เจ็ดเดือนแห่งความว่างเปล่า ไร้อารมณ์ ไร้แรงจูงใจ ไร้ความมุ่งมั่น และพลังแห่งการสร้างสรรค์ อยากกลับมาทำงานที่ผมรักเสมอ ดูเหมือนว่า จิตวิญญาณของนักสร้างสรรค์จะไม่ค่อยมาสิงผมเท่าไหร่ วังวนอุบาทว์เดิม อยากเขียน อยากพูด อยากบอกเล่า แต่พอกลับมาถึงหน้าสร้าง บทความใหม่ ในหัวสมองก็กลับมีแต่ความว่างเปล่า เช่นเดียวกับวันนี้
ในทัศนะของผม การเขียนระบายอารมณ์ความรู้สึก นั่นไม่ใช่งานเขียนที่ดีเลย หากไม่มีใครรู้สึกคล้อยตามเคลิบเคลิ้มไปกับมัน บ่อยครั้งที่ผมเปิดไปเจองานเขียนประเภทเดียวกับที่ผมเขียนชิ้นนี้ แล้วมีความรู้สึกไม่อยากจะอ่านมันเลย แน่ละ แกเป็นใคร ทำไมคนถึงอยากจะรู้ว่าแกรู้สึกนึกคิดอะไร หากไม่มีประเด็นกระทู้ถามความสงสัยที่คนอ่าน อยากรู้ ต้องการคำตอบจริงๆ ผมรู้สึกแบบนั้น และคิดว่าผู้ใดที่เปิดเข้ามาอ่านบทนี้ คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมหรอกครับท่าน มันช่างไร้จินตนาการนัก
เจ็ดเดือนที่ผ่านมา ผมได้ไปทำอะไรมามาก มายหลายอย่าง เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มีประเด็นที่อยากถ่ายทอดมุมมองก็หลายเรื่อง และส่วนมาก พอเวลาอยากจะเขียนจริงๆก็มักจะลืมไปเสียหมด และส่วนมากกว่าส่วนมาก ก็มักเข้าใจว่าไอ้สิ่งที่เราจะพูดบอกเล่านั่นน่ะ มันช่าง ไม่เข้าท่าเลยซักนิดเลยที่จะขีดเขียนออกมา แบบว่าตีค่ามันก่อนที่จะส่งออกมาสู่สายตาผู้อื่น ประเมินเอาด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดนั่น
สองสามวันนี่กระมัง ที่ทำให้ผม รู้สึกว่าอยากจะเขียน(หรือพิมพ์) ออกมาจริงๆ อาจจะเป็นเพราะดูหนังหรือสื่ออะไรซักอย่างที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือ หรือแรงบันดาลใจเกี่ยวกับวรรณกรรมนี่แหละ เป็นเหตุ
ชัดๆเลยก็คือได้มีโอกาสดูหนังเรื่องมหาลัยเหมืองแร่ทางเคเบิ้ลทีวี ซึ่งวรรณกรรมชุดนี้ผมได้อ่านไปแค่ไม่กี่ตอน แต่หลงไหลในลีลาและสำนวนการใช้ภาษาของผู้ประพันธ์มาก และทำให้ผมคิดอยากจะขีดเขียนจริงๆจังๆขึ้นมาอีกครั้งนึง
จะว่าไปแล้ว เราไม่อาจบอกได้ว่า เราอ่านงานเขียนไปมากน้อยเท่าใด จึงจะทำให้เรารู้สึกอยากจะเขียนงานของเราเองขึ้นมาได้ ปริมาณมากน้อยนั้นมันขึ้นอยู่กับเจ้าตัว(คนที่อ่าน)เท่านั้น ที่จะบอกได้ อุปมาดังคนชอบกินลาบ รสชาติจะ เค็ม ขม เผ็ดเท่าใดถึงจะอร่อย มีแต่ผู้กินเท่านั้นที่จะตัดสิน มันช่างหาอัตราส่วนที่แน่นอนคงที่เอาไม่ได้เสียเลย ดังนั้น ผู้ปรุงจึงต้องเรียนรู้ว่าผู้บริโภคมักจะชอบส่วนผสมประมาณเท่าใด ในส่วนของกระผมเอง มักจะปรุงเองกินเองเสียมากกว่า(เพราะบล็อกนี่ไม่ทราบว่ามีคนอ่านหรือไม่ และไม่เคยเห็นมีคอมเม้นท์เลย)รสชาติของงานเขียนผมจึงเต็มไปด้วยการสนองตัณหาความอยากจะเขียน ระบายถ่ายทอดเท่านั้นเอง คุณค่าเชิงวรรณกรรมในมิติอื่นๆที่ผู้อ่านควรได้รับ จึงมีน้อย หรืออาจไม่มีเลยในสายตาของผู้ใดก็ตามที่ผ่านเข้ามาอ่านงานเขียนชิ้นนี้ แต่นั่น ไม่ได้ทำให้ความอยากขีดเขียนของผมลดลงได้เลย
ขอบคุณโลกไซเบอร์ที่มีพื้นที่ให้ผมได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ ได้ทำในสิ่งที่รัก แม้ไม่รักที่สุด แต่คำว่า ที่สุด จริงๆของผมนั่นมีจริง เพียงแต่มันเป็นจริงในช่วงเวลานั้นเท่านั้น และท้ายที่สุดในชีวิตคนๆนึงอาจ ไม่ได้มีเพียงสิ่งเดียว หรือครั้งเดียว ที่เราเรียกว่า ที่สุด ผมเชื่อเช่นนั้น และผมเชื่อมากว่านั้นว่า หากเราไม่รีบชิงตายไปเสียก่อน และรู้จักเรียนรู้ และเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต ไอ้คำว่า ที่สุด นั้น มันช่างเหลวไหลสิ้นดี
ขอบคุณครับ ไว้เจอกันครั้งหน้า เมื่อวันเวลาพากระตุ้นต่อม อยาก ของผมอีกครั้ง
ที่ไหนๆก็ได้ ขอให้เราชอบก็พอ ไม่ต้องรอให้ตายก่อนก็ไปได้ ทั้งโลกแห่งความจริงและโลกสมมุติ ที่ๆทุกอย่าง เป็นไปอย่างที่เรา อยากให้เป็น
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ข่าวดี มีมานานแล้วครับ
กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดตบล็อคไปนาน ผมก็ขออนุญาตกลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...
-
รับปากกับข้า ว่าเอ็งจะยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม อย่าได้ใช้ดนตรีไปในทางที่เสื่อม คิดเอาดีเอาเด่น หักหาญผู้อื่นเป็นขาด และต่อแต่นี้...
-
ฟอร์เรสท์ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานิ่ม (Forrest Gump) เป็นภาพยนตร์แนวชีวิต - เบาสมอง ที่ออกฉายใน ค.ศ. 1994...
-
แหลมพรหมเทพ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของภูเก็ต ที่แขกไปใครมาก็ไม่อยากจะพลาดการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ แหลมพรหมเทพห่างจากหาดราไวย์ไม่ถึงสิบนาทีโดยรถย...