เข้าเดือนมิถุนายนได้สิบวันแล้ว ฟ้าฝนที่เคยกระหน่ำดังฟ้ารั่วในช่วงนี้ของปีที่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลยในปีนี้ ตั้งแต่ปลายเมษายน ผมนับฝนได้ไม่เกินสิบห่าใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับทุกปีในพื้นที่และช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อสังเกตในท้องทุ่งนา ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น พื้นที่ใกล้เคียงซึ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบกิโลฯ ท้องทุ่งกลับเต็มปรี่ไปด้วยน้ำอันเนืองนอง ลำห้วยล้นทะลักขึ้นท่วมขอบตลิ่ง แหม ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะพระพิรุณเอ๋ย ยิ่งเห็นข่าวน้ำท่วมยุโรป ยิ่งพาลแน่ใจเข้าไปใหญ่ ว่าที่แถวบ้านผมฝนฟ้าไม่ค่อยตกเนี่ย คงเป็นเพราะโดนลมหอบไปตกที่ยุโรปจนหมดนี่เอง แต่ลึกๆก็ยังหวังว่าจะมีเซอร์ไพรซในช่วงที่เหลือของฤดูฝนนี้
การที่ผมห่างหายไปจากการขีดเขียน นั้นก็เพราะปัญหาเดิมๆที่เคยบอกไป นั้นคือไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ที่อ่านแล้วมีประโยชน์มากกว่าตั้งหน้าตั้งตาเขียนไป แต่ไร้สาระหาแก่นสารใดๆมิได้เลย(ซึ่งก็มีบ้างเล็กน้อย อิๆ)ในใจก็คิดอยู่ตลอด ว่าจะเขียนเรื่องราวอันใดดี ที่คนเขียนเขียนแล้วรู้สึกดี แล้วคนอ่านก็น่าที่จะรู้สึกดีด้วย เวลาล่วงเลยผ่านไป ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านตามปกติ ซึ่งขณะนั้นเองเป็นรายการอาหารที่กำลังออกอากาศ ผมชมรายการด้วยความเพลิดเพลิน ผู้ดำเนินรายการ ได้พูดถึงการย่างสเต็ก เคล็ดลับในการย่าง ว่าทำอย่างไรให้ได้ความสุกอย่างที่ต้องการ ความสุก คำๆนี้มาสะดุดใจผม ผู้ดำเนินรายการบรรยายวิธีการทำสเต็กไปเรื่อยๆ เขาได้พูดถึงความพึงพอใจของคนกินสเต็กว่าไม่เหมือนกัน บางคนชอบสุกมาก บางคนชอบสุกปานกลาง บางคนชอบดิบๆหน่อย คนทำอาหารจึงต้องคำนึงถึงคนกินเป็นหลัก ตอนนั้นเองสมองผมนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องนึง ซึ่งพูดถึงอูด้งเป็นแกนหลักของเรื่อง ใครที่เป็นคอหนังคงคุ้นๆบ้างนะครับ พระเอกเป็นลูกของคนขายอูด้ง มีความฝันอยากจะเป็นนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียง(ตลกที่ว่านี้ในเรื่องเป็นแบบคุณโน๊ตอุดมครับ เป็นแบบแสตนด์อัพคอมาดี้) ซึ่งแกเคยเข้าไปแสวงโชคในโตเกียว แต่ก็ล้มเหลว จึงซมวานกลับบ้านมา ซึ่งตอนนั้นเองพ่อพระเอกก็ดันมาตายด้วย พอกลับมาอยู่บ้านก็ไม่มีไรทำ เลยหัดทำอูด้งมันซะเลยดีกว่าอยู่เปล่าๆ ที่ผมนึกถึงนั้นเป็นฉากนึงในหนัง ตอนที่พระเอกกับพี่เขยหัดทำอูด้งจนทำรสชาดได้เหมือนกับตอนที่พ่อพระเอกทำ พอทำได้จึงตักใส่ชามแล้วเอาไปตั้งเซ่นไหว้หน้ารูปศพพ่อพระเอก ซึ่งครบรอบสี่สิบเก้าวันพอดี(ความเชื่อของคนญี่ปุ่น คนที่ตายไปวิญาณจะยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์อีกสี่สิบเก้าวัน เพื่อให้วิญาณได้มีเวลาล่ำลาหรือทำอะไรก็ตามเพื่อที่เวลาจากไปจะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และผู้ตายเอง ให้เวลาทำใจว่างั้นเถอะ)เมื่อพระเอกวางชามอูด้งไว้ที่หน้ารูปถ่ายพ่อเสร็จแล้ว ก็หมดแรงข้าวต้ม ทิ้งตัวลงนอนหลับลงตรงนั้นเอง ซักพัก วิญญาณพ่อพระเอกก็เข้ามากินอูด้งที่ตั้งเอาไว้ให้ พระเอกของเราตื่นขึ้นมาพอดี พ่อพระเอกบอกว่า ที่บ้านนอกนี้ไม่มีอนาคต มีแต่อูด้ง อยากให้พระเอกไปทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องมาดักดานทำอูด้งอยู่ที่บ้านนอกนี้ แกบอกพระเอกอีกว่าการทำให้ทุกคนมีความสุขนั้นไม่ยากเลย แค่ทำอูด้งอร่อยๆให้กินซะก็สิ้นเรื่อง ผมชอบประโยคหลังนี่ มันรู้สึกสมเหตุสมผลและไม่สมเหตุสมผลในเวลาเดียวกัน ซื่อๆแต่โดนใจซะมัด ที่ประทับใจมากๆเป็นตอนใกล้จบ พระเอกทำอูด้งไปแจกเด็กๆในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งตอนพ่อพระเอกยังไม่ตายก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆเรียกว่าคนกี่รุ่นๆในหมู่บ้านต้องเคยกินอูด้งของพ่อพระเอกมาแล้วทั้งนั้น
หนังให้เห็นภาพเด็กกินอูด้งอย่างเอร็ดอร่อย เด็กๆยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข วิญญาณพ่อพระเอกยืนดูภาพนั้นอยู่อีกมุมหนึ่ง แกยิ้มเปี่ยมสุขน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา พระเอกก็น้ำตาไหล (ผมเองก็เกือบๆหุๆ)แกหันมาแล้วบอกขอบคุณพระเอก แล้วเดินจากไป คงไปสู่สุขคติ เพราะดูแล้วคนอย่างแกไม่น่าจะตกนรกนะ เอิ๊กๆๆๆ
สติผมกลับคืนสู่ร่างเดิมหน้าจอทีวี ผมคิดในใจ ว่าผมจะต้องพูดถึงเรื่องนี้หน่อยในงานเขียนชิ้นต่อไป ก็คือชิ้นที่ผู้อ่านๆอยู่นี่ละครับ ผู้ดำเนินรายการ ชิมสเต็กซี่โครงหมูนั่นอย่างเอร็ดอร่อย ผมนึกถึงความสุกของสเต็กแล้วพาลไปนึกถึงความสุขในหนังญี่ปุ่นนั้นได้ยังไง คิดแล้วงง ผมเห็นความสอดคล้องกันอย่างหนึ่งระหว่างความสุกกับความสุข คือไม่ว่าจะความสุกหรือความสุขทั้งสองอย่างมันอยู่ที่ใครจะนิยามค่อนข้างเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล สเต็กจะสุกมากน้อยก็แล้วแต่คนชอบ ความพอดีของคนก็ต่างกันอีก บางคนบอกสุกเท่านี้จึงจะพอดี บางคนบอกไม่ มันต้องสุกกว่านี้ต่างหากถึงจะพอดี แหม ก็ว่ากันไป ส่วนความสุขไม่ว่าจะมีรูปแบบอย่างไรแต่เราก็เรียกมันว่าความสุขอยู่ดี ซึ่งมันก็แล้วแต่บุคคลอีกนั่นแหละ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวในทางโลก แต่ในอีกมุมมองทางจิตวิญาณศาสนาหรือทางธรรม ก็มักจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ซึ่งไม่ต้องนิยามอะไรให้มากมาย ไม่ต้องไปค้นหาให้วุ่นวาย นั่นคือ สงบ คือสุข ซึ่งผมเองเห็นด้วยโดยดุษฎี ฟังดูไม่ยาก แต่ก็ทำไม่ง่าย
หวังว่างานชิ้นนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง
พบกันใหม่เมื่อผมมีเรื่องราวเข้าท่าๆมานำเสนอ
คงไม่นานเกินรอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น