วนของประชากรทั้งโลก อัตราการบริโภคทรัพยากรและการลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังที่ปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมนั้น คงต้องบอกว่า มันคงมีเพียงจำนวนน้อยนิด และคงไม่อาจทดแทนกับสิ่งที่เราได้สูญเสียไป แม้ว่าจะพยายามมากสักเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่คุณกำลังสื่อสารกับผู้ชมนั้น ช่างน่าสรรเสริญ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณเป็นคนๆเดียวกันกับผู้ที่สร้างสรรค์งานสุดระห่ำอย่าง แมดแม็กซ์ และแน่นอน แมดแม็กซ์ฟิวรี่โรด ให้ตายเถอะ ผมเห็นว่าคุณมองอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์อย่างไร มันเป็นอะไรที่ใครๆเค้าเรียกว่า วิสัยทัศน์
 ในแมดแม็กซ์ ในโลกอนาคต มนุษย์เรากลับไปเป็นคนเถื่อน เข่นฆ่า ปล้นชิง ใช้อาวุธเข้าประหัดประหารกันเพื่อความอยู่รอด น้ำ อาหาร ถิ่นที่อยู่ สิทธิ์ขาดในการสืบพันธุ์และอำนาจ ไม่ต่างจากสัตว์ เป็นโลกร้างๆหลังจากสงครามใหญ่ ผู้คนสูญสิ้นอารยธรรม สิ้นหวัง อันที่จริง มันเคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในประวัติศาสตร์ มันน่าขันที่เราไม่เคยรู้ซึ้งถึงบทเรียนเดิมๆนี้
ในขณะที่ แฮปปี้ฟีต มันฉีกออกไปจนผมคิดไม่ถึงว่า มันเป็นงานจากคนคนเดียวกัน
ผมชอบที่คุณให้คนดูหนังแฮปปี้ฟีดเห็นว่า เพื่อนร่วมโลกของเรานั้นพยายามแค่ไหน ที่จะสื่อสารกับเรา มันเป็นอะไรที่ผู้คนมากมายไม่เคยรับรู้เลย และไม่คิดว่า มันจะเป็นไปได้
 ผมเฝ้ามองปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลก ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย สติปัญญามนุษย์สรรสร้างเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ถางถางอุปสรรคข้อจำกัดให้เราพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และทิ้งเศษซาก ความพินาศย่อยยับของสมดุลแห่งธรรมชาติไว้เบื้องหลัง ภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยคร้้งกว่าเดิม แถมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกมีอัตราที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กระแสน้ำเย็นน้ำอุ่นในทะเลมหาสมุทรผันแปรไปจนสัตว์บางชนิดไม่อาจดำรงค์สายพันธุ์ของตัวเองไว้ การดูดซับคาร์บอนไดอ็อกไซต์และของเสียอื่นๆจากกิจกรรมต่างของมนุษย์ ทำให้น้ำทะเลมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป เป็นพิษมากขึ้น เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไปเรื่อยๆหมุนเวียนกลับมาสู่มนุษย์เรา ส่วนบนบก ป่าไม้และสัตว์ป่าก็นมีจำนวนลดลงเรื่อยๆเช่นกัน
คุณจอร์จครับ เราจะทำอย่างไรกันดี เรายังพอมีเวลาเหลือพอที่จะแก้ไขบ้างหรือไม่ หรือโลกของเรา กำลังเดินทางไปสู่สิ่งที่คุณเคยจินตนาการไว้ ในแมดแม็กซ์
สุดท้ายนี้ คุณจอร์จ มิลเลอร์ ผมยังไม่สิ้นหวัง ผมยังมีฝัน ยังมีแรงบันดาลใจที่จะสรรสร้างสิ่งดีๆไว้ให้กับโลกใบนี้ บ้านของเรา ถึงมันจะเล็กน้อยก็ตาม และผลงานของคุณก็จะยังตราตรึงใจผมไปอีกนานแสนนาน
ขอบคุณและขอแสดงความนับถือ
จากก้นบึ้งของหัวใจ ข้าน้อยขอคารวะท่าน
มิสเตอร์เฮิร์บ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...