วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง

สำหรับวันนี้ผมมีเรื่องราวข่าวดี ที่ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้รู้ได้เห็นผ่านสื่อหลักอย่างทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์หรือแม้แต่สื่ออนไลน์เอง ก็น่าจะเคยผ่านหูผ่านตาคุณผู้มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย แต่ในที่นี้จะเป็นการทบทวนเรื่องราวข่าวดีดังกล่าวให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้รู้ ได้ยินได้ฟังมาก่อน ได้รู้และอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม​ในการทิ้งขยะของคุณผู้อ่านในอนาคตก็เป็นได้

 คุณผู้อ่านจำเรื่องที่ผมนำเสนอไปเรื่องขยะพลาสติกได้ไหมครับ ในตอนนั้นผมได้ตั้งคำถามเกี่ยวการจัดการขยะพลาสติก ว่าเราควรจะให้มันไปสิ้นสุดที่ไหนดี ใช่แล้วครับ ข่าวดีที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้น ก็คือ เรามีที่ให้ขยะพลาสติกและ ผลิตภัณฑ์​ บรรจุภัณฑ์​เหลือทิ้ง โฟม หรือแม้แต่ขยะที่เป็นผลพวงจากผลิตภัณฑ์​จากยางพารา และอื่นๆ ไปที่ชอบๆได้แล้วครับ  ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ เขาคิดและทำได้มานานแล้วครับ จากคลิปในยูทูปที่ผมไปไล่ดู มีคลิปนึงเกี่ยวกับเรื่องจัดการขยะพลาสติกนี้ มีคนลงไว้ให้ดูตั้งแต่สิบปีที่แล้ว และมีคลิปอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ยังนานเป็นห้าหกปี ที่คนเรา รวมถึงคนไทย ได้ประสบความสําเร็จ​ในการจัการขยะพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีที่สุดแล้วสำหรับปัญหาที่เรากังวลและเผชิญ​อยู่ นั้นคือการนำเอาขยะพลาสติกและพรรคพวก​มาเป็นวัตถุดิบ​ในการผลิตน้ำมันนั่นเองล่ะครับคุณผู้อ่าน มันอาจจะเกินความสามารถของคนธรรมดาอย่างเราๆ สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดการนี้ แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปสำหรับ ระดับชุมชน เช่นเทศบาลตำบล หรืออำเภอ ซึ่งสามารถดึงงบประมาณอันเกินกำลังของพวกเรามาจากภาครัฐได้

ผมจะอธิบายให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพคร่าวๆว่า  เขามีแนวคิดและวิธีการอย่างไรในการทำสิ่งที่ว่ามานี้
เนื่องจากพลาสติกที่เรานำมาใช้สอยกันนี้ มันมีที่มาจากอุตสาหกรรม​น้ำมันปิโตรเคมี​ ดังที่ผมได้เคยนำเสนอคุณผู้อ่านไปในตอนที่ชื่อว่า "ที่มา"ผู้คนกลุ่มหนึ่ง จึงคิดว่าน่าจะดี ถ้าทำให้ขยะที่ย่อยสลายยากพวกนี้ กลับสู่สถานะเดิมที่มันเคยเป็น นั้นก็คือ น้ำมันปิโตรเลียม

 เมื่อคิดได้ดังนี้พวกเขาเลยออกแบบเครื่องจักรสำหรับการทำให้แนวคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมา เราเรียกวิธีการนี้ว่า ไพโรไลซีส( pyrolysis)​ คือการเผาด้วยอุณหภูมิ​1200 องศาเซลเซียส​ขึ้นไปในระบบปิด(โดยไม่ใช้อากาศหรืออ็อกซิเจนมาช่วยในการเผาไหม้)​ ทั้งนี้ทั้งนั้นขยะพลาสติกที่จะสามารถ​นำเข้าสู่กระบวนการเผานั้น ต้องมีความสะอาดประมาณนึงครับ กล่าวคือ ต้องแห้ง ไม่มีเศษอาหาร  เศษดินโคลน หรืออื่นใดอันที่อาจจะทำให้การเผาไหม้ด้อยประสิทธิภาพลง

เท่าที่ผมรู้ตอนนี้มหาวิทยาลัยอย่างน้อยๆสามแห่ง(ผมเชื่อมีมากกว่านี้)​ได้ทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงแล้ว มาเป็นเวลามากกว่าห้าปี มีมหาวิทยาลัย​อุบลราชธานี  มหาวิทยาลัย​เทคโนโลยี​สุรนารี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์​วิทยาเขตสงขลา นอกจากนั้นยังมีผู้ประกอบการเอกชนอีกอย่างน้อย หนึ่งแห่งคือ ศูนย์กรรมธรรมชาติ ท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี​(ซึ่งผมก็เชื่อว่ามีมากกว่านั้นอีกเหมือนกัน)​ได้สร้างสรรค์​นวัตกรรมนี้ให้เกิดขึ้น และยังตอบแทนชุมชนและสังคม อย่างน่าชื่นชมด้วยผลิตผล​จากขยะพลาสติกของชุมนนั่นเอง คุณผู้อ่านตามไปอ่านเรื่องราวน่าประทับใจนี้ได้ที่นี่ครับ

 https://readthecloud.co/plastic-pyrolysis-oil/

คุณผู้อ่านที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ลองไปดูคลิปในยูทูปก็ได้ครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เป็นคลิปของไทยผมเห็นอยู่หลายคลิปเลย ลองเอาคีย์​เวิร์ดไปเสิร์จดูนะครับ

สงสัยอยู่นะครับว่า ผู้ผลิตน้ำมันอย่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย​จะมองเห็นโอกาสในวิกฤติการณ์​ขยะนี้หรือไม่ จะเสียเวลาเสียเงินมากมายไปเพิ่มสำรวจแหล่งน้ำมันไปทำไม ในเมื่อเรามีน้ำมันมากมายอยู่กลาดเกลือน ดาษดื่น

พอได้รู้ว่าขยะพลาสติก และพรรค​พวก สามารถ​นำมาผลิตน้ำมันได้ ผมก็อยากสนับสนุนให้ไ้อ้เครื่องเผาขยะที่ว่านี้ มีในชุมชน อย่างน้อยตำบลละหนึ่งที่ เพื่อบรรเทาวิกฤติ​การณ์ขยะล้นเมืองที่เป็นปัญหา​ที่ยังแก้ไม่ตกซักทีของประเทศไทย​ แน่นอนว่า เครื่องมือเครื่องจักรเหล่านี้จะมีดีมีประสิทธิภาพ​เพียงใด ก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ​เด็ดขาด เรายังมีงานอื่นที่ต้องคำนึงถึง และต้องทำไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการ​รณรงค์​ในคนทิ้งขยะให้ถูกที่ แยกขยะแต่ละชนิดไม่ปะปนกัน และจัดการให้มันไปในที่ที่มันควรไป เหมือนพลาสติกนี่แหละครับ ซึ่งมันยากมากเลยครับ ที่ผู้คนมากมายจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​เดิมที่คุ้นชินได้ง่ายๆ มันไม่ได้จบลงเหมือนการทิ้งขยะออกไปให้พ้นตัวแน่ๆครับ เมื่อมันไม่จบ มันก็ก่อปัญหามาให้เรากลับไปแก้ไขอยู่ดี และถ้าเราเพิกเฉยต่อปัญหา ลูกหลานของพวกเราก็จะต้องมาแก้ในที่สุด

ทุกวันนี้ผมยังใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ผมเห็นในสองข้างทางในภูเก็ต ไม่ได้ต่างจากสองข้างทางที่บ้านเกิดของผม มันเต็มไปด้วยขยะครับ นี่คือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ​ ประชากรส่วนหนึ่งของประเทศนี้ยังคงสร้างปัญหาไม่รู้จบ ที่แย่กว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันคือการสร้างปัญหา และคนที่รู้สึกเดือดร้อนกังวลกับปัญหานั้นอย่างผม กลายเป็นไอ้พวกโลกสวยไร้เดียงสาไปซะอย่างงั้น
สถานการณ์​ปัจจุบัน​ผู้คนทั่วโลกยังคงประหวั่นพรั่นพรึง​กับไวรัสโควิต19 นี้จะเป็นเรื่องที่ผู้คนพูดถึงจดจำและเข็ดขยาดไปอีกนานแสนนาน มีคนตายจากไวรัสชนิดนี้ไปกว่าหนึ่งแสนคนแล้วทั่วโลก ในยุโรปและอเมริกามีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย​ เมืองท่องเที่ยว​ทึ่คึกคักอย่างภูเก็ตหงอยเหงาเป็นไก่ติดห่าไปเลยละครับ ผู้คนตกงาน ไม่มีรายได้ ร้านค้าธุรกิจ​ต่างๅทยอยปิดตัวลง ผมเองก็ตกงานเช่นกัน ผลกระทบของวิกฤติ​ไวรัสโควิต19นี้ ประเมินค่าความเสียหายไม่ได้เลยครับว่ามันมากมายมหาศาลเท่าใด และดูทีท่าว่ามันจะยังไม่จบลงง่ายๆ รัฐบาลไทย ที่ประชาชนไม่เคยพึ่งพาอะไรได้  ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์​นี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น คงเส้นคงวา

อันที่จริง ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณผู้อ่านหดหู่ใจ​ไปมากกว่าเดิมหรอกครับ พอดีว่าอารมณ์​มันพาไป
ยังไง​ๆผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​บุคลากร​ทางการแพทย์​ที่เสียสละหลายๆอย่างเพื่อปกป้องดูแลพวกเรา ขอให้ทุกท่านปลอดภัย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้งกลายปกป้องท่านผู้เสียสละเหล่านี้ให้แคล้วคลาด​จากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยนะครับ ส่วนรัฐบาล และพรรคพวก​รวมไปถึงองค์กร​อิสระ​ต่างนานาที่รับใช้เผด็จการ  ที่ไม่เคยแก้ปัญหา มีแต่สร้างเพิ่ม ก็ขอให้พินาศล่มจม ตกนรกหมกไห้ ตายโหงตายห่าไปซะทีเถิด สาธุ

ขออภัยคุณผู้อ่านที่เป็นติ่งรัฐบาลด้วยนะครับ แต่ผมมันสุดจะทนแล้วจริงๆ

ขออภัยอีกครั้งครับ เริ่มต้นด้วยข่าวดี ลงท้ายไปสาปแช่งเค้าซะอย่างงั้นไป เอิ้กๆๆๆๆ
ดีใจที่ได้กลับมาทำสิ่งที่รักครับผม  ขอให้ผู้อ่านที่รักทุกท่านจงเข้มแข็งกำลังใจกายที่พร้อมรับทุกสถานการณ์​ หวังว่าสิ่งเลวร้ายจะผ่านพ้นไปในเร็ววัน เราจะยังหยัดยืน และสู้ไปอย่างทรนง องอาจ
ขอให้คุณพระคุ้มครองทุกท่าน สวัสดีครับ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...