อะไร
คือสิ่งที่ทำให้ผมทำสิ่งๆนี้ สร้างบล็อคนี้ งานเขียนบ้านๆพวกนี้ ถึงไม่มีใครถาม
แต่ผมเต็มใจเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบังอำพราง
ก็ได้แต่หวังว่าผู้อ่านคงอยากจะรู้(ถึงไม่อยากรู้ก็จะเล่าให้ฟังอยู่ดีแหละ
เอิ๊กๆๆ) มันคงต้องเท้าความกันยาวเลยละ อืมมมม ขอนึกก่อน
ตอนเป็นเด็ก
ผมมักได้ยินบ่อยๆว่าพ่อผมเป็นนักอ่านตัวยง สิ่งที่ผมสัมผัสจริงก็คือ
ในทุกๆเช้าพ่อจะมีหนังสือพิมพ์กางอยู่ตรงหน้าก่อนมื้อเช้าเสมอ
บนชั้นวางหนังสือในห้องรับแขก
จะมีหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คประเภทกำลังภายในตั้งเรียงรายอยู่เป็นตับ
แปลกดีที่ผมไม่เคยเห็นพ่อหยิบมาอ่านเลยซักครั้ง รู้แต่ว่า
มันเป็นสมบัติของพ่อที่สะสมมาตั้งแต่ยังหนุ่ม
และผมเองก็ไม่เคยสนใจหยิบมาอ่านเลย
อย่างมากก็หยิบมาดูปกที่เป็นรูปเขียนของจอมยุทธในยุทธจักรต่างๆนาๆ
เค้าวาดออกมาสวยดีนะผมว่า
การเป็นนักอ่านของพ่อนี้แหละเป็นเหตุทำให้ผมต้องโดนหางเลขไปด้วย
เพราะแกมักจะเคี่ยวเข็ญผมให้อ่านหนังสือพิมพ์เหมือนแก พร่ำบอกให้ผมสนใจข่าวสารบ้านเมือง
โดยเปิดวิทยุให้ฟังข่าวทุกเช้า เปิดเสียงดังเลย เป็นการปลุกลูกๆทุกคนไปในตัว
ทุกคนในบ้านก็จะได้ฟังข่าวไปด้วย นั่นละครับ
ตอนเด็กๆผ้าขาวอย่างผมโดนอินเสิร์ตมาแบบนั้น แล้วก็ค่อยๆซึมซับมาเรื่อยๆ
ผมจึงได้มรดกการเป็นนักอ่านของพ่อมาเสี้ยวนึง คือได้แค่เป็นคนชอบอ่าน
ไม่ถึงกับรักใคร่หลงใหลอะไรนัก
พอเริ่มอ่านหนังสือคล่องผมก็เริ่มเสาะหาอ่านในสิ่งที่ผมอยากอ่าน
เริ่มจากหนังสือการ์ตูนไทย ขายหัวเราะ หนูจ๋า มหาสนุก
(หนังสือการ์ตูนในเครือบรรลือสาร )เริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น โดราเอมอน ดราก้อนบอล
หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ ซิตตี้ฮันเตอร์ ฯลฯ บางครั้งก็อ่านนิตยาสารของแม่บ้าง อย่าง
หญิงไทย สกุลไทย ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์..ฯลฯ.(อันหลังนี่ชื่อถูกรึเปล่าไม่แน่ใจนะ
อิๆ) ก็หาอ่านไปตามมีตามเกิด.... ขอออกตัวก่อนว่า
ไม่ใช่ว่าวัยเด็กของผมจะเป็นเด็กที่เอาแต่อ่านๆๆๆนะอย่าเข้าใจแบบนั้น มันจะดูเนิร์ดไป
เอิ๊กๆๆ เวลาที่อ่านหนังสือพวกนี้เป็นเวลาที่นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน
และหลังจากเล่นเฮฮาตามประสาเด็กอยู่แล้ว
นอกเหนือจากพ่อที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมีความสนใจในการอ่าน
ก็เห็นจะมีอีกคนนึงซึ่งมีส่วนสำคัญมากในการเปิดโลกทัศน์ในการอ่านของผม
ผมเรียกเค้าว่า 'จารย์บอย
จารย์= อาจารย์
บอย= ชื่อบอย
'จารย์บอยเป็นเพื่อนรุ่นพี่
อายุมากกว่าผมประมาณสามถึงสี่ปี เป็นคนตัวผอมสูง ผมเหยียด ใส่แว่นหนา ช่างเจรจา
พูดจากวนโอ้ย ใจถึง ชอบอ่านนิยายสงคราม และต้องเป็นของ สยมภู ทศพล
เท่านั้น(รองจากการ์ตูน)ชอบพี่แอ๊ดคาราบาวที่สุดในโลก(แกบอกผมว่าแกยกให้พี่แอ๊ดคือพ่อคนที่สองของแก)ชอบใส่เกงยีนต์ฟิตๆเป้าตุงตามสไตล์พี่แอ๊ดนั่นแหละ
มีคาร์แรคเตอร์ชัดเจน มีความเป็นผู้นำ
เป็นคนแรกในหมู่บ้านที่เจ้าของจักรยานเสือหมอบ นึกถึงตอนนั้นแล้ว
ผมว่าแกเท่ชะมัดผมและเพื่อนๆหลายคนจึงยกให้แกเป็นลูกพี่ นอกจากบุคคลิกภายนอกที่ดูโดดเด่นกว่าใครในเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจมากว่านั้นสำหรับผมของ'จารย์บอยนั้นคือ
แกมีหนังสือการ์ตูนเยอะกว่าใครๆในหมู่บ้าน การ์ตูนญี่ปุ่นที่เกริ่นไปเมื่อซักครู่
ผมก็ได้อาศัยยืมอ่านจากคนคนนี้นี่แหละ
เพราะเหตุผลง่ายๆนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้ผมไปสนิทชิดเชื้อกับแกโดยไม่ยากเย็น และแกยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผมอยากจะอ่านหนังสือนิยายเล่มหนาๆที่มีแต่ตัวหนังสือเป็นครั้งแรกอีกด้วย นิยายเล่มที่ว่านั้นมีชื่อว่า พันธุ์หมาบ้า ของ ชาติ กอบจิตติ(เรื่องราวของจาย์บอยกับผมและเพื่อนๆในวัยเด็กมีเรื่องน่าประทับใจหลายเรื่อง วันหน้าหากมีโอกาส คงจะได้หยิบยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ)แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้อ่านจริงๆ ต้องบอกว่า สมราคาที่’จารย์บอยบอกไว้ก่อนหน้าที่เริ่มอ่าน มันช่างโหดมันฮาดราม่าเสียนี่กระไรท่านจอมยุทธ ข้าน้อยขอคารวะท่านหนึ่งจอกโต๊ะ เอิ๊กๆๆๆ แล้วนิยายหรือวรรณกรรมเล่มหนาๆ ก็ไม่น่ากลัวหรือน่าเบื่อสำหรับผมอีกต่อไป
เพราะเหตุผลง่ายๆนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้ผมไปสนิทชิดเชื้อกับแกโดยไม่ยากเย็น และแกยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผมอยากจะอ่านหนังสือนิยายเล่มหนาๆที่มีแต่ตัวหนังสือเป็นครั้งแรกอีกด้วย นิยายเล่มที่ว่านั้นมีชื่อว่า พันธุ์หมาบ้า ของ ชาติ กอบจิตติ(เรื่องราวของจาย์บอยกับผมและเพื่อนๆในวัยเด็กมีเรื่องน่าประทับใจหลายเรื่อง วันหน้าหากมีโอกาส คงจะได้หยิบยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ)แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้อ่านจริงๆ ต้องบอกว่า สมราคาที่’จารย์บอยบอกไว้ก่อนหน้าที่เริ่มอ่าน มันช่างโหดมันฮาดราม่าเสียนี่กระไรท่านจอมยุทธ ข้าน้อยขอคารวะท่านหนึ่งจอกโต๊ะ เอิ๊กๆๆๆ แล้วนิยายหรือวรรณกรรมเล่มหนาๆ ก็ไม่น่ากลัวหรือน่าเบื่อสำหรับผมอีกต่อไป
ช่วงเวลาไล่ๆกันก็มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของนักเขียนชื่อดังอีกท่านนึง
คือ ประภัทรสร เสวิกุล
เล่มนั้นมีชื่อเรื่องว่า ชีค
เป็นหนังสือที่พี่สาวหามาอ่านแล้ววางทิ้งๆไว้ ผมก็เลยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย
ความสนใจด้านการอ่านของผมเป็นไปอย่างอย่างสะเปะสะปะ
ตอนเรียนมัธยมต้นครูบอกให้อ่านหนังสือนอกเวลา หุบเขากินคน (จำชื่อคนเขียนไม่ได้
ขออภัยด้วยครับ) อีกเรื่องน่าจะเป็น คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ
(เรื่องหลังนี่เศร้าชะมัดเลย)ก็อ่านไม่จบ จะพูดให้ชัดลงไปกว่านั้นก็คืออ่านไม่ค่อยเข้าหัวเลย
เหมือนเด็กถูกบังคับให้กินผักอะไรทำนองนั้น
แต่ก็พอมีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมดีๆที่ตนเองสนใจมันกลับอ่านได้สบายไม่รู้สึกฝืนแต่อย่างใด อย่างพวกเรื่องสั้นในหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ของอย่างนักเขียน ดำรงค์ อารีย์กุล, อธิชัย บุญประสิทธิ์, น้ำอบ ฯลฯ บ่อยครั้งก็จะมีเรื่องสั้นไซไฟแบบไทยๆเจ๋งๆมาลงให้อ่านกัน
เรียนมัธยมปลายก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านหนังสือหรือนิยายดีๆเลยเพราะชีวิตช่วงนั้นมันมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด
จึงหลงๆลืมๆการอ่านไปบ้าง
แต่ก็เป็นช่วงมัธยมปลายนี่แหละเป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความคิดที่อยากจะเป็นนักเขียนเป็นครั้งแรก(เพราะเรื่องสั้นเจ๋งๆในขายหัวเราะนั่นแหละ
แถมถ้าได้ลงก็จะได้ตังค์ใช้ด้วยนะ)
แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันคงอยู่ไกลจากจุดที่คิดฝันนั้นมากมายนัก
แล้วผมก็ปล่อยให้มันเป็นอีกหนึ่งอย่างในชีวิต ที่อยากจะทำและอยากจะเป็น
แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจะคิดว่าจะทำ
พอเรียนมหาวิทยาลัย
ชีวิตผมยุ่งเหยิงหนักกว่าเดิมมาก เรื่องการอ่านมันช่างเป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน
มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มนึง
เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คที่คิดว่าน่าจะมีคนรู้จักเยอะพอสมควร "ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา" ของโรเบิร์ต ฟลูกลัม
พอได้อ่านแล้วก็ประทับใจมาก อยากจะขอบคุณเพื่อนคนนี้อีกซักครั้งนึงที่แนะนำให้ผมได้อ่านหนังสือดีๆที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เป็นอีกครั้งนึงที่อ่านจบเล่มแล้วมีไฟ
อยากจะลุกขึ้นมาขีดเขียน อะไรๆดีๆ ที่สร้างสรรค์แบบนี้กับเค้าบ้าง
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากคิดว่าจะทำ
ช่วงปีที่ห้าหรือหกในชีวิตนักศึกษา
ผมได้เช่าห้องร่วมกับรูมเมทคนหนึ่ง เป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม
หมอนี่เป็นแฟนตัวยงของนวนิยายกำลังภายในเลยละครับ นอกเหนือจากกิจกรรมการดื่มกิน
เตะบอล อ่านหนังสือวิเคราะห์ฟุตบอล
ทำงานพิเศษเพื่อเลี้ยงชีพและเป็นทุนในการแทงพนันบอลแล้ว การอ่านนวนิยายกำลังภายในที่หาเช่าได้ตามร้านในซอยที่เราพักอาศัยอยู่
ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมสุดโปรดของเพื่อนคนนี้
เป็นเหตุชักนำให้ผมได้ทำความรู้จักกับนิยายกำลังภายในอย่างจริงๆจังๆเสียทีหลังจากเดินสวนกันไปมาตั้งแต่เล็กจนโต
จาก มังกรคู่สู้สิบทิศ ของหวงอี้ ผมเริ่มติดใจ และเริ่มเสาะหาอะไรที่มันคลาสสิกกว่านั้น
อย่าง มังกรหยก เดชคำภีร์เทวดา ชอลิ้วเฮียง
ฤทธิ์มีดสั้น ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ และอื่นๆอีกมากมายบรรยายไม่หมด
ผมใช้ชีวิตนักศึกษา เรียน ทำงาน ว่างงาน
อยู่บ้านเฉยๆ สลับสับเปลี่ยนวนเวียนไปมาอยู่หลายปีดีดัก
เผลอแปบเดียวเข้าปีที่เก้าแล้วสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรี
ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมชั้นครู ที่ใครๆต่างก็รู้จักกันดี เพชรพระอุมา
ของฉัตรชัย วิเศษสุวรรณ
อย่างที่เค้าว่ากันครับ มันสนุกจนวางไม่ลงจริง ได้ยินกิตติศัพท์มานาน
สมคำร่ำลือจริงๆครับ
สองสามปีก่อนหน้า จิตใจผมเริ่มนิ่ง เริ่มมองชีวิตอย่างจริงจังกว่าที่ผ่านมา พิจารณาช่วงชีวิตที่ผ่านมา ความผิดพลาดบทเรียนต่างๆ ผมได้แต่เสียใจและโทษตัวเอง และไม่ลืมที่จะโทษคนอื่นด้วย เอิ๊กๆๆ ทุกๆคืนผมนอนก่ายหน้าผาก เสียดายวันเวลาเก่าๆ ที่เคยใช้ชีวิตโดยประมาทหยิ่งผยองจองหองและกังวลกับอนาคตข้างหน้าที่ดูจะมืดมนลงเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น ผมหงอกขาวที่นานๆจะมาสักเส้นนึง บัดนี้มันมาแบบสปีดและเรียกพรรคพวกมันมาด้วยอีกบานตะไท ริ้วรอยแห่งประสบการณ์บานสะพรั่งอยู่ทั่วใบหน้า ผมกลัดกลุ้มและหาทางออก ด้วยความเมา และผมได้เริ่มลองปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจต่างๆนาๆผ่านตัวอักษรดู เนื้อหามันไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่การได้ระบายออกไปมันเวิร์คมากทีเดียว ผมเริ่มเขียนๆๆๆๆๆๆ เหมือนที่บอกไป มันไม่มีอะไรนอกจากความท้อแท้สิ้นหวังโทษตัวเองโทษคนอื่น ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อกลับมาอ่านมันยิ่งฉุดอารมณ์ให้ผมจมดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งจิตใจ แต่ทว่าผมติดใจการเขียนซะแล้ว และอยากจะเขียนอะไรที่อ่านไปแล้วรู้สึกดีอ่านและจิตใจมันชุ่มฉ่ำ อิ่มเอม อ่านแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันดีจังเลย เหมือนกับที่เพื่อนเคยแนะนำให้ผมอ่านมาเมื่อหลายปีมาแล้ว
สองสามปีก่อนหน้า จิตใจผมเริ่มนิ่ง เริ่มมองชีวิตอย่างจริงจังกว่าที่ผ่านมา พิจารณาช่วงชีวิตที่ผ่านมา ความผิดพลาดบทเรียนต่างๆ ผมได้แต่เสียใจและโทษตัวเอง และไม่ลืมที่จะโทษคนอื่นด้วย เอิ๊กๆๆ ทุกๆคืนผมนอนก่ายหน้าผาก เสียดายวันเวลาเก่าๆ ที่เคยใช้ชีวิตโดยประมาทหยิ่งผยองจองหองและกังวลกับอนาคตข้างหน้าที่ดูจะมืดมนลงเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น ผมหงอกขาวที่นานๆจะมาสักเส้นนึง บัดนี้มันมาแบบสปีดและเรียกพรรคพวกมันมาด้วยอีกบานตะไท ริ้วรอยแห่งประสบการณ์บานสะพรั่งอยู่ทั่วใบหน้า ผมกลัดกลุ้มและหาทางออก ด้วยความเมา และผมได้เริ่มลองปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจต่างๆนาๆผ่านตัวอักษรดู เนื้อหามันไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่การได้ระบายออกไปมันเวิร์คมากทีเดียว ผมเริ่มเขียนๆๆๆๆๆๆ เหมือนที่บอกไป มันไม่มีอะไรนอกจากความท้อแท้สิ้นหวังโทษตัวเองโทษคนอื่น ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อกลับมาอ่านมันยิ่งฉุดอารมณ์ให้ผมจมดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งจิตใจ แต่ทว่าผมติดใจการเขียนซะแล้ว และอยากจะเขียนอะไรที่อ่านไปแล้วรู้สึกดีอ่านและจิตใจมันชุ่มฉ่ำ อิ่มเอม อ่านแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันดีจังเลย เหมือนกับที่เพื่อนเคยแนะนำให้ผมอ่านมาเมื่อหลายปีมาแล้ว
สองปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ
ผมใช้เวลาว่างจากการเรียนไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
ไม่ใช่ว่าผมจะเอาเกียรตินิยมหรอกนะแค่ไปอ่านสิ่งที่อยากอ่าน
ที่อ่านแล้วจะมีวัตถุดิบดีๆไปไว้ตระเตรียมผลิตงานเขียนในอนาคต(จริงๆแล้ว
ไม่มีอะไรทำมากกว่า แฮะๆ)
เห็นได้ชัดว่าผมช่างหาวัตถุดิบได้น้อยจริงๆเมื่อเทียบกับเวลาสองปีที่ผ่านไป
และที่ทำอยู่นี้ ก็ไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับนิยายเลยซักนิด (เพิ่งนึกได้ว่า
กูมาผิดทางนี่หว่า เอิ๊กๆๆ) นับเป็นช่วงเวลาที่ผมใช้เวลาไปกับการอ่านมากที่สุดในชีวิต
ผมได้อะไรหลายๆอย่างจากการลงเวลาไปครั้งนั้น
เมื่อเรียนจบผมก็เก็บข้าวของกลับต่างจังหวัด
อยู่บ้านก็นั่งๆนอนๆอยู่เป็นปีๆไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังดีหน่อยมีอินเตอร์เน็ตมีคอมให้เล่นแก้เซ็ง
ก็มีไปสอบนั่นสอบนี่กะเขาบ้างเหมือนกันนะ แต่ก็สู้เขาไม่ได้ อายุก็เยอะ ความกระตือรือร้น
กระฉับกระเฉงมันก็ลดลง ตอนนั้นกระแสเรื่องบล็อกเกอร์เริ่มเข้ามาใหม่ ผู้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนเริ่มให้การตอบรับเป็นอย่างดี(ดูตามข่าวสารบ้านเมืองอะนะ)
รวมถึงผมด้วย อยากจะมีกับเค้าบ้างว่างั้นเถอะ ด้วยความที่เราอยากจะเป็นคอลัมนิสเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
ผมก็เลยสมัครเป็นบล็อกเกอร์กับทางกูเกิ้ลมาตั้งแต่ตอนนั้น
ก็ครับ
ที่ร่ายมาตั้งนานก็มาสรุปเอาง่ายๆแบบนี้แหละ ที่มา ของบล็อกบล็อกนี้ก็เป็นอย่างที่เล่ามานี่ละครับ
ส่วน ที่ไป จะเป็นอย่างไร ก็อยากให้ติดตามกันต่อไป อย่าทิ้งกันนะครับคุณผู้อ่าน
สำหรับวันนี้ ขอกล่าวคำว่า
สวัสดีวันวาเลนไทน์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น