วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมตัดสินใจจะทำนาด้วยวิธีหยอดเมล็ด

                                             

น่าอายเหลือเกินครับคุณผู้อ่าน แม้ว่าจะอายแค่ไหน จะถูกด่าประนามอย่างไรหลังจากนี้ ผมก็จะเล่าตามความจริง ดีกว่าโกหกกัน ที่ผมเล่าไปในตอนที่แล้ว ว่าทำโน่นทำนี่ด้วยวิธีการที่คิดไว้แล้วว่าเจ๋งและสดใหม่ว่างั้นเถอะ หลังจากที่โพสเรื่องราวตอนที่แล้ว ฟ้าฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมา ผมแหงนมองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้งในหนึ่งวัน เมื่อฟ้าครึ้ม ผมจะเดินออกไปดูนอกชายคา ผมสังเกตุว่ามันเป็นเมฆฝนที่ผ่านการตกมาจะพื้นที่อื่นแล้วพัดผ่านมาเท่านั้นเอง และเป็นเช่นอยู่ติดต่อกันอีกราวหนึ่งสัปดาห์ มันน่าเจ็บใจไหมละครับ ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้น ผมพยายามติดต่อรถไถนาให้มาปั่นพรวนดินที่ไถไปแล้วครั้งแรก เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการขั้นต่อไป ไม่ว่าจะดำกล้า หรือหยอดเมล็ด ใช้เวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีพื้นที่ทั้งหมดก็ถูกเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ผมเตรียมอุปกาณ์บางอย่าง เพื่อรองรับกับแผนการที่วางไว้ ผมเลื่อยไม้กระดาน ที่มาจากฝาบ้านเก่า ความยาวประมาณเมตรยี่สิบ และความกว้างให้เหลือประมาณสามนิ้ว นำไม่ไผ่มาผ่าให้มีขนาดดังนี้ กว้างประมาณสามเซนติเมตร ยาวประมาณสิบนิ้ว เหลาปลายข้างหนึ่งให้เรียวมนเล็กน้อย ผมใช้ไม้ไผ่แบบที่ว่าหกชิ้น ผมนำมาทาบกับไม้กระดานที่เตรียมไว้ ให้ปลายด้านแหลมยาวโผล่พ้นออกมาประมาณหกเจ็ดนิ้ว แล้วตอกตะปูติดไว้เป็นซี่ๆเว้นระยะห่างเท่าๆกัน ผมจะได้ชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนคราด ฟันห่างพอประมาณ (เป็นระยะห่างคร่าวๆของต้นข้าวแต่ละหลุม)ผมหาไม้หน้าสองยาวประมาณเมตร มาตอกเข้าตรงกึ่งกลางของชิ้นงานนั้นเพื่อเป็นด้ามจับ วิธีใช้งานเราจะใช้ฟันคราดไม้ไผ่นี้ ปักลงในผืนดินที่ร่วนซุยเบาๆ หนึ่งทีได้หกรู ยกมันขึ้น แล้วหยอดเมล็ดข้าวลงไป แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จ แจ๋วไปเลยใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน หุๆ รุ่งเช้าผมจะได้ทดลองใช้งานมันเป็นครั้งแรก

ก่อนหน้านี้ประมาณสองวัน ผมออกหาข้าวพันธุ์เพื่อการนี้ มันหายากมาก ชาวนาส่วนมากไม่เหลือข้าวพันธุ์แล้ว แต่ก็ได้มาหนึ่งกระสอบ หากเป็นนาหว่านต้องใช้มากว่านี้สองถึงสามเท่า แต่เนื่องจากผมจะหยอด ข้าวเพียงหนึ่งกระสอบจึงเหลือเฟือเหลือหลาย และในที่สุดผมก็ต้องหามาเพิ่ม แหะๆเดี๋ยวรู้แน่ว่าเพราะอะไร ไม่เกินความคาดหมายของผู้อ่านหรอกครับ

เช้าของอีกวัน ผมตระเตรียมอุปรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดอันประกอบด้วย เสียมขนาดเล็กด้ามนึง อุปกรณ์ลูกครึ่งระหว่างคราดกับเสียมที่ทำขึ้นเมื่อวาน ถังพลาสติกสำหรับใส่พันธุ์ข้าว กระเป๋าสะพายเก่าๆทิ้งแล้ว(จะเอาไปใส่ข้าวพันธุ์ สะดวกกว่าเมื่อจะหยอดข้าว ดีกว่าหิ้วถังข้าวไปทั้งถัง) เสื้อแขนยาว หมวก น้ำหนึ่งขวด ไม่เตรียมมื้อเที่ยง เพราะอยู่ไม่ไกลบ้านนัก แบ่งข้าวจากกระสอบใส่ถังจนเกือบเต็มเผื่อเอาไว้ ทั้งที่คิดว่าหยอดทั้งวันก็คงไม่หมด กินข้าวเช้าอิ่มแล้วก็บึ่งรถมอเตอร์ไซต์ออกไป มุ่งสู่ท้องทุ่งแห่งความหวัง

ไม่ถึงห้านาที ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย ผมไม่รีรอ แบ่งข้าวใส่กระเป๋าสะพาย สวมเครื่องแบบ หยิบอุปกรณ์ แล้วลงมือทันที ผมลองปักเจ้าลูกครึ่งเสียมกับคราดลงครั้งแรก แล้วยกขึ้นดู รู้สึกจะลึกเกินไปนิด คงเพราะดินที่เพิ่งปั่นมันร่วนมากและยังกะน้ำหนักมือได้ไม่พอดีนัก พอย่อตัวลงจะหยิบข้าวลงหยอดเท่านั้นละ กระเป๋าใส่ข้าวที่สะพายอยู่เกิดเอียงกระเท่เร่เทเมล็ดข้าวส่วนนึงลงไปกองกับพื้นประมาณหนึ่งกำมือ โอ้ เซ็งเลยครับ เสียฤกษ์จริงๆ ต้องเก็บต้องกอบกลับเข้ากระเป๋าเสียเวลาไปเกือบๆห้านาที ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ผมปรับกระเป๋าสะพายใหม่ ระวังไม่ให้ข้าวกระฉอกออกง่ายอย่างเดิม พอจะหยอดทีก็ต้องนั่งยองๆลงทั้งตัว กันไม่ให้กระเป๋าเอียง และไม่ให้ปวดหลังมากไป แล้วดันตัวขึ้น ปักจึกลงไป หกรู นั่งลง หยอดหนึ่งสองสามสี่ห้าหก... สังเกตว่า พื้นนาไม่ได้ราบเรียบเสมอกัน รูที่ได้จึงลึกตื้นไม่เท่ากัน ในใจเริ่มลังเล ตอนนั้นไม่รู้ทำไมถึงไม่มั่นใจอย่างแรง ว่าเจ้าอุปกรณ์ลูกครึ่งนี้ไม่ได้เจ๋งอย่างที่คิดเอาไว้ ผมโยนมันขึ้นไปบนคันนาอย่างไม่ลังเล แล้วเดินไปหยิบเจ้าเสียมน้อยที่เตรียมมาด้วย ให้มาทำหน้าที่แทน ปักปลายเสียมลงทีละแถวละแถว รู้สึกไม่ได้เร็วกว่า เพียงแต่ มันเบากว่า แล้วก็ไม่อยากเดินไปเดินมาเพื่อไปเปลี่ยนอุปกรณ์อีก ก็ใช้เสียมแทนไปเรื่อยๆ พองานเดินหน้าไปประมาณสามสิบเมตร หนูตาลกับปุ้มปุ้ยเดินทางมาสบทบ แต่คงไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากให้กำลังใจ และสร้างความโกลาหล ผมก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆล่วงเข้าชั่วโมงที่สาม ลูกสมุนทั้งสองตัวเริ่มก่อกวน อาจจะหิวหรืออยากกลับบ้านหรือบลาๆๆ ทั้งสองเดินวนเวียนคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลัง หลุมรูที่ปักไว้ก็โดนเหยียบย่ำจนหารูเดิมไม่เจอ เมื่อเห็นท่าไม่ดี เลยพาเจ้าสองตัวนั้นออกมาจากสถานการณ์ ด้วยการพาไปกินน้ำในบ่อปลาใกล้ๆ ขากลับผมไม่ลืมหยิบเจ้าลูกครึ่งติดมือมาด้วย พอกลับมาถึงจุดที่ทำค้างไว้ ก็มองเปรียบเทียบพื้นที่ที่ทำเสร็จกับพื้นที่ที่เหลือ แล้วก็ใจหาย พาลคิดไปว่าหากทำงานด้วยอัตราเร็วเท่านี้ผมคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนแน่ๆกว่าจะทำเสร็จ นึกแล้วก็ท้อ ท้อแล้วก็นึกถึงตอนบอกกับคนอื่นๆว่าจะทำโน่นทำนี่อย่างโน้นอย่างนี้ เฮ้อ ไม่อยากคิดต่อ มันบั่นทอนกำลังใจยิ่งนัก ไม่มีทางเลือก ยังไงๆขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน กลับมาใช้เจ้าลูกครึ่งอีกครั้ง คราวนี้ลองใหม่ คิดว่าคงจะเร็วได้มากขึ้นอีก ปักจึก ๆ ๆ (ช้านิดนึงเพราะต้องกะระยะห่าง)สามทีสิบแปดรู แล้วนั่งลง หยอดๆๆๆๆ....ในความรู้สึกตอนนั้น มันเร็วกว่าใช้เสียมมากๆ(แหงละ)ไม่น่าเสียเวลากับการใช้เสียมเลย ผมเริ่มลุยงานอย่างแข็งขันอีกครั้งนึง ลุกๆนั่งๆอยู่อย่างนั้นทั้งวัน สรุปผมได้พื้นที่งาน3x160เมตรโดยประมาณ เย็นวันนั้นผมไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่ ในใจเริ่มชั่งน้ำหนักระหว่างปริมาณงานกับเวลาที่เสียไป กับการยอมเสียหน้าอีกครั้ง(เสียจนไม่รู้จะหาที่ไหนมาเสีย)เพื่อให้งานเสร็จทันฟ้าฝน เย็นวันนั้นเองพระพิรุณก็พร่างพรมเม็ดฝนลงมาเป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ ไม่ได้ตกหนักอะไรเท่าไหร่นัก ยังนึกโมโห ว่ามาตกอะไรกันป่านนี้ ตอนนี้อยากให้มาไม่มา หลังมื้อเย็นผมกินแคลเซียมเม็ดเพื่อบรรเทาปวดเนื้อตัวที่ต้องปวดแน่ในวันรุ่งขึ้น (เคยกินแคลเซียมเม็ดหลังทำงานหนักใช้แรงเยอะทั้งวันแบบวันนี้ แล้วรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนึกอยู่แล้วว่าไม่น่าจะเกี่ยว)

ผมตื่นขึ้นด้วยอาการปวดเมื่อยอย่างที่คาดไว้ ที่สาหัสมากก็ที่หน้าขา มันตึงจนแทบจะไม่อยากเดินไปไหน เช้าวันนั้นยังคงมีฝนปรอยๆอยู่เป็นระยะๆ ผมได้ข้อสรุปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมต้องยอมถอย เพื่อให้งานเดินหน้า ถึงแม้จะเสียหน้า ว่าแล้วก็พยายามลากสังขารยักแย่ยักยันบากหน้าไปหาพันธุ์ข้าวมาเพิ่มอีกอย่างละกระสอบ จ้าวสอบเหนียวสอบ เหมือนเดิมครับ หายากมากๆๆแต่ก็ได้มาจนได้ หลังจากเสาะหาจนได้สิ่งที่ต้องการ ผมต้องนอนพักรักษาอาการปวดเมื่อยทั้งวัน(หายซ่าไปเลย)ทั้งเจ็บทั้งอายระคนปนเป โอ้วววชีวิตน้อยๆของข้า

อีกวันให้หลัง กระบวนการต่างที่ยังค้างคาก็ถูกสะสางเสร็จสิ้นลงไป โดยมีผมให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แหะๆ แข้งขามันขัดมันข้องไปหมดครับ อย่าว่ากันเลย หากมีใครเห็นผมเดินในสองสามวันนี้อาจสงสัยว่าทำไมผมเดินแปลกๆ ถ้าได้อ่านเรื่องนี้ก็คงหายสงสัยแล้วนะครับ แล้วถ้ามีคนถามว่า ผมเข็ดไหม ตอนนี้ก็ขอเรียนตามตรงว่าเข็ด แต่วันข้างหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ขอพลังจงอยู่คู่กับคุณผู้อ่านทุกท่าน

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำอธิษฐานของเกษตรกรพาร์ทไทม์

คำอธิษฐานของเกษตรกรพาร์ทไทม์

เมเดย์ๆเกษตรกรเรียกฮุสตั้น ขณะนี้บางที่เกิดฝนทิ้งช่วง กล้าข้าวกำลังทยอยแห้งตายอยู่อย่างต่อเนื่อง เราต้องการฝนฉุกเฉินๆๆ...... ผมยืนมองกล้าข้าวในนาอย่างเลือยลอยและสิ้นหวัง ภาพตัวผมกำลังตื่นตระหนก ละล่ำละลักขอความช่วยเหลือผ่านสัญาณดาวเทียม อยู่ในกระสวยอวกาศที่สูญเสียควบคุมและกำลังดิ่งลงพื้นโลกด้วยความเร็วกว่าสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง มันเป็นภาพแบบในหนังฮอลลิวู้ด เสียงพากย์ล้อเลียนโดยพันธมิตร ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ผมเองไม่รู้สึกตลกหรือขำต่อภาพและเสียงในหัวแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้สามสัปดาห์ ฟ้าฝนก็ตกลงมาตามที่มันควรจะมา สัปดาห์ที่สองผมและเกษตรกรคนอื่นๆเริ่มไถ่หว่านกันตามฤดูกาล สัปดาห์ที่สอง กล้าข้าวเริ่มงอกงาม พร้อมกับการจากไปอย่างไม่ใยดีของฟ้าฝน ต้องบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเจอฝนขาดช่วงในเดือนมิถุนาฯในพื้นที่นี้ เคยเห็นในพื้นที่อื่นๆที่ไม่ใช่ที่นี่และเคยเห็นในโทรทัศน์เท่านั้น ไม่นึกและว่าจะได้เจอเป็นประสบการณ์ตรงเช่นนี้ เซ็งชะมัดเลยคุณผู้อ่าน นี่ตั้งใจว่าจะแก้ตัวจากความล้มเหลวเมื่อปีกลาย แต่นี่จะล่ม ทั้งที่เพิ่งจะเริ่ม เฮ้อ เริ่มเข้าใจหัวอกคนทำเกษตรตัวจริงขึ้นมากโข แต่จะกลุ้มไปคงไม่มีประโยชน์อันใด ต้องเข้าใจว่า ฟ้าฝนนี่มันอยู่นอกเหนือความควบคุม ความมุ่งหวังตั้งใจของเราจริงๆ

ผมคิดอยู่สองสามวันมาแล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี ผมได้ข้อสรุปในใจแล้ว ผมต้องยืดหยุ่นต่อแผนที่วางไว้มากซักหน่อย จากที่ตั้งใจจะทำนาดำ เพื่อหวังผลผลิตสูงสุด พร้อมลดต้นทุนด้วยการเตรียมปุ๋ยน้ำชีวภาพไว้คอยท่าพร้อมสรรพ แต่ในเมื่อข้าวกล้าที่ลงไว้ใกล้จะตายเพราะฝนทิ้งช่วงอยู่มะรอมมะร่อ ผมจะใช้วิธีการหยอดเมล็ดอีกครั้งหนึ่ง หุๆ คงจะไม่ใช้เครื่องหยอดอย่างที่เคยใช้หรอกครับ เพราะเข็ดแล้ว แหะๆ เค้าว่า ช่วงที่พื้นนากำลังแห้งหมาดนี่แหละ กำลังเหมาะที่จะหว่าน เค้าว่าข้าวมันจะงอกดีกับสภาพดินและอากาศประมาณนี่ แต่ผมไม่เชื่อเค้าหรอก ผมจึงต้องลองพิสูจน์ไงครับ ผมเลือกที่จะหยอดทีละหลุมแทนการหว่าน หยอดทีละหลุมๆ ไป หนึ่งหลุมใช้พันธุ์ข้าวมากสุดสามเมล็ด เราจะประหยัดพันธุ์ข้าวได้เยอะกว่านาหว่านหลายเท่า(ซึ่งนิยมกันมากในปัจจุบัน) ลดขั้นตอนการถอนกล้าแล้วปักดำ ซึ่งมืออาชีพหลายท่านเตือนด้วนความหวังดีว่า มันเป็นขั้นตอนที่แสนเหนื่อยสาหัสสากรรนัก ปีที่แล้วใช้เครื่องหยอดแบบลาก เมล็ดข้าวหล่นลงผิวดิน โดยไม่มีการกลบดิน ส่วนหนึ่งจึงกลายเป็นอาหารของนกบ้าง หนูบ้าง พื้นที่ที่ข้าวหายไปจึงเต็มไปด้วยหญ้าแทนต้นข้าว แต่ครั้งนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้อผิดพลาดต่างๆจะได้รับการแก้ไข และเมื่อวานนี้ผมยังได้ดูวิธีการปลูกข้าวของคนดอยในรายการโทรทัศน์ช่องนึงอีกด้วย ทั้งวิธีการและแนวคิด เหมือนกับที่ผมคิดไว้ยังไงยังงั้นเลย อีกอย่างผมยังมั่นใจว่าในที่สุด ฝนห่าใหญ่ในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล จะโปรยปรายลงมาอย่างเหลือล้น รับการงอกงามของข้าวกล้ารุ่นที่สองนี้อย่างพอเหมาะพอดี ผมเชื่ออย่างนั้น และผมจะอธิษฐาน ในฐานะของเกษตรกรพาร์ทไทม์ คนนึง

ผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนทวยเทพผู้มีอำนาจทั้งปวง จงดลบันดาลให้ฟ้าฝนตกลงมาเหมือนอย่างที่เคย นั่นคงไม่มากไป สำหรับผู้คนอีกมากมายที่จะต้องเดือดร้อน หากว่าฝนฟ้ายังไม่เป็นใจเช่นนี้

ชีวิตช่วงนี้ของผมสอนให้ผมรู้ว่า ต่อให้มีองค์ความรู้แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ ถ้าหากฝนทิ้งช่วง




วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความสุกกับความสุข




เข้าเดือนมิถุนายนได้สิบวันแล้ว ฟ้าฝนที่เคยกระหน่ำดังฟ้ารั่วในช่วงนี้ของปีที่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลยในปีนี้ ตั้งแต่ปลายเมษายน ผมนับฝนได้ไม่เกินสิบห่าใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับทุกปีในพื้นที่และช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อสังเกตในท้องทุ่งนา ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น พื้นที่ใกล้เคียงซึ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบกิโลฯ ท้องทุ่งกลับเต็มปรี่ไปด้วยน้ำอันเนืองนอง ลำห้วยล้นทะลักขึ้นท่วมขอบตลิ่ง แหม ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะพระพิรุณเอ๋ย ยิ่งเห็นข่าวน้ำท่วมยุโรป ยิ่งพาลแน่ใจเข้าไปใหญ่ ว่าที่แถวบ้านผมฝนฟ้าไม่ค่อยตกเนี่ย คงเป็นเพราะโดนลมหอบไปตกที่ยุโรปจนหมดนี่เอง แต่ลึกๆก็ยังหวังว่าจะมีเซอร์ไพรซในช่วงที่เหลือของฤดูฝนนี้


การที่ผมห่างหายไปจากการขีดเขียน นั้นก็เพราะปัญหาเดิมๆที่เคยบอกไป นั้นคือไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ที่อ่านแล้วมีประโยชน์มากกว่าตั้งหน้าตั้งตาเขียนไป แต่ไร้สาระหาแก่นสารใดๆมิได้เลย(ซึ่งก็มีบ้างเล็กน้อย อิๆ)ในใจก็คิดอยู่ตลอด ว่าจะเขียนเรื่องราวอันใดดี ที่คนเขียนเขียนแล้วรู้สึกดี แล้วคนอ่านก็น่าที่จะรู้สึกดีด้วย เวลาล่วงเลยผ่านไป ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านตามปกติ ซึ่งขณะนั้นเองเป็นรายการอาหารที่กำลังออกอากาศ ผมชมรายการด้วยความเพลิดเพลิน ผู้ดำเนินรายการ ได้พูดถึงการย่างสเต็ก เคล็ดลับในการย่าง ว่าทำอย่างไรให้ได้ความสุกอย่างที่ต้องการ ความสุก คำๆนี้มาสะดุดใจผม ผู้ดำเนินรายการบรรยายวิธีการทำสเต็กไปเรื่อยๆ เขาได้พูดถึงความพึงพอใจของคนกินสเต็กว่าไม่เหมือนกัน บางคนชอบสุกมาก บางคนชอบสุกปานกลาง บางคนชอบดิบๆหน่อย คนทำอาหารจึงต้องคำนึงถึงคนกินเป็นหลัก ตอนนั้นเองสมองผมนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องนึง ซึ่งพูดถึงอูด้งเป็นแกนหลักของเรื่อง ใครที่เป็นคอหนังคงคุ้นๆบ้างนะครับ พระเอกเป็นลูกของคนขายอูด้ง มีความฝันอยากจะเป็นนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียง(ตลกที่ว่านี้ในเรื่องเป็นแบบคุณโน๊ตอุดมครับ เป็นแบบแสตนด์อัพคอมาดี้) ซึ่งแกเคยเข้าไปแสวงโชคในโตเกียว แต่ก็ล้มเหลว จึงซมวานกลับบ้านมา ซึ่งตอนนั้นเองพ่อพระเอกก็ดันมาตายด้วย พอกลับมาอยู่บ้านก็ไม่มีไรทำ เลยหัดทำอูด้งมันซะเลยดีกว่าอยู่เปล่าๆ ที่ผมนึกถึงนั้นเป็นฉากนึงในหนัง ตอนที่พระเอกกับพี่เขยหัดทำอูด้งจนทำรสชาดได้เหมือนกับตอนที่พ่อพระเอกทำ พอทำได้จึงตักใส่ชามแล้วเอาไปตั้งเซ่นไหว้หน้ารูปศพพ่อพระเอก ซึ่งครบรอบสี่สิบเก้าวันพอดี(ความเชื่อของคนญี่ปุ่น คนที่ตายไปวิญาณจะยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์อีกสี่สิบเก้าวัน เพื่อให้วิญาณได้มีเวลาล่ำลาหรือทำอะไรก็ตามเพื่อที่เวลาจากไปจะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และผู้ตายเอง ให้เวลาทำใจว่างั้นเถอะ)เมื่อพระเอกวางชามอูด้งไว้ที่หน้ารูปถ่ายพ่อเสร็จแล้ว ก็หมดแรงข้าวต้ม ทิ้งตัวลงนอนหลับลงตรงนั้นเอง ซักพัก วิญญาณพ่อพระเอกก็เข้ามากินอูด้งที่ตั้งเอาไว้ให้ พระเอกของเราตื่นขึ้นมาพอดี พ่อพระเอกบอกว่า ที่บ้านนอกนี้ไม่มีอนาคต มีแต่อูด้ง  อยากให้พระเอกไปทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องมาดักดานทำอูด้งอยู่ที่บ้านนอกนี้ แกบอกพระเอกอีกว่าการทำให้ทุกคนมีความสุขนั้นไม่ยากเลย แค่ทำอูด้งอร่อยๆให้กินซะก็สิ้นเรื่อง ผมชอบประโยคหลังนี่ มันรู้สึกสมเหตุสมผลและไม่สมเหตุสมผลในเวลาเดียวกัน ซื่อๆแต่โดนใจซะมัด ที่ประทับใจมากๆเป็นตอนใกล้จบ พระเอกทำอูด้งไปแจกเด็กๆในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งตอนพ่อพระเอกยังไม่ตายก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆเรียกว่าคนกี่รุ่นๆในหมู่บ้านต้องเคยกินอูด้งของพ่อพระเอกมาแล้วทั้งนั้น


หนังให้เห็นภาพเด็กกินอูด้งอย่างเอร็ดอร่อย เด็กๆยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข วิญญาณพ่อพระเอกยืนดูภาพนั้นอยู่อีกมุมหนึ่ง แกยิ้มเปี่ยมสุขน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา พระเอกก็น้ำตาไหล (ผมเองก็เกือบๆหุๆ)แกหันมาแล้วบอกขอบคุณพระเอก แล้วเดินจากไป คงไปสู่สุขคติ เพราะดูแล้วคนอย่างแกไม่น่าจะตกนรกนะ เอิ๊กๆๆๆ

สติผมกลับคืนสู่ร่างเดิมหน้าจอทีวี ผมคิดในใจ ว่าผมจะต้องพูดถึงเรื่องนี้หน่อยในงานเขียนชิ้นต่อไป ก็คือชิ้นที่ผู้อ่านๆอยู่นี่ละครับ ผู้ดำเนินรายการ ชิมสเต็กซี่โครงหมูนั่นอย่างเอร็ดอร่อย ผมนึกถึงความสุกของสเต็กแล้วพาลไปนึกถึงความสุขในหนังญี่ปุ่นนั้นได้ยังไง คิดแล้วงง ผมเห็นความสอดคล้องกันอย่างหนึ่งระหว่างความสุกกับความสุข คือไม่ว่าจะความสุกหรือความสุขทั้งสองอย่างมันอยู่ที่ใครจะนิยามค่อนข้างเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล สเต็กจะสุกมากน้อยก็แล้วแต่คนชอบ ความพอดีของคนก็ต่างกันอีก บางคนบอกสุกเท่านี้จึงจะพอดี บางคนบอกไม่ มันต้องสุกกว่านี้ต่างหากถึงจะพอดี แหม ก็ว่ากันไป ส่วนความสุขไม่ว่าจะมีรูปแบบอย่างไรแต่เราก็เรียกมันว่าความสุขอยู่ดี ซึ่งมันก็แล้วแต่บุคคลอีกนั่นแหละ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวในทางโลก แต่ในอีกมุมมองทางจิตวิญาณศาสนาหรือทางธรรม ก็มักจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ซึ่งไม่ต้องนิยามอะไรให้มากมาย ไม่ต้องไปค้นหาให้วุ่นวาย นั่นคือ สงบ คือสุข ซึ่งผมเองเห็นด้วยโดยดุษฎี ฟังดูไม่ยาก แต่ก็ทำไม่ง่าย

หวังว่างานชิ้นนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง

พบกันใหม่เมื่อผมมีเรื่องราวเข้าท่าๆมานำเสนอ

คงไม่นานเกินรอ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...