วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความเป็นไปของสรรพสิ่ง

เมื่อวานนี้เกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นกับผม ซึ่งผมเองก็แปลกใจตัวเองมาก ทั้งวันเมื่อวานผมไม่ได้คลิกเข้าไปดูเว็บโป๊เลย มันเป็นไปได้ยังไง ผมหมกอยู่กับเว็บเกี่ยวกับการเกษตรกรรม อยู่ทั้งวันเมื่อวาน ยิ่งดูยิ่งมันขึ้นเรื่อยๆ สาระมันเข้มจริงๆครับ แต่อ่านสบายๆเพลิดเพลินลืมเวลาไปเลย มารู้ตัวอีกที่ทุ่มกว่าๆครับ ผมเองเพิ่งรู้ว่าคนที่คิดแบบผมนั้นมีเยอะกว่าที่คิดเอาไว้มากเลย เรียกว่าโดนเลยครับเว็บนี้ แต่ไม่โฆษณาให้นะครับ
งานด้านเกษตรกรรมนั้นอาศัยปัจจัยหลายอย่างครับ ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร จะบอกว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำการเกษตรกรรม แม้ว่าจะอยากทำแค่ไหน นึงละครับที่ทางต้องมี ต้องมีพื้นที่รองรับจะมากน้อยว่ากันไป สองน้ำครับ น้ำต้องพอ สามแรงงานครับ สำคัญสุดก็เรื่องของใจ ความจริงมันไม่ใช่งานหนักหนาเหมือนงานก่อสร้างหรอก เพียงแต่มันเป็นงานที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ต้องทำเรื่อยๆครับ ความอดทนอีกหนึ่ง ใจเย็นด้วยได้ยิ่งดีครับ เพราะผลผลิตที่จะได้ไม่ว่าจะปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ ต้องใช้เวลาทั้งนั้น  รู้สึกดีมากครับ ที่ได้เจอคนประเภทเดียวกันที่ละเยอะๆ แล้วก็เป็นที่ๆเค้ารวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นครับ แบ่งปั้นความรู้ประสบการณ์กัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย เหมือนสังคมในอุดมคติครับ แต่มีจริงๆ ในโลกไซเบอร์สเปซ
จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ผมไปพบพานมา หาใช่เรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้น แต่เนื้อใหญ่ใจความมันอยู่ที่ เรื่องการใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีอันทันสมัย ที่เราเรียกันว่า อินเตอร์เน็ทเวิร์ค นี่เองต่างหาก แม้ว่าการก่อกำเนิดของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในครั้งแรกนั้น จะมีจุดประสงค์ด้านการทหารก็ตาม แต่ถึงวันนี้เราได้เห็นแล้วว่า ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้กลับกลายมาตอบสนองความต้องการของบุคคลทั่วไปเสียเป็นส่วนใหญ่ และกำลังยายตัวออกไปในวงกว้างออกไปเรื่อยๆ น่าสนใจว่า ขุมทรัพย์แห่งปัญญา ที่เราเรียกว่าอินเตอร์เน็ตนี้ มักมีนักแสวงโชค แวะเวียนเข้ามาหาประโยชน์จากขุมทรัพย์ทางปัญญานี้อยู่อย่างไม่ขาดสายและที่ที่เดียวกันนี้ ก็มีสิ่งชั่วร้าย สามานย์ ปะนอยู่มากมายไม่แพ้สิ่งดีๆ เช่นกัน นักแสวงโชคบางคนทิ้งไว้เพียงรอยเท้า บ้างก็ทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาล บ้างก็ทิ้งขยะ ไว้ให้ผู้มาทีหลังเก็บกวาด บ้างก็มาแวะดูแล้วก็จากไป ต่างจิตต่างใจ ต่างเป้าประสงค์ พื้นที่อันเสรีภาพไม่มีขีดจำกัดนี้ ไร้อำนาจควบคุมที่แท้จริง การใช้วิจารณญาณ ก่อนรับหรือส่งสารนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งต่อการพัฒนาของตัวมันเอง และของผู้ใช้บริการ
ไอ้ตัวผมเองน่ะ ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่พูดรึเปล่า ไม่ง่ายเลยนะผมว่า รึคุณๆว่าไงครับ  ผมคงได้แต่ร้องเพลง  what ever will beๆ ที่ประกอบหนังโฆษณาไทยประกันฯละครับ ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เสียงสะท้อน

งานเขียนเล็กๆในบล็อกนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล หาใช่สิ่งที่เป็นแบบอย่างแบบแผนไม่ ผู้เขียนจะ ค่อยๆสร้างกรอบขึ้นเพื่อกำกับแนวทาง ว่าควรเขียนเรื่องไหน หรือไม่อย่างไร แม้ตัวผู้เขียนเองจะไม่ชอบกรอบอะไรที่ว่านั้นเลย หากส่วนลึกๆของใจก็บอกให้มีบ้าง มากน้อยตามความเหมาะสม เพราะคำๆว่า ความรับผิดชอบ นั้นเอง ตัวผู้เขียนเองต้องขอออกตัวก่อนว่า วุฒิภาวะของผู้เขียนอาจยังมีไม่พอที่จากถ่ายทอดแต่สารที่ดี ออกสู่โลกไซเบอร์สเปซ ผ่านสายตาของผู้อ่าน แต่ผู้เขียนจะพยายามให้เต็มที่ แม้จะถูกมองว่า เป็นผู้เขลาอวดภูมิอันน้อยนิดของตนก็ตามที เสียงสะท้อนจะเป็นอย่างไร ก็ตามผู้เขียนก็ขอน้อมรับไปแก้ไขปรับปรุง พูดก็พูดเถอะ ผมคงกังวลเกินกว่าเหตุ มีคนผ่านเข้ามาอ่านบล็อกนี้ซักกี่คนกัน ทั้งที่ชวนแล้วชวนอีก ขำตัวเองเหมือนกันครับ
ไปสัมมนาครั้งนี้ กลับมาว่าจะเริ่มต้นเสียที แบบว่า การเปลี่ยนแปลงตัวเองนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆครับ ไม่ค่อยมั่นใจเลย แนวความคิดที่ผมได้รับมาจากการสัมมนาแต่ละครั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ใครก็รู้ๆกันอยู่ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำเรื่องง่ายๆแบบนั้นอย่างได้อย่างสม่ำเสมอ การทำสิ่งดีๆเล็กๆน้อยๆให้กับตัวเราเอง และคนรอบข้างอย่างที่คิดหรือพูดไว้ได้สำเร็จ นับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ น่ายกย่องสรรเสริญอย่างยิ่ง บอกตรงๆว่า ผมอยากเป็นคนอย่างนั้น อยากเขียนยาวๆครับ แต่มันตันๆตื้อๆบอกไม่ถูก วันนี้ก็แค่นี้ก็แล้วกันครับ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เบื้องหน้า เบื้องหลัง

คนๆนึงที่เรารู้จักเค้าดีที่สุด ผมว่าก็คือตัวของเราเองนี่แหละ นั่นคือความคิดเห็นความเชื่อของผม ข้อเท็จจริงละ เป็นอย่างไร คนที่รู้จักรู้ใจ เข้าใจเราที่สุดเป็นผู้ใดกัน
ตั้งแต่เกิดมาใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ผ่านประสบการณ์มาไม่มากไม่น้อย รู้จักผู้คนมากมายหลายหลาก ถ้าลองถามคนที่เราเคยรู้จักเรา รับรองว่า จะได้เห็นตัวเราเองในมุมที่ผู้อื่นมอง ซึ่งเค้าว่ากันว่าเที่ยงตรงกว่าเรามองตัวเองมากนัก  และยิ่งต่างสภาพแวดล้อม ต่างเวลา เราอาจแปลกใจที่เราได้เห็นว่าคนที่รู้จักเราเค้ามองเห็นเราเป็นแบบไหน มุมมองที่เราเปิดให้คนอื่นได้เห็น ที่ต่างทั้งห้วงเวลาและสภาพแวดล้อมย่อมก่อเกิดแนวคิดด้านบุคคลิกภาพของเรา ในมิติอื่นๆด้วย เฉพาะแค่ของตัวเราก็เรียกได้ว่าซับซ้อนแล้ว ยิ่งการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่ง ก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นทวีคูณ การที่มนุษย์หนึ่งคนมีสถานภาพและบทบาทหลายๆอย่างในคนเดียวกัน ย่อมมีบางครั้งที่เราแสดงออกผิดแผกไปจากสิ่งที่สังคมกำหนด หรือคาดหวังไว้ เช่นว่า ในฐานะมนุษย์หนึ่งคน เราก็สามารถมีบทบาทและสถานภาพที่หลากหลายได้ในคนๆเดียว เป็นเด็กหญิงชาย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นลูกของพ่อแม่เป็นหลาน ของน้าอา ป้าลุง ปูย่า ตายาย เป็นนักเรียนอนุบาล ของคุณครู  เมื่อโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่  เป็นพ่อแม่ ก็จะมีอาชีพการงานก็เป็นตัวกำหนดบทบาทในสังคมของคนๆนั้นอีกชั้นนึง ในขณะที่มีสถานะภาพเป็นสามี ภรรยาด้วยเช่นกัน นั้นยังไม่ได้รวมบุคลิกเฉพาะบุคคลเข้าไปด้วย เมื่ออยู่กับเพื่อนการแสดงออกจะเป็นแบบนึง กับครอบครัว จะเป็นอีกแบบนึง อยู่ที่ทำงานกับเจ้านายหรือลูกน้องก็จะแสดงออกไปตามกาละเทศะ หรือปัจจัยแวดล้อมนั้นๆ การที่จะทำให้ผู้คนที่รู้จักเค้า แล้วรู้สึกกับคนๆนั้น เกิดขึ้นได้สารพัดอย่าง รัก เกลียด ชอบ นับถือ อิจฉา คลั่งไคล้ ฯลฯ หลายครั้งที่มนุษย์เราขัดแย้งกันเองเพราะตีความและมองสิ่งๆเดียวกันในมุมที่แตกต่าง
บ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมว่ากล่าว วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ส่วนมากแล้วมักเป็นบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่อาจมาชี้แจงอะไรได้ในตอนนั้น ที่สำคัญ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่สนิทสนมอะไรกับเค้าเลย  เมื่อพูดแล้วก็แล้วไปมันไม่สำคัญหากเราไม่ใส่ใจ  การที่เราเป็นคนละเอียดอ่อนและระมัดระวังใส่ใจต่อคนที่เราพูดถึงหรือพาดพิงนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินจะทำได้ แม้เราทำไม่ได้ทุกครั้งในวงสนทนา หากมันทำให้เราเข้าใจตนเอง และคนอื่นมากขึ้น การวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินผู้อื่นจากความไม่รู้ของเราน่ามีน้อยครั้งลง เมื่อความจริงเกี่ยวกับบุคคลที่เราพาดพิงถึงนั้นปรากฏ (ส่วนมากมักจะไม่เจอความจริง) ก็คงไม่ต้องทำให้เราเปลืองความรู้สึกมากเกินไปกับเรื่องราวอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา การมานั่งคิดคำนึงถึงสิ่งที่ไม่สนับสนุนต่อการทำมาหากินนั้น ย่อมไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีนัก แม้ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์แน่ชัดว่า การไม่ทำเช่นนั้น มันจะเกิดประโยชน์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมก็ตามที ช่างเถอะมันครับ ความคิดมันพาไปนี่นา

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ที่ๆ ใครๆ ก็ชอบ

อารัมภบทกันซักนิดนะครับทุกท่าน เมื่อคืนนี้ ประสบการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดกับผม  มันเกิดขึ้นอีกแล้ว นำความหงุดหงิด เสียจริต เสียประสาทมาให้อีกแล้ว คืองี้ครับ บ้านของผมติดกับถนนสายหลัก มักมีรถผ่านไปมาตลอดทั้งวัน บางครั้งอาจทั้งคืน ทำให้การนอนหลับพักผ่อนของคนในบ้านเป็นไปด้วยความยากลำบาก และบ่อยครั้งจะมีการเร่งเครื่องยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซต์และรถยนต์รวมไปถึงการบีบแตรปรี๊นปร๊านน่ารำคาญเมื่อวิ่งผ่านหน้าบ้านผม อาจเพราะบ้านผมอยู่ทางขึ้นเนินสูงและมีทางแยกอยู่ตรงปลายเนินพอดิบพอดี  แม้จะย้ายมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ก็ยังไม่ชินซักที  แต่บางครั้งผมรู้สึกได้ว่า มันคือความตั้งใจของใครหรืออะไรบางอย่างที่ตั้งใจจะรบกวนผมและคนในบ้าน จะด้วยสาเหตุอันใดนั้น ผมก็อยากรู้เหมือนกัน เมื่อคิดพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว ผมได้คำตอบที่ทำให้ตัวผมเองเจ็บใจนัก และนั้นมักเป็นคำแนะนำจากใครหลายคนที่ผมได้แบ่งปันประสบการณ์แบบนี้ให้เขาเหล่านั้นได้ฟัง ก็คือ "ผมคิดไปเอง มันเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ตามที่มีบ้านติดกับถนนต้องเจอกันทั้งนั้น" ลึกๆแล้วผมเองก็รู้ว่า มันก็เกิดจากความตั้งใจของใครหรืออะไรที่ผมกล่าวข้างต้นนั่นล่ะเพียงแต่ผมหาคำอธิบายที่มันสมเหตุสมผลกว่านี้ไม่ได้ก็เท่านั้น ผมพยายามสังเกตุตัวเองว่า ผมได้ไปเหยียบตาปลาชาวบ้านเค้ารึเปล่า ที่ไหน อย่างไรบ้างไหม ก็อีกนั้นแหละ ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ดี ผมก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้ไปเกะกะระรานใครที่ไหนเลย หรืออาจจะทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน ยิ่งคิดยิ่งตัน แต่มันก็มีช่วงที่ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลยด้วยซ้ำไปนะครับ แบบว่าเงียบสงบเหมือนป่าช้าเลยก็มี ความคลุมเครือมันครอบคลุมจิตใจผมเสียจนไม่อยากเล่าให้คนอื่นฟังอีก เพราะรู้ดีว่าจะได้รับคำตอบรับอย่างไร สรุปสั้นๆว่า ที่บ้านของผม ไม่ใช่ที่ๆผมชอบมากนัก
มีเหตุผลดีๆอีกมากมายร้อยแปดที่ทำให้ผมเลือกอยู่ที่บ้าน เราอาจเรียกมันว่า ความสบายใจ สุขใจ อุ่นใจ ผ่อนคลาย สบายๆ  หรือเราไม่ต้องไปเรียกมันว่าอะไรเลยก็ได้ ช่างหัวมันเถอะครับ ขอให้โอเคกับมันเป็นพอ สรุปเหมือนไม่สรุปแฮะ
ผมอยากบอกว่าที่ๆคนไปเยอะๆนั่นแหละคือที่ๆใครๆก็ชอบ แต่ก็ลืมไม่ได้ว่าที่ๆคนอาศัยอยู่เยอะๆต่างหากคือที่ๆใครๆก็ชอบ พูดไปพูดมาก็มีเหตุผลดีทั้งสองฝั่ง ผู้คนมากมายดั้นด้นไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆมากมายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ รึว่าป่าความเจริญ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวผจญภัย หรือไปเพราะความจำเป็นในหน้าที่การงาน จะเหตุผลใดก็ตามแต่ ในท้ายสุดแล้ว ผู้คนเกือบทั้งหมดที่เดินทางไปโน้นไปนี่นั้น ย่อมโหยหา อยากกลับมาสู่ที่ๆเค้าจากมาเสมอ พูดก็พูดเถอะ บ้านน่ะไม่ใช่ที่ๆเดียวที่ผมอยากอยู่หรอกครับ รักษาสุขภาพกันนะครับผม

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สองวันมานี้ตอนกลางวันลมสงบ

อะไรๆที่เราคิดว่า นี่แหละ กูแน่ ๆเนี่ยะ ใช่กูเลย ในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ นานมาแล้วเมื่อยังเด็ก ผมเคยชื่นชอบ การอ่านการ์ตูนมากๆไม่ว่าจะเป็นโดราเอมอน ดราก้อนบอล  กัปตันซึบาซะ ขายหัวเราะ และอื่นๆอีกมากมาย หลายๆอย่างที่ผมเคยชอบตอนเด็ก เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและประสบการณ์ อะไรๆจากที่เคยชอบ อาจจะชอบน้อยลง หนักเข้าก็เกลียดไปเลยก็มี
ที่เล่ามาพอจะอธิบายเรื่อง "อัตตา"หรือ "ตัวตน"ในทางพระพุทธศาสนาได้บ้าง แม้ไม่ชัดเจนนัก แต่พอเห็นเค้า พอดูออกว่างั้น ตัวเราตอนเด็กกับเราตอนนี้คนเดียวกันรึเปล่า ทำไมเมื่อเราโตขึ้นเราถึงรู้สึกกับสิ่งที่เดียวกันนี้ต่างออกไป ทำไมไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกันละ แน่นอนจะตอบให้เถียงกันอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น เมื่อเราเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตแล้ว เรายังยืนยันกับตัวเราเองได้จริงหรือว่า เรายังเป็นเราอยู่ "ตัวเรา ร่างกายนี้เป็นของเราจริงหรือ" ฟังดูไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะนำมาคิดให้ปวดกบาล เพราะใครๆเค้าก็เป็นอย่างงี้กันทั้งนั้น น่าจะมีซักครั้งที่เราอาจเกิดคำถามเดียวกันนี้ในใจ อย่างที่บอก มันไม่สลักสำคัญอะไร ตราบใดที่คำถามนี่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายชีวิตเรา เพราะหากเราได้ตระหนักว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกชั่วขณะ ผู้มีปัญญา จะมองเห็นรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง เข้าใจ ยอมรับ และปรับตัวได้ เมื่อชีวิตเรานั้นไม่ได้ดำเนินไปในแบบที่เราคุ้นเคย
สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยในลิ้นชักความทรงจำของคนเรา ผมว่า เราจะพึ่งพาความสามารถของสมองอย่างเดียวคงไม่พอ บางครั้งความทรงจำที่หายไป อาจต้องการปัจจัยแวดล้อมอื่นๆเพิ่มเข้ามา อย่างบุคคล สถานที่ เวลา ประสาทสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง  หรืออาจมี อย่างอื่นที่พิเศษเฉพาะตัวเพิ่มเข้าไปสู่ระบบการทำงานของสมอง ก่อนจะดึงความทรงจำที่ตกหล่นหายไป กลับคืนมาได้
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี่ ผู้อ่านอาจเกิดคำถามว่า ประเด็นมันอยู่ตรงไหนเหรอ ผมสารภาพว่า ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะๆ ก็แค่อยากจะพูดเรื่องนี้เท่านั้นเอง นั้นแสดงให้เห็นว่า ความคิดของผมมันยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก คงต้องใช้เวลาอีกซักพัก อยากแก้ไขในงานชิ้นหลังต่อไป จะได้เปรียบเทียบกันกับของเดิมได้ชัดเจน ผู้ที่ใดมีโอกาสเข้าเยี่ยมชมบล็อคนี้ คงมีคำติชมอันเป็นประโยชน์บ้าง  และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องกล่าวคำว่า "สวัสดีครับ"

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บอกตรงๆว่ายังไม่เก็ทกับวิธีการทำบล็อกนี่เลย

เผื่อมีคนเค้าเข้ามาแกล้งเราละ แหม คิดไปได้ นี่เป็นอีกหนึ่งในหลายอย่างในชีวิตที่คิดอยากทำ การมีคอลัมน์เป็นของตัวเองนี่มันรู้สึกดีจริงๆ หลายๆคนที่รักการอ่านเขียน น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองไปว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่ก่อตัวมาจากสิ่งเล็กน้อยเป็นฐานเสมอ เขียนมันเข้าไป เมื่อรักชอบทางนี้ก็ควรเริ่มต้นซะหน่อย ความจริงควรจะเป็น "เอามันให้เต็มที่ ไม่ได้ดีอย่าเลิก" ประมาณนั้น แต่ผมไม่บังคับขืนใจตัวเองอย่างงั้นหรอก งานเขียนของผมนี้ แทบเรียกว่าเป็น "งานเขียน" ไม่ได้ มันสบายๆ หละหลวม ขาดทักษะและความรู้ในสิ่งที่ทำ และไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน บอกได้แค่ว่า ทำออกมาเพราะอยากทำ มีแรงบันดาลใจมากมาย หลากหลาย แต่ไม่เคยได้เรื่มต้น วันนี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะพร้อมมากขึ้น เป็นโอกาสดีที่ควรเริ่ม และบัดนี้มันอุบัติขึ้นแล้ว ทุกสิ่งอันก็ควรจะพัฒนาให้ดีขึ้นตามชั่วโมงบิน หวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆละ ขอวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงดลบันดาลให้ผมมีเรื่องมาเขียนทุกวันๆ เขียนได้ยาวๆ เขียนได้น่าสนใจ น่าติดตามด้วยเถ๊อะ สาาาาาาธุ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ที่ชอบๆอยู่ที่ไหน

คนไทย เวลาตายแล้วเป็นผีมาหลอกคน คนโดนหลอกจะขอให้ผีไปที่ชอบที่ชอบ แต่มาตีความตามความหมายของคำวลีนี้ มันใช้ในแง่บวกก็ได้นะ ที่ชอบๆ ก็คือที่ๆเราชอบนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นนรก สวรรค์ หนาวรึร้อน ไม่ว่าเป็นที่ไหน ขอให้ชอบเข้าไว้มันก็โอเค ซึ่งแน่นอนว่า ที่ชอบของใครก็ของมัน ถ้าใช้เรื่องของพื้นที่จริงในโลกนี้ก็ย่อมจะมีที่ชอบซ้ำๆกันของคนหลายคน ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้ นับประสาอะไรกับโลกเสมือน การปะทะกันทางความคิดในโลกไซเบอร์สเปซ พิจารณาดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันกันโลกแห่งความเป็นจริงเลย กลับยิ่งทำให้คนกล้าพูดมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะมาจากการที่ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของแต่ละฝ่าย ความกลัวจากการใช้ความรุนแรงจึงมีน้อยลง เพราะไม่รู้ว่าต่างฝ่ายอยู่ที่ไหน ใช่ว่าการสืบค้นหาจะเป็นไปไม่ได้ แต่การเลือกที่เข้าใจความแตกต่างของคน มันง่ายการกว่าที่จะเสียเวลาสืบสาวเอาเรื่องเอาราวกัน แล้ววันนึงเกิดหงุดหงิดทะเลาะกะเค้าไปทั่ว มันคงปวดหัวน่าดูกับการเสียเวลาหาที่อยู่ของคู่กรณีอยู่ร่ำไป เลือกที่จะรับ กลั่นกรองก่อนส่งสาร น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าการแก้ไข เริ่มจากตัวเราก่อน พูดง่ายมาก แต่ทำยากคนพูดเองไม่รู้ทำได้รึเปล่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ คุณอาจจะสงสัยว่า มึงพูดอะไรของมึงวะ ผมเองก็งงๆ เอาเป็นว่า มันว่างครับหาไร้ทำแก้ฟุ้งซ่าน ดีกว่าอยู่เปล่าๆครับ(เปล่าหรอก เห็นเค้าทำกันเยอะเลยเอามั่ง) สำหรับวันนี้เอาแค่นี้

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...