วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556



                                                                                                  สื่อภาพยนต์
ภาพยนต์หรือหนัง คือกระบวนการบันทึกภาพด้วยฟิลม์ แล้วนำออกฉายในลักษณะที่แสดงให้เห็นภาพเคลื่อนไหว ภาพที่ปรากฏบนฟิลม์ภาพยนต์หลังจากผ่านกระบวนการถ่ายทำแล้วเป็นเพียงภาพนิ่งจำนวนมาก ที่มีอิริยาบทหรือแสดงอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยต่อเนื่องกันเป็นช่วงๆตามเรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทำและตัดต่อมา ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นการแสดงให้เหมือนจริง หรืออาจเป็นการแสดงและสร้างภาพจากจินตนาการของผู้สร้างก็ได้
ที่มา วิกิพิเดีย
หลังจากที่ได้พูดคุยสัพเพเหระกับลูกค้าท่านหนึ่ง ก็ได้ทราบว่าลูกค้าท่านนี้มีอาชีพเกี่ยวกับกราฟฟิกดีไซน์ ความเป็นคนขี้สงสัย ผมจึงถามลูกค้าไปว่า อีกนานไหมที่อะนิเมชั่นของคนไทยจะเทียบได้กับฝั่งฮอลลีวูดในวันนี้ได้ คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน รู้แต่คงอีกนานมากๆ  ผมจึงถามต่อไปว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหน เทคโนโลยีเครื่องไม้เครื่องมือใช่หรือไม่ ลูกค้าบอกว่าไม่ใช่ซะทีเดียว มันคือปัญหาใหญ่ที่ใครก็แก้ไม่ตก นั่นคือ เงิน  ลูกค้ายังให้ทัศนะว่า เรา(ผู้ผลิตภาพยนต์บ้านเรา)ไม่ควรไปหนังที่เน้นขายหรือโชว์แอนนิเมชั่น แต่ให้เน้นไปที่ไอเดียมากกว่า แต่ไม่ลืมย้ำว่า คนไทยก็ทำได้เหมือนฝรั่งแหละความสามารถไม่ได้ต่างกันนักหรอก ประเด็นคือ เราจะไปตามเค้าอะไรนักหนา  ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยในประเด็นนี้อย่างยิ่ง เห็นจากหนังไทยหลายๆเรื่องที่ประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่องที่โด่งดังเป็นหน้าเป็นตาในต่างประเทศนั้น ไม่ปรากฏว่ามีหนังไทยเรื่องใดเลยที่มีความโดดเด่นเรื่องวิช่วลเอฟเฟ็คหรือสเปเชียลเอฟเฟ็คเลย แล้วอะไรทำให้หนังเหล่านั้นประสบความสำเร็จในเวทีโลกละ ส่วนตัวผมเห็นว่า มันคือความเป็นท้องถิ่น ความเป็นตัวตนของเรา(วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ความเชื่อและอะไรๆอื่นๆทำนองนั้น)มากกว่าหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของไลฟ์สไตล์ทันสมัยหรือหนังที่โชว์ให้เห็นความสมจริงสมจังของภาพ(จากงานด้านวิช่วลเอฟเฟ็ค) การสนทนาระหว่างผมกับลูกค้าคนนั้นจบลงโดยไม่มีข้อสรุปใดๆ มีเพียงผมเองเท่านั้น ที่ครุ่นคิดเรื่องที่พูดคุยกันนั้นต่อไปเงียบๆคนเดียว
และนั่น คือที่มาที่ทำให้ผมอยากจะเขียนถึงสิ่งนี้ สิ่งที่ผมชื่นชอบหลงใหลตลอดมา สิ่งที่ทรงพลังและ มีทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผม สิ่งที่เปิดโลกทัศน์ มุมมอง ความรู้ ความใฝ่ฝัน แรงบันดาลใจ(เยอะไปแระ) และยังไม่เคยเลิกหวังว่าสักวันหนึ่ง จะได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งๆนี้ซักครั้งคราในชีวิต มันคือ แทนนนนทะละแลนนแทนๆๆๆๆๆๆๆ หนัง หรือภาพยนต์นั่นเองงงงงเงงงงงงงงงง
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังอยู่ป.6(ประมาณปี 2532-2533) ทางบ้านให้ผมเข้าไปเรียนกวดวิชาในตัวเมืองในวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อแห่งนึง แม่จะให้เงินไปครั้งละ25 บาทต่อหนึ่งวัน ค่ารถบัสไปกลับ รวม 10 บาทเหลืออีก15บาทเป็นค่ากิน ผมมักจะเก็บเงินส่วนค่ากินไว้ เพื่อไปดูหนัง กิจกรรมที่ผมชื่นชอบ ค่าตั๋ว10บาทแถวหน้าสุด ผมนั่งแถวหน้านั้นเป็นประจำไม่เบื่อเลย(เบื่อไม่ได้ เพราะมีงบเท่านั้น) ผมใช้เวลาว่างหลังจากเรียนกวดวิชา ไปดูหนังคนเดียวเป็นประจำ ตั้งแต่นั้นมา ตราบจนถึงปัจจุบันก็ยังทำอยู่ และไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใดที่จะต้องทำกิจกรรมนี้เพียงผู้เดียว
ย้อนเวลากลับก่อนหน้านั้นอีก เมื่อครั้งที่ผมเพิ่งจำความได้ พ่อกับแม่พาผมไปเที่ยวปีใหม่ในตัวเมือง หลังจากพาเดินดูงานออกร้านของกาชาดเสร็จพ่อกับแม่จะพาลูกๆไปกินสุกี้ยากี้เจ้าประจำ จากนั้นพ่อก็พาพวกเราไปดูหนังกัน นั้นถือเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเจ้าสิ่งนี้ เจ้าภาพยนต์ เสียดายผมจำชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ที่ผมจำได้มันเป็นหนังกำลังภายใน พระเอกคือ บรู๊ซ ลี และเป็นสูตรสำเร็จของหนังจีนกำลังภายใน นั่นคือ ผู้ร้ายฆ่าอาจารย์ของพระเอก พระเอกก็ฝึกวิทยายุทธ เมื่อฝึกสำเร็จก็ไปแก้แค้นให้อาจารย์ ที่จำได้อีกอย่างคือ พระเอกอ่านหนังสื่อโป๊ เป็นหนังสือโป๊แบบภาพวาดด้วยละ แหะๆ
พอโตขึ้นมาหน่อย ผมเริ่มออกไปดูหนังกลางแปลงตอนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นแบบเก็บตังค์ แบบงานคนตาย แบบงานบวช งานบุญ ผมก็จะหาโอกาส ออกไปดูเสมอ ซึ่งพ่อไม่ชอบเลย ถ้าพ่อรู้ว่าผมแอบหนีไปดูหนังตอนกลางคืน ก็จะมีตีสั่งสอนให้เจ็บตัวกันบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเข็ดหลาบ ก็คนมันชอบดูจริงๆนี่หน่า เอิ๊กๆๆ นอกจากหนังที่เป็นจอใหญ่ ผมก็ได้มีโอกาสดูหนังวีดีโอบ้างเป็นครั้งคราว โดยไปอาศัยดูบ้านเพื่อน(พ่อมันเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีฐานะดีมากทีเดียว)ที่ประทับใจมากก็ คนเหล็ก 2029 (รู้จักอาร์โนล ก็ตอนนั้นแหละ) ชาร์ลี แชปปลิ้น และ เทวดาท่าจะบ๊อง เวอร์ชั่นพากษ์ลาว แหม ตอนนั้นมันฮาสุดๆจริงๆ มีโอกาสจะซื้อเก็บไว้ดูระรึกความหลัง
พอเข้าเรียนม.1 ผมสะดุดตากับนิตยาสารเล่มนึงบนแผงหนังสือที่ท่ารถบัส ตอนกำลังจะกลับบ้านตอนเย็น เป็นนิตยาสารเกี่ยวกับหนัง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน(13 กันยายน 2556)ไม่แน่ใจว่าปิดตัวลงหรือยัง(ขอชมว่าเป็นนิตยาสารที่มีอายุยืนยาวนานมากเล่มนึง นั่นหมายความว่าจะต้องมีแฟนๆหนังสือเล่มนี้อยู่ไม่น้อย แล้วต้องมีสัมพันธ์อันเหนียวแน่นมากทีเดียว สองสามปีก่อนยังเห็นอยู่บนแผงหนังสืออยู่นะ) นิตยาสารเล่มนั้นชื่อว่า สตาร์พิค (star pic)ผมตัดสินใจซื้อโดยไม่คิดมาก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้รู้เรื่องราวของหนังในมิติอื่นๆ ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก มากขึ้นกว่าการเป็นแค่คนดูหนัง ประสบการณ์วัยเด็กเหล่านั้น ทำให้ผมดูหนังได้ไม่จำกัดแนวทาง แต่ผมไม่ได้บอกนะว่าผมเป็นกูรูทางด้านนี้นะ แค่บอกว่า ผมเป็นคนชอบดูหนังเท่านั้นเอง

ในตอนหน้า ผมจะมาพูดถึงหนังเรื่องโปรดของผม มาดูซิว่า หนังที่อยู่ในจะผม มันจะอยู่ในใจคุณผู้อ่านด้วยหรือไม่ มาติดตามกันได้ในตอนหน้า วันนี้ขอลาไปก่อนครับ 



ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...