วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้




โดยปกติแล้ว ผมจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอมิได้ขาด ความสนใจของผมอยู่ในวงจำกัด ในวงจำกัดนั้น มีเรื่องการเมืองแซมอยู่ในความสนใจอยู่บ้าง คือพอรู้ ไม่ได้รู้ลึกเชี่ยวชาญ (จริงๆแล้ว เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน) สิ่งที่ผมและผู้อ่าน พบเจอและรับรู้ผ่านสื่อสารมวลชนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมเป็นเรื่องการชุมนุนทางการเมือง อย่างแน่นอน(ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม 2556)

ความรู้สึกของผมกับข่าวการเมือง ก่อนหน้าเหตุการณ์วิกฤตข้างต้น นั้นก็คงไม่ต่างกับผู้คนอีกไม่น้อย ที่รู้สึกเบื่อหน่าย และหมดหวังกับการเมืองในภาพรวม ทั้งตัวนักการเมือง วิธีการทำงาน การทุจริตคอร์รัปชั่น คุณธรรมและจริยธรรมรวมถึงอุดมการณ์ ความจริงใจของฝ่ายการเมืองที่จะพยายามแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองและประชาชนอย่างจริงจัง และอื่นๆ ทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน และรัฐบาลชุดก่อนๆ ความห่วยแตกของการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับบ้านเมืองนี้มันมากพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกแบบเดียวกับผมได้ไม่ยาก ไม่อาจบอกได้ว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับผมมีจำนวนมากน้อยเท่าใด มันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้สังคม การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน แต่พวกเราก็ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง จะช้าจะเร็วก็ขอให้เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้นัการเมืองมีสปิริตมีอุดมการณ์ มีความจริงจังและจริงใจที่จะแก้ปัญหา มีคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับอำนาจบริหารบ้านเมือง หรือที่เราอาจจะคุ้นกับคำว่า ปกครองโดยใช้หลักนิติธรรม และธรรมาภิภาลนั่นเอง หลักการและวิธีการมันการฟังดูง่ายๆแบบที่ผมว่านี่แหละ แต่ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีนักการเมืองที่มีคุณสมบัติที่ว่ามานี่กันซักกี่คน เท่าที่ศึกษาที่อ่านมา คนดีๆมักจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งการเมือง หรือถ้าโชคร้ายหลุดเข้าไปในวังวนการเมืองแล้ว มักจะอยู่กันไม่ได้ เพราะมีพวกน้อย เงินน้อยและถูกบีบให้พ้นทาง ไม่ก็ถูกระบบอำนาจ และเงินตรากลืนกิน กลายพันธุ์จากเทวดาเป็นซาตานไปซะนั้น เป็นเช่นนี้เสมอมา

มีบางมุมมองกล่าวว่า เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เป็นพัฒนาการทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยในบ้านเรากำลังก้าวไปอีกขั้น ว่ากันขนาดนั้นก็มี

โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าไม่มีทางที่ความวุ่นวายในรูปแบบเดิมๆนี้จะจบลงง่าย ถึงฝ่ายนี้จะชนะในวันนี้ แต่อีกฝ่ายจะทำแบบเดียวกันนี้ซ้ำเดิมอีกในวันข้างหน้า พี่น้องชาวไทยทั้งหลายก็ต่างเห็นมาด้วยตากันมาแล้วรอบนึง ในขณะที่ผมเองรู้สึกมืดมน หมดหวังปนสังเวชประเทศนี้และชะตากรรมของคนไทย อยู่ๆ ความหวังดังแสงทองก็ทาบทอมากระทบ

เมื่อวานนี้(7 ธันวาคม) ผมได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง รายการได้นำเสนอ วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆโดยเน้นวิธีการพูดคุยด้วยเหตุผลของคู่กรณีที่เกิดข้อพิพาท วันนั้นรายการได้นำเอาตัวแทนมวลชนของทั้งสองฝั่ง(เสื้อแดง และฝ่ายที่ออกไปชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้)มาร่วมพูดคุยถึงสาเหตุปัญหาความขัดแย้งและร่วมกันเสนอทางแก้ไข ผมไม่ได้คาดหวังอะไรนักเมื่อเปิดมาเจอ แต่พอดูไปฟังไปแล้ว ผมเริ่มมีความหวัง ถ้าสิ่งที่คนทั้งสองฝั่งพูดและนำเสนอทางแก้ไขได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง (ในใจก็คิดว่า น่าจะดีถ้าประชาชนทั้งหลายได้รับชมรายการในวันนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกไปประท้วงให้เสียการเสียงานเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ต้องเกลียดชังกันหรือมุ่งหมายเอาชีวิตกัน ทั้งๆที่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือสิ่งเดียวกัน) เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ผมว่าผู้อ่านคงอยากรู้แล้ว ผมจึงนำลิ้งของรายการมาให้ผู้อ่านไปติดตามชมกันด้วยตัวเอง แล้วมาช่วยกันพิจารณาว่า ผมหวังลมๆแล้งๆรึเปล่า

ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตาม ผมจะพยายามไม่เขียนเรื่องการเมืองอีก ตอนหน้าจะหาเรื่องราวดีๆเบาๆมานำเสนอครับ
http://clip.thaipbs.or.th/file-9370

สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้

โดยปกติแล้ว ผมจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอมิได้ขาด ความสนใจของผมอยู่ในวงจำกัด ในวงจำกัดนั้น มีเรื่องการเมืองแซมอยู่ในความสนใจอยู่บ้าง คือพอรู้ ไม่ได้รุ้ลึกเชี่ยวชาญ (จริงๆแล้ว เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน) สิ่งที่ผมและผู้อ่าน พบเจอและรับรู้ผ่านสื่อสารมวลชนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมเป็นเรื่องการชุมนุนทางการเมือง อย่างแน่นอน(ปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคม 2556)

ความรู้สึกของผมกับข่าวการเมือง ก่อนหน้าเหตุการณ์วิกฤตข้างต้น นั้นก็คงไม่ต่างกับผู้คนอีกไม่น้อย ที่รู้สึกเบื่อหน่าย และหมดหวังกับการเมืองในภาพรวม ทั้งตัวนักการเมือง วิธีการทำงาน การทุจริตคอร์รัปชั่น คุณธรรมและจริยธรรมรวมถึงอุดมการณ์ ความจริงใจของฝ่ายการเมืองที่จะพยายามแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองและประชาชนอย่างจริงจัง และอื่นๆ ทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน และรัฐบาลชุดก่อนๆ ความห่วยแตกของการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับบ้านเมืองนี้มันมากพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกแบบเดียวกับผมได้ไม่ยาก ไม่อาจบอกได้ว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับผมมีจำนวนมากน้อยเท่าใด มันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้สังคม การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน แต่พวกเราก็ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง จะช้าจะเร็วก็ขอให้เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้นัการเมืองมีสปิริตมีอุดมการณ์ มีความจริงจังและจริงใจที่จะแก้ปัญหา มีคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปกับอำนาจบริหารบ้านเมือง หรือที่เราอาจจะคุ้นกับคำว่า ปกครองโดยใช้หลักนิติธรรม นั่นเอง หลัการและวิธีการมันการฟังดูง่ายๆแบบที่ผมว่านี่แหละ แต่ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีนักการเมืองที่มีคุณสมบัติที่ว่ามานี่กันซักกี่คน เท่าที่ศึกษาที่อ่านมา คนดีๆมักจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งการเมือง หรือถ้าโชคร้ายหลุดเข้าไปในวังวนการเมืองแล้ว มักจะอยู่กันไม่ได้ เพราะมีพวกน้อย เงินน้อยและถูกบีบให้พ้นทาง ไม่ก็ถูกระบบอำนาจ และเงินตรากลืนกิน กลายพันธุ์จากเทวดาเป็นซาตาน เป็นเช่นนี้เสมอมา

มีบางมุมมองกล่าวว่า เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เป็นพัฒนาการทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยในบ้านเรากำลังก้าวไปอีกขั้น ว่ากันขนาดนั้นก็มี

โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าไม่มีทางที่ความวุ่นวายในรูปแบบเดิมๆนี้จะจบลงง่าย ถึงฝ่ายนี้จะชนะในวันนี้ แต่อีกฝ่ายจะทำแบบเดียวกันนี้ซ้ำเดิมอีกในวันข้างหน้า พี่น้องชาวไทยทั้งหลายก็ต่างเห็นมาด้วยตากันมาแล้วรอบนึง ในขณะที่ผมเองรู้สึกมืดมน หมดหวังปนสังเวชประเทศนี้และชะตากรรมของคนไทยอยู่ ความหวังดังแสงทองก็ทาบทอมากระทบ

เมื่อวานนี้(7 ธันวาคม) ผมได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง รายการได้นำเสนอ วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆโดยเน้นวิธีการพูดคุยด้วยเหตุผลของคู่กรณีที่เกิดข้อพิพาท วันนั้นรายการได้นำเอาตัวแทนมวลชนของทั้งสองฝั่ง(เสื้อแดง และฝ่ายที่ออกไปชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้)มาร่วมพูดคุยถึงสาเหตุปัญหาความขัดแย้งและร่วมกันเสนอทางแก้ไข ผมไม่ได้คาดหวังอะไรนักเมื่อเปิดมาเจอ แต่พอดูไปฟังไปแล้ว ผมเริ่มมีความหวัง ถ้าสิ่งที่คนทั้งสองฝั่งพูดและนำเสนอทางแก้ไขได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง (ในใจก็คิดว่า น่าจะดีถ้าประชาชนทั้งหลายได้รับชมรายการในวันนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกไปประท้วงให้เสียการเสียงานเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ต้องเกลียดชังกันหรือมุ่งหมายเอาชีวิตกัน ทั้งๆที่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือสิ่งเดียวกัน) เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ผมว่าผู้อ่านคงอยากรู้แล้ว ผมจึงนำลิ้งของรายการมาให้ผู้อ่านไปติดตามชมกันด้วยตัวเอง แล้วมาช่วยกันพิจารณาว่า ผมหวังลมๆแล้งๆรึเปล่า

ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตาม ผมจะพยายามไม่เขียนเรื่องการเมืองอีก ตอนหน้าจะหาเรื่องราวดีๆเบาๆมานำเสนอครับ

http://clip.thaipbs.or.th/file-9370

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เดอะฟอร์เรสกั้ม อัจฉริยะปัญญานิ่ม forrest gump(1994)

                                     
ฟอร์เรสท์ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานิ่ม (Forrest Gump) เป็นภาพยนตร์แนวชีวิต - เบาสมอง ที่ออกฉายใน ค.ศ. 1994 แสดงนำโดย ทอม แฮงส์ ที่ประสบความสำเร็จมากเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างจากนิยายเรื่อง Forrest Gump ที่แต่งโดย วินส์ตัน กรูม (Winston Groom)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับการจัดอันดับเป็นภาพยนตร์อเมริกันที่สุดตลอดกาล อันดับที่ 71 ทำรายได้ 677,387,716 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่าเงินกว่า 989 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งมีเพียงภาพยนตร์อมตะอย่างเรื่อง ไททานิก, เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์, แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เอาชนะยอดนี้ได้
ข้อมูลจากวิกิพิเดีย
   ภาพยนต์อีกเรื่อง ที่สร้างความประทับใจให้กับผมมากๆ และเชื่อเหลือเกินว่าผู้อ่านที่เป็นคอหนังจะต้องรู้จัก เคยชมและเป็นหนึ่งในภาพยนต์ในดวงใจอย่างแน่นอน  หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องรายได้ และยังได้รับรางวัลออสก้ามาอีกหกสาขา เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำมาอีกสามสาขาด้วยกัน  เท่านี้คงพอการันตีได้ว่า หนังเรื่องนี้ได้รับความนิยมขนาดไหน ในมุมของนักวิจารณ์ก็ยังได้รับคำชมเชยอยู่เสมอแม้เวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน(2556)
ขอเล่าถึงตัวหนังอีกนิด
หนังเปิดตัวด้วยภาพขนนกสีขาว ที่ล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทางและจุดหมาย ล่องลอยไปตามสายลมที่พัดเอื่อยๆ คล้ายกับจะบอกว่า เรื่องราวชีวิตของตัวเอกอย่างฟอร์เรสท์ กั้มพ์ต่อจากนี้จะเป็นไปอย่างไรนั้น ก็สุดแท้แต่สายลมแห่งโชคชะตาจะพาพัดไป
เด็กชายฟอร์เรสท์ กั้มพ์เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทั้งทางร่างกาย(กล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องใช้เครื่องพยุงขาและไม้เท้าค้ำสำหรับเดิน)และสติปัญญา(ออทิสติก) ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสสำหรับการดำเนินชีวิตของเขา สำหรับคุณนายกั้มพ์ผู้เป็นแม่ความบกพร่องทั้งหลายของเจ้าหนูฟอร์เรสท์ ไม่มีความหมายใดๆสำหรับเธอ แทนที่เธอจะอายและเลี้ยงดูเด็กพิการอย่างฟอร์เรสท์เหมือนอย่างพ่อแม่ทั่วไปที่มีลูกพิการ แต่เธอกลับให้ฟอร์เรสท์ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างคนปกติ และปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว เมื่อใครก็ตามพยายามที่จะบอกว่าเจ้าหนูฟอร์เรสท์นั้นพิการและต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ เธอจะพร่ำบอกลูกชายเสมอว่า เขาไม่มีอะไรด้อยกว่าเด็กคนอื่นๆเลย สำหรับตัวฟอร์เรสท์เอง ความบกพร่องดังกล่าวก็ไม่มีความหมายใดกับเขาเช่นกัน  เขาไม่เคยท้อแท้หรือสิ้นหวัง(ซึ่งเขาอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร) ไม่เคยสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่เหมือนคนอื่น ดำเนินชีวิตไปด้วยการจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีเพียงความเชื่อมั่นศรัทธาในคำพร่ำสอนของแม่ ที่ว่าเขาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด ที่พระเจ้าประทานมาให้แม่ของเขา เขาคือปาฏิหารย์
อย่างไรก็ตามชีวิตที่โลดโผนประดุจนิยายของเขา(ก็นิยายนั่นแหละ)ก็ดำเนินไปโดยที่เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะไปถึงจุดที่คนทั่วไปเรียกว่า ประสบความสำเร็จ ทุกสิ่งที่ฟอร์เรสท์ได้ลงมือทำ ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่นักฟุตบอล ของมหาวิทยาลัย เป็นทหาร ตีปิงปอง ชาวประมง ตลอดจนนักธุรกิจ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของฟอร์เรสท์นั่นจุดมุ่งหมายนั่นก็คือความรัก รักแรกและรักเดียวที่เขามี ให้กับเจนนี่ สาวน้อยผู้น่ารักที่เป็นกำลังใจให้ฟอร์เรสท์เสมอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเป็นผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ฟอร์เรสท์ทำสิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหารย์ เป็นครั้งแรก นั่นคือ การวิ่ง
เรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของฟอร์เรสท์ กั้มพ์ ในหนัง เปี่ยมไปด้วยรสชาดชีวิตที่หลากหลาย การผูกโยงตัวละครเข้ากับบุคคลหรือเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ บทหนัง ฝีมือด้านการแสดงของ ทอม แฮงค์  ผู้กำกับยอดฝีมืออย่าง โรเบิร์ต เซเมคิส การดำเนินเรื่องไม่เยิ้นเย้อ บวกกับสเปเชี่ยลเอฟเฟค ฯลฯ จึงไม่สงสัยเลยว่า ทำไมหนังถึงได้รับรางวัลออสก้าถึงหกรางวัลในปีนั้น
หนึ่งในหลายมุกในหนังที่ผมชอบมากๆ คือ ฉากที่ชายหนุ่มพเนจรลึกลับผู้หนึ่ง มาขอแบ่งเช่าห้องในบ้านของฟอร์เรสท์  ชายหนุ่มที่คนทั้งโลกคลั่งไคล้ ทั้งร้องทั้งเต้นเพลงของเขา ชายหนุ่มที่อีกหลายปีต่อมา ผู้คนเรียกเขาว่า ราชาเพลงร็อค เอลวิส เพลสลี่  มุกที่ว่านั่นคือ ท่าเต้นบิดเอวสะท้านโลกของเอลวิส ที่มาของท่านี่มาจากการที่เอลวิสได้เห็นท่าเดินของฟอร์เรสท์(ตอนยังใช้ไม้เท้าค้ำยันช่วยเดิน)ที่ผมบอกว่ายักแย่ยักยันนั่นแหละ เอลวิส เอาไปเลียนแบบ แล้วคนก็เอาไปเต้นกันทั่วโลกนั่นแหละ แหม ต้องถามมันเลยครับว่า มันคิดได้ไง มีอีกหลายมุกฮาๆในหนังเรื่อง แต่เอาไว้เท่านี้ก็ เพราะอวยกันมากไปแล้ว
เพื่อนคนนึงของผมมักจะย้ำกับผมเสมอ เมื่อผมพูดคุยเรื่องภาพยนต์หรือความประทับใจเกี่ยวกับภาพยนต์ว่า หนังก็คือหนัง มึงอย่าไปคิดมาก ก็จริงของมันครับ เวลาที่เราลุ่มหลงอะไรมากไป มีอะไรมาเตือนใจไว้มั่งมันก็ดีเหมือนกัน
พบกันไหมในตอนหน้า ผมกำลังตัดสินใจว่า จะพูดเรื่องหนังต่อไปดี หรือจะไปหาเรื่องราวอื่นมาเปลี่ยนรสชาดในการอ่านบ้างดี คงต้องติดตามกันไปนะครับ ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับแฟนๆที่เข้ามาแวะเวียนถึงแม้จะไม่ได้อ่าน แต่ก็ทำให้สถิติผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตอนนี้ก็แปดพันสี่ร้อยปลายๆแล้วครับ เห็นแล้วมันชื่นใจจริงๆ
โชคดีมีชัยครับทุกท่าน

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใหญ่สั่งมาเกิด armour of god(1987)

                                                     
                                               
ภาพยนต์ในดวงใจที่ผมประทับใจมิรู้ลืม
ผลงานชิ้นโบว์แดงของซุปเปอร์สตาร์เอเซียตลอดกาล เฉินหลง หรือแจ็คกี้ ชาน นั่นเอง
   เฉินหลงในวัยหนุ่ม แสดงพลังของเขาออกมาผ่านผลงานภาพยนต์ ทั้งเขียงบท กำกับ และแสดงนำ แม้จะเห็นได้ชัดว่า ตัวหนังได้รับอิทธิพลมาจาก หนังฮอลลีวูดอย่างอินเดียน่าโจนส์ แต่โดยรวมแล้ว ก็ดูไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ออกจะดูดีมากๆด้วยซ้ำไป ภาพยนต์แอ็คชั่นคอมเมดี้เรื่องนี้ มีฉากแอ็คชั่นอยู่ฉากนึง ที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของกีฬาท้ามฤตยูที่ฝรั่งชอบเล่นกันในปัจจุบัน เป็นฉากที่พระเอกของเราต้องหนีออกจากรังของพวกลัทธิอุบาทว์ โดยการดิ่งพสุธาจากหน้าผาสูงชัน(ไม่มีรายงานว่าสูงเท่าไหร่) โดยมีร่มชูชีพเป็นเครื่องช่วยชีวิตเพียงอย่างเดียว ผมไม่อาจบอกได้ว่าฉากนี้มันน่าทึ่งขนาดไหน ผู้ที่เคยได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้น่าจะยืนยันคำกล่าวของผมได้ดี ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยชม ก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อนะครับ หามาดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ครั้งแรกที่ผมได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้คือตอนผมเรียนอยู่ประมาณป.3 ก็ประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้ว(ที่เขียนปัจจุบันคือ2556)เป็นบ่ายที่ร้อนและน่าเบื่อวันนึง คุณครูท่านนึงได้เอาวีดีโอเรื่องนี้มาเปิดให้นักเรียนได้ดูกัน เพราะวันนั้นโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรบางอย่าง  ผมก็จำไม่ได้แล้วละ ที่ทำให้นักเรียนและครูว่างเว้นจากภาระหน้าที่การเรียนการสอน โรงเรียนบ้านนอก นักเรียนทั้งโรงเรียนไม่ถึงสองร้อยคน มากกว่าหนึ่งในสามของนักเรียนทั้งหมด ได้ร่วมกันชมภาพยนต์เรื่องนี้ด้วยกัน  ในห้องเรียนเล็กๆนั่น  และอีกครั้งนึงในงานศพของคนในหมู่บ้าน ผมก็ไปนั่งรอดูหนังวีดีโอที่เค้าเปิดให้แขกเหรือและญาติที่ไปงานศพเฝ้าศพได้ดูกันตลอดทั้งวันทั้งคืน แล้วเค้าก็เปิดหนังเรื่องนี้ให้ดูเหมือนกัน
สำหรับเนื้อเรื่องนั้น ผมลองใช้กูเกิ้ลหาข้อมูลดู แล้วเจอแหล่งข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้และหนังเรื่องอื่นๆของเฉินหลงอีกมากมายหลายเรื่อง ท่านผู้อ่านสามารถติดตามไปอ่านเพิ่มเติมได้ ตามลิงค์นี้ครับ   http://unclerain1984.wordpress.com/2012/12/27/%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94-armour-of-god-1987/
ปล.ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเฉินหลงในนิตรสารวัยรุ่นฉบับนึง เฉินหลงบอกว่าเขามีไอดอลอยู่คนนึง ซึ่งผมว่าน้อยคนนักที่ไม่รู้จักบุรุษผู้นี่ เค้าคนนั้นก็คือ ชาลี แชปปลิ้น ส่วนตัวผม ผมก็คิดว่าเฉินหลงเป็นไอดอลของเด็กผู้ชายทั่วโลกเลยละ ถ้าไมเคิล แจ็คสันเป็นคิงออฟพ็อบ แจ็คกี้ ชาน ก็คงเป็นคิงออฟแอ็คชั่นกะละมังครับคุณผู้โชมมมมมม

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556



                                                                                                  สื่อภาพยนต์
ภาพยนต์หรือหนัง คือกระบวนการบันทึกภาพด้วยฟิลม์ แล้วนำออกฉายในลักษณะที่แสดงให้เห็นภาพเคลื่อนไหว ภาพที่ปรากฏบนฟิลม์ภาพยนต์หลังจากผ่านกระบวนการถ่ายทำแล้วเป็นเพียงภาพนิ่งจำนวนมาก ที่มีอิริยาบทหรือแสดงอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยต่อเนื่องกันเป็นช่วงๆตามเรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทำและตัดต่อมา ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นการแสดงให้เหมือนจริง หรืออาจเป็นการแสดงและสร้างภาพจากจินตนาการของผู้สร้างก็ได้
ที่มา วิกิพิเดีย
หลังจากที่ได้พูดคุยสัพเพเหระกับลูกค้าท่านหนึ่ง ก็ได้ทราบว่าลูกค้าท่านนี้มีอาชีพเกี่ยวกับกราฟฟิกดีไซน์ ความเป็นคนขี้สงสัย ผมจึงถามลูกค้าไปว่า อีกนานไหมที่อะนิเมชั่นของคนไทยจะเทียบได้กับฝั่งฮอลลีวูดในวันนี้ได้ คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน รู้แต่คงอีกนานมากๆ  ผมจึงถามต่อไปว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหน เทคโนโลยีเครื่องไม้เครื่องมือใช่หรือไม่ ลูกค้าบอกว่าไม่ใช่ซะทีเดียว มันคือปัญหาใหญ่ที่ใครก็แก้ไม่ตก นั่นคือ เงิน  ลูกค้ายังให้ทัศนะว่า เรา(ผู้ผลิตภาพยนต์บ้านเรา)ไม่ควรไปหนังที่เน้นขายหรือโชว์แอนนิเมชั่น แต่ให้เน้นไปที่ไอเดียมากกว่า แต่ไม่ลืมย้ำว่า คนไทยก็ทำได้เหมือนฝรั่งแหละความสามารถไม่ได้ต่างกันนักหรอก ประเด็นคือ เราจะไปตามเค้าอะไรนักหนา  ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยในประเด็นนี้อย่างยิ่ง เห็นจากหนังไทยหลายๆเรื่องที่ประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่องที่โด่งดังเป็นหน้าเป็นตาในต่างประเทศนั้น ไม่ปรากฏว่ามีหนังไทยเรื่องใดเลยที่มีความโดดเด่นเรื่องวิช่วลเอฟเฟ็คหรือสเปเชียลเอฟเฟ็คเลย แล้วอะไรทำให้หนังเหล่านั้นประสบความสำเร็จในเวทีโลกละ ส่วนตัวผมเห็นว่า มันคือความเป็นท้องถิ่น ความเป็นตัวตนของเรา(วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ความเชื่อและอะไรๆอื่นๆทำนองนั้น)มากกว่าหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของไลฟ์สไตล์ทันสมัยหรือหนังที่โชว์ให้เห็นความสมจริงสมจังของภาพ(จากงานด้านวิช่วลเอฟเฟ็ค) การสนทนาระหว่างผมกับลูกค้าคนนั้นจบลงโดยไม่มีข้อสรุปใดๆ มีเพียงผมเองเท่านั้น ที่ครุ่นคิดเรื่องที่พูดคุยกันนั้นต่อไปเงียบๆคนเดียว
และนั่น คือที่มาที่ทำให้ผมอยากจะเขียนถึงสิ่งนี้ สิ่งที่ผมชื่นชอบหลงใหลตลอดมา สิ่งที่ทรงพลังและ มีทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผม สิ่งที่เปิดโลกทัศน์ มุมมอง ความรู้ ความใฝ่ฝัน แรงบันดาลใจ(เยอะไปแระ) และยังไม่เคยเลิกหวังว่าสักวันหนึ่ง จะได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งๆนี้ซักครั้งคราในชีวิต มันคือ แทนนนนทะละแลนนแทนๆๆๆๆๆๆๆ หนัง หรือภาพยนต์นั่นเองงงงงเงงงงงงงงงง
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังอยู่ป.6(ประมาณปี 2532-2533) ทางบ้านให้ผมเข้าไปเรียนกวดวิชาในตัวเมืองในวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อแห่งนึง แม่จะให้เงินไปครั้งละ25 บาทต่อหนึ่งวัน ค่ารถบัสไปกลับ รวม 10 บาทเหลืออีก15บาทเป็นค่ากิน ผมมักจะเก็บเงินส่วนค่ากินไว้ เพื่อไปดูหนัง กิจกรรมที่ผมชื่นชอบ ค่าตั๋ว10บาทแถวหน้าสุด ผมนั่งแถวหน้านั้นเป็นประจำไม่เบื่อเลย(เบื่อไม่ได้ เพราะมีงบเท่านั้น) ผมใช้เวลาว่างหลังจากเรียนกวดวิชา ไปดูหนังคนเดียวเป็นประจำ ตั้งแต่นั้นมา ตราบจนถึงปัจจุบันก็ยังทำอยู่ และไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใดที่จะต้องทำกิจกรรมนี้เพียงผู้เดียว
ย้อนเวลากลับก่อนหน้านั้นอีก เมื่อครั้งที่ผมเพิ่งจำความได้ พ่อกับแม่พาผมไปเที่ยวปีใหม่ในตัวเมือง หลังจากพาเดินดูงานออกร้านของกาชาดเสร็จพ่อกับแม่จะพาลูกๆไปกินสุกี้ยากี้เจ้าประจำ จากนั้นพ่อก็พาพวกเราไปดูหนังกัน นั้นถือเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเจ้าสิ่งนี้ เจ้าภาพยนต์ เสียดายผมจำชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ที่ผมจำได้มันเป็นหนังกำลังภายใน พระเอกคือ บรู๊ซ ลี และเป็นสูตรสำเร็จของหนังจีนกำลังภายใน นั่นคือ ผู้ร้ายฆ่าอาจารย์ของพระเอก พระเอกก็ฝึกวิทยายุทธ เมื่อฝึกสำเร็จก็ไปแก้แค้นให้อาจารย์ ที่จำได้อีกอย่างคือ พระเอกอ่านหนังสื่อโป๊ เป็นหนังสือโป๊แบบภาพวาดด้วยละ แหะๆ
พอโตขึ้นมาหน่อย ผมเริ่มออกไปดูหนังกลางแปลงตอนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นแบบเก็บตังค์ แบบงานคนตาย แบบงานบวช งานบุญ ผมก็จะหาโอกาส ออกไปดูเสมอ ซึ่งพ่อไม่ชอบเลย ถ้าพ่อรู้ว่าผมแอบหนีไปดูหนังตอนกลางคืน ก็จะมีตีสั่งสอนให้เจ็บตัวกันบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเข็ดหลาบ ก็คนมันชอบดูจริงๆนี่หน่า เอิ๊กๆๆ นอกจากหนังที่เป็นจอใหญ่ ผมก็ได้มีโอกาสดูหนังวีดีโอบ้างเป็นครั้งคราว โดยไปอาศัยดูบ้านเพื่อน(พ่อมันเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีฐานะดีมากทีเดียว)ที่ประทับใจมากก็ คนเหล็ก 2029 (รู้จักอาร์โนล ก็ตอนนั้นแหละ) ชาร์ลี แชปปลิ้น และ เทวดาท่าจะบ๊อง เวอร์ชั่นพากษ์ลาว แหม ตอนนั้นมันฮาสุดๆจริงๆ มีโอกาสจะซื้อเก็บไว้ดูระรึกความหลัง
พอเข้าเรียนม.1 ผมสะดุดตากับนิตยาสารเล่มนึงบนแผงหนังสือที่ท่ารถบัส ตอนกำลังจะกลับบ้านตอนเย็น เป็นนิตยาสารเกี่ยวกับหนัง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน(13 กันยายน 2556)ไม่แน่ใจว่าปิดตัวลงหรือยัง(ขอชมว่าเป็นนิตยาสารที่มีอายุยืนยาวนานมากเล่มนึง นั่นหมายความว่าจะต้องมีแฟนๆหนังสือเล่มนี้อยู่ไม่น้อย แล้วต้องมีสัมพันธ์อันเหนียวแน่นมากทีเดียว สองสามปีก่อนยังเห็นอยู่บนแผงหนังสืออยู่นะ) นิตยาสารเล่มนั้นชื่อว่า สตาร์พิค (star pic)ผมตัดสินใจซื้อโดยไม่คิดมาก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้รู้เรื่องราวของหนังในมิติอื่นๆ ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก มากขึ้นกว่าการเป็นแค่คนดูหนัง ประสบการณ์วัยเด็กเหล่านั้น ทำให้ผมดูหนังได้ไม่จำกัดแนวทาง แต่ผมไม่ได้บอกนะว่าผมเป็นกูรูทางด้านนี้นะ แค่บอกว่า ผมเป็นคนชอบดูหนังเท่านั้นเอง

ในตอนหน้า ผมจะมาพูดถึงหนังเรื่องโปรดของผม มาดูซิว่า หนังที่อยู่ในจะผม มันจะอยู่ในใจคุณผู้อ่านด้วยหรือไม่ มาติดตามกันได้ในตอนหน้า วันนี้ขอลาไปก่อนครับ 



วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไม่น่าเลย

จากที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อบทความชิ้นที่แล้วว่า ผมจะมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในมุมที่เราๆท่านๆไม่ค่อยได้รับรู้กัน วันนี้มาแล้วครับ
ขอออกตัวก่อนครับ ว่าข้อมูลที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นข้อมูลที่ได้จากนิตยาสารรายสัปดาห์ชื่อดังฉบับหนึ่ง ซึ่งผมเองได้พยายามขอความอนุเคราะห์ไปยังเจ้าของคอลัมน์ทางอีเมลล์ไปแล้ว แต่เวลาผ่านไปก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเลย ว่าจะอนุญาติให้เผยแพร่หรือไม่อย่างไร ก็ตัดสินใจอยู่หลายวัน จึงได้ข้อสรุปว่า ยังไงก็จะนำเสนอในตามเนื้อหาในคอลัมน์นั้น แต่จะมีการตัดทอนแต่งเติมบ้างเล็กน้อยเพื่อความกระชับ ลื่นไหลของเนื้อหา อย่างที่บอกไปว่า ผมยังไม่ได้รับการตอบรับมาว่าเจ้าของข้อมูลจะอนุญาติให้เผยแพร่หรือไม่ ดังนั้นถ้าเกิดเจ้าของคอลัมน์หรือนิตยาสารฉบับนี้จะฟ้องร้อง ผมก็คงต้องยอมละครับ(หวังว่าคงไม่) เสียวเหมือนกันเรื่องลิขสิทธิ์เอยหรือทรัพย์สินทางปัญญาเอย นี่ ผมมีความรู้ด้านนี้น้อยเหลือเกิน แต่อยากให้ข้อมูลเหล่านี้เป็นที่รับรู้กันในวงกว้างออกไป เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ เพื่อไม่ให้เรารับฟังข้อมูลแต่เพียงด้านเดียว แล้วหลับหูหลับตาเชื่อตามที่เค้ากล่าวอ้างกัน
อาจจะไปกระตุ้นผู้อ่านที่ชอบค้นคว้าและมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นจริง แล้วท่านอาจเอาความรู้ที่ได้ มาแชร์อีกต่อนึงก็เป็นได้ นั่นนับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง สำหรับสังคมเรา เกริ่นมาเยอะแล้วขอเข้าเรื่องเลยนะครับ


"รถยนต์ไฟฟ้าทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันและก๊าซเป็นสองเท่า" นั้นคือข้อสรุปของงานวิจัย ของนายกียุม มาเจโย-เบตเตซ(Guillaume Majeau-Bettez) นักศึกษาปริญญาเอก คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนอร์วีเจี้ยน ประเทศนอร์เวย์
งานวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่เมื่อปี 2553
หลังจากมีการเผยแพร่ออกไป ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง มีการกล่าวหาเพื่อดิสเครดิตงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทน้ำมัน สเตตออยล์ ของนอร์เวย์ ทางด้านนายกียุมและทีมวิจัย ก็ได้ออกมายืนยันว่า บริษัทน้ำมันที่ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนงานวิจัยแต่อย่างใด ส่วนที่มาเงินทุนสนับสนุนการวิจัยนั้น ได้รับมาจากสภาการวิจัยแห่งชาติของนอร์เวย์โดยตรง


งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ทำการทดสอบประเมินคุณภาพของแบตเตอรี่ นิเกิลเมทัลไฮไดร(Nikle Metal Hydride)และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน(Li-Ion)โดยใช้สมมุติฐานสองประเด็นดังนี้


1 ที่มาของแบตเตอรี่ที่นำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า
2 ที่มาของพลังงานที่นำมาป้อนให้รถยนต์และแบตเตอรี่


นอกจากนั้นทีมวิจัยยังทำการทดสอบโดยการขับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นระยะทาง150,000 กิโลเมตร เปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและก๊าซในระยะทางที่เท่ากัน ผลการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าสร้างผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันและก๊าซ โดยมีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเป็นตัวการสำคัญ เนื่องจากที่มาของวัตถุดิบและพลังงานที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้
ทางด้าน แอนเดอร์ แฮมเบอร์ สตรอมแมน (Ander Hammer Stromman)ผู้ร่วมการวิจัยได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กระบวนการผลิต การใช้งาน การจัดการแยกชิ้นส่วนหลังการใช้งาน ล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นส่วนที่เป็นแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า เนื่องจากมีการใช้แร่โลหะหนัก เช่นนิเกิล ทองแดง อะลูมิเนียมฯลฯ เป็นวัตถุดิบในการผลิต


สตรอมแมนแนะแนวทางสำหรับปัญหานี้ว่า ถ้ารถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนโดยพลังงานทางเลือกอื่นๆเช่นลม หรือแสงอาทิตย์ นั้นจึงจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง


เวลาผ่านไปกว่าสามปี หลังจากงานวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง แต่สายการผลิตของรถยนต์ไฟฟ้า เลือกที่จะมองข้ามงานวิจัยนี้ไปและยังคงเดินหน้าต่อไป ด้วยเชื่อกันว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้


รัฐบาลอังกฤษอนุญาติให้ นิสสัน เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รุ่น Leaf ที่เมืองซันเดอร์แลนด์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่อเมริกา ก็เริ่มต้นโครงการ อีวี( Electric Vehicle Project)มีเชฟโรเลตรุ่น Volt และนิสสัน Leaf เข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนอเมริกันหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น


ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์ 28 มิ.ย.-4 ก.ค. 56
สำหรับท่านที่เก่งภาษาสามารถค้นคว่้าเพิ่มเติมได้ตามลิงค์นี้ครับ ส่วนผม มึนตึ้บครับผม http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1530-9290.2012.00532.x/full


คราวหน้าผมจะมีเรื่องราวได้มาฝากคงต้องรอติดตามกันต่อไป สำหรับวันนี้ สวัสดีวันแม่ครับทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จะเป็นไปได้ไหมว่า.....

                                                                           

ผมได้ลองกลับไปอ่านทบทวนงานเขียนของผมเองในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา พบข้อบกพร่องมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นนั่นคือ ความพยายามมากไปที่จะมีงานมาลงให้อ่านอย่างสม่ำเสมอ กล่าวคือไม่มีอะไรจะเขียนแล้วยังจะขืนเขียน เนื้อหาที่ออกมามันเลย ดูลวกๆกลวงๆไม่มีแก่นสารเท่าไหร่นัก คุณผู้อ่านเองคงรู้สึกได้ ซึ่งนั่น ผมเองจะปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ

สำหรับวันนี้ผมมีคำถามที่จะฝากไปถึงผู้อ่านที่รักทุกท่าน ดังหัวข้อที่จั่วไว้ข้างต้น ว่ามันพอจะเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร

จะเป็นไปได้ไหมว่า ประเทศได้จะออกกฏหมายบังคับให้ผู้ประกอบการผู้ผลิตสินค้าและบริการรับผิดชอบต่อสินค้าและบริการนั้นๆเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน

เช่น ถ่านไฟฉาย เมื่อใช้งานไม่ได้แล้ว โรงงานผู้ผลิต จะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้สินค้าใช้แล้วนี้ กลายเป็นขยะพิษที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาจมีแนวทางดังนี้

-มีศูนย์รับคืนสินค้าในทุกอำเภอ แล้วส่งกลับสู่กระบวนการ รียูส รีไซเคิ้ล กำจัด อย่างใดอย่างหนึ่งนอกเหนือจากบริษัทเอกชนที่ประกอบการด้านนี้โดยตรง โดยบริษัทผู้ผลิต จะต้องแบ่งกำไรจากผลประกอบการส่วนหนึ่ง นำมาเพื่อสนับสนุน(เพราะผู้ผลิตสินค้าและบริการ ย่อมทราบดีว่ามีวัสดุหรือสารใดของสินค้าสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรืออย่างน้อยหากเป็นขยะพิษ ก็น่าจะทราบแนวทางในการจัดการขยะเป็นเหล่านั้นได้ดีกว่าปล่อยให้ประชาชนจัดการเองตามมีตามเกิด)

จะเป็นไปได้ไหมว่า ผู้ประกอบการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์จะให้ความสำคัญกับ

-ระบบการจัดการสิ่งปฏิกูลในภาคครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมีเนียมหรือบ้านจัดสรร อาจมีแนวทางดังนี้

ออกกฏหมายให้ผู้ประกอบการ สร้างระบบการจัดการสิ่งปฏิกูล โดยมีแหล่งกักเก็บสิ่งปฏิกูล เศษอาหาร น้ำเสียส่วนกลางจากภาคครัวเรือน หมักเป็นก๊าซชีวภาพเพื่อประยุกต์ใช้เป็นพลังงานในโครงการหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมีเนียมที่พักอาศัยนั้นๆ ก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ

จะเป็นไปได้ไหมว่า ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆทั่วประเทศและที่กำลังจะสร้างขึ้น จะติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ไว้บนหลังคาของห้างหรือโรงงานนั้นๆ เพื่อลดการใช้พลังงงานไฟฟ้าจากส่วนกลาง ในฐานะที่ห้างฯและโรงงานนั้นใช้ทรัพยากรและพลังงานไฟฟ้ามากกว่าภาคครัวเรือน จึงควรมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมโดยลงทุนติดตั้งแผงสร้างพลังงานนี้ไว้ หากเป็นไปได้น่าจะขยายผลไปสู่อาคารสูง หน่วยงานราชการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ฯลฯ

เป็นไปได้ไหมว่า รัฐบาลจะพิจารณาทบทวนงบประมาณในการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ใหม่ โดยเปรียบเทียบกับแนวทางดังต่อไปนี้ ให้มีการศึกษาความคุ้มค่าถ้าหากรัฐจะมีนโยบายจูงใจให้ประชาชนทั่วไปติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่บ้านพักอาศัย โดยรัฐอุดหนุนแบบให้เปล่าครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อหนึ่งครัวเรือน อาจมีระบบผ่อนชำระรายเดือนสำหรับผู้มีรายได้น้อย ให้รัฐแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะทำงาน ในการศึกษางบประมาณการอุดหนุนนี้กับงบฯในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยรวมกรณีศึกษาของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะของญี่ปุ่นมา และการประกาศลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ของประเทศเยอรมันให้เหลือศูนย์ภายในยี่สิบปีประกอบการพิจารณาด้วย

เป็นไปได้ไหมว่า ประเทศไทย จะมีเตาเผาขยะที่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานในทุกๆอำเภอทั่วประเทศ(สนับสนุนกิจกรรมในคำถามแรก)(เห็นเงินบริจาคจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนไทยกรณีเณรคำแล้ว คิดว่าน่าจะหาทุนไม่ยากหากรัฐไม่ยอมหนุน หุๆ)

คุณผู้อ่านคิดว่า สิ่งที่ผมถามไป มันพอมีทางเป็นไปได้ไหมครับ หรือว่ามันช่างเป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย จะอย่างไรก็ตาม

ในทัศนของผม กฏระเบียบ ข้อบังคับ หรือแม้แต่กฏหมายนั้น ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก นอกจากจะไม่ได้รับความร่วมมือ เราอาจจะได้รับผลในทางตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ คนเรามักเป็นอย่างนี้ อย่างที่เขาว่ากัน ผิดถูกรู้หมด แต่อดไม่ได้

ตอนหน้าผมจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในมุมมองที่ต่างออกไปจากที่เราๆท่านๆรู้กัน

จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมตัดสินใจจะทำนาด้วยวิธีหยอดเมล็ด

                                             

น่าอายเหลือเกินครับคุณผู้อ่าน แม้ว่าจะอายแค่ไหน จะถูกด่าประนามอย่างไรหลังจากนี้ ผมก็จะเล่าตามความจริง ดีกว่าโกหกกัน ที่ผมเล่าไปในตอนที่แล้ว ว่าทำโน่นทำนี่ด้วยวิธีการที่คิดไว้แล้วว่าเจ๋งและสดใหม่ว่างั้นเถอะ หลังจากที่โพสเรื่องราวตอนที่แล้ว ฟ้าฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมา ผมแหงนมองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้งในหนึ่งวัน เมื่อฟ้าครึ้ม ผมจะเดินออกไปดูนอกชายคา ผมสังเกตุว่ามันเป็นเมฆฝนที่ผ่านการตกมาจะพื้นที่อื่นแล้วพัดผ่านมาเท่านั้นเอง และเป็นเช่นอยู่ติดต่อกันอีกราวหนึ่งสัปดาห์ มันน่าเจ็บใจไหมละครับ ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้น ผมพยายามติดต่อรถไถนาให้มาปั่นพรวนดินที่ไถไปแล้วครั้งแรก เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการขั้นต่อไป ไม่ว่าจะดำกล้า หรือหยอดเมล็ด ใช้เวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีพื้นที่ทั้งหมดก็ถูกเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ผมเตรียมอุปกาณ์บางอย่าง เพื่อรองรับกับแผนการที่วางไว้ ผมเลื่อยไม้กระดาน ที่มาจากฝาบ้านเก่า ความยาวประมาณเมตรยี่สิบ และความกว้างให้เหลือประมาณสามนิ้ว นำไม่ไผ่มาผ่าให้มีขนาดดังนี้ กว้างประมาณสามเซนติเมตร ยาวประมาณสิบนิ้ว เหลาปลายข้างหนึ่งให้เรียวมนเล็กน้อย ผมใช้ไม้ไผ่แบบที่ว่าหกชิ้น ผมนำมาทาบกับไม้กระดานที่เตรียมไว้ ให้ปลายด้านแหลมยาวโผล่พ้นออกมาประมาณหกเจ็ดนิ้ว แล้วตอกตะปูติดไว้เป็นซี่ๆเว้นระยะห่างเท่าๆกัน ผมจะได้ชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนคราด ฟันห่างพอประมาณ (เป็นระยะห่างคร่าวๆของต้นข้าวแต่ละหลุม)ผมหาไม้หน้าสองยาวประมาณเมตร มาตอกเข้าตรงกึ่งกลางของชิ้นงานนั้นเพื่อเป็นด้ามจับ วิธีใช้งานเราจะใช้ฟันคราดไม้ไผ่นี้ ปักลงในผืนดินที่ร่วนซุยเบาๆ หนึ่งทีได้หกรู ยกมันขึ้น แล้วหยอดเมล็ดข้าวลงไป แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จ แจ๋วไปเลยใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน หุๆ รุ่งเช้าผมจะได้ทดลองใช้งานมันเป็นครั้งแรก

ก่อนหน้านี้ประมาณสองวัน ผมออกหาข้าวพันธุ์เพื่อการนี้ มันหายากมาก ชาวนาส่วนมากไม่เหลือข้าวพันธุ์แล้ว แต่ก็ได้มาหนึ่งกระสอบ หากเป็นนาหว่านต้องใช้มากว่านี้สองถึงสามเท่า แต่เนื่องจากผมจะหยอด ข้าวเพียงหนึ่งกระสอบจึงเหลือเฟือเหลือหลาย และในที่สุดผมก็ต้องหามาเพิ่ม แหะๆเดี๋ยวรู้แน่ว่าเพราะอะไร ไม่เกินความคาดหมายของผู้อ่านหรอกครับ

เช้าของอีกวัน ผมตระเตรียมอุปรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดอันประกอบด้วย เสียมขนาดเล็กด้ามนึง อุปกรณ์ลูกครึ่งระหว่างคราดกับเสียมที่ทำขึ้นเมื่อวาน ถังพลาสติกสำหรับใส่พันธุ์ข้าว กระเป๋าสะพายเก่าๆทิ้งแล้ว(จะเอาไปใส่ข้าวพันธุ์ สะดวกกว่าเมื่อจะหยอดข้าว ดีกว่าหิ้วถังข้าวไปทั้งถัง) เสื้อแขนยาว หมวก น้ำหนึ่งขวด ไม่เตรียมมื้อเที่ยง เพราะอยู่ไม่ไกลบ้านนัก แบ่งข้าวจากกระสอบใส่ถังจนเกือบเต็มเผื่อเอาไว้ ทั้งที่คิดว่าหยอดทั้งวันก็คงไม่หมด กินข้าวเช้าอิ่มแล้วก็บึ่งรถมอเตอร์ไซต์ออกไป มุ่งสู่ท้องทุ่งแห่งความหวัง

ไม่ถึงห้านาที ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย ผมไม่รีรอ แบ่งข้าวใส่กระเป๋าสะพาย สวมเครื่องแบบ หยิบอุปกรณ์ แล้วลงมือทันที ผมลองปักเจ้าลูกครึ่งเสียมกับคราดลงครั้งแรก แล้วยกขึ้นดู รู้สึกจะลึกเกินไปนิด คงเพราะดินที่เพิ่งปั่นมันร่วนมากและยังกะน้ำหนักมือได้ไม่พอดีนัก พอย่อตัวลงจะหยิบข้าวลงหยอดเท่านั้นละ กระเป๋าใส่ข้าวที่สะพายอยู่เกิดเอียงกระเท่เร่เทเมล็ดข้าวส่วนนึงลงไปกองกับพื้นประมาณหนึ่งกำมือ โอ้ เซ็งเลยครับ เสียฤกษ์จริงๆ ต้องเก็บต้องกอบกลับเข้ากระเป๋าเสียเวลาไปเกือบๆห้านาที ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ผมปรับกระเป๋าสะพายใหม่ ระวังไม่ให้ข้าวกระฉอกออกง่ายอย่างเดิม พอจะหยอดทีก็ต้องนั่งยองๆลงทั้งตัว กันไม่ให้กระเป๋าเอียง และไม่ให้ปวดหลังมากไป แล้วดันตัวขึ้น ปักจึกลงไป หกรู นั่งลง หยอดหนึ่งสองสามสี่ห้าหก... สังเกตว่า พื้นนาไม่ได้ราบเรียบเสมอกัน รูที่ได้จึงลึกตื้นไม่เท่ากัน ในใจเริ่มลังเล ตอนนั้นไม่รู้ทำไมถึงไม่มั่นใจอย่างแรง ว่าเจ้าอุปกรณ์ลูกครึ่งนี้ไม่ได้เจ๋งอย่างที่คิดเอาไว้ ผมโยนมันขึ้นไปบนคันนาอย่างไม่ลังเล แล้วเดินไปหยิบเจ้าเสียมน้อยที่เตรียมมาด้วย ให้มาทำหน้าที่แทน ปักปลายเสียมลงทีละแถวละแถว รู้สึกไม่ได้เร็วกว่า เพียงแต่ มันเบากว่า แล้วก็ไม่อยากเดินไปเดินมาเพื่อไปเปลี่ยนอุปกรณ์อีก ก็ใช้เสียมแทนไปเรื่อยๆ พองานเดินหน้าไปประมาณสามสิบเมตร หนูตาลกับปุ้มปุ้ยเดินทางมาสบทบ แต่คงไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากให้กำลังใจ และสร้างความโกลาหล ผมก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆล่วงเข้าชั่วโมงที่สาม ลูกสมุนทั้งสองตัวเริ่มก่อกวน อาจจะหิวหรืออยากกลับบ้านหรือบลาๆๆ ทั้งสองเดินวนเวียนคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลัง หลุมรูที่ปักไว้ก็โดนเหยียบย่ำจนหารูเดิมไม่เจอ เมื่อเห็นท่าไม่ดี เลยพาเจ้าสองตัวนั้นออกมาจากสถานการณ์ ด้วยการพาไปกินน้ำในบ่อปลาใกล้ๆ ขากลับผมไม่ลืมหยิบเจ้าลูกครึ่งติดมือมาด้วย พอกลับมาถึงจุดที่ทำค้างไว้ ก็มองเปรียบเทียบพื้นที่ที่ทำเสร็จกับพื้นที่ที่เหลือ แล้วก็ใจหาย พาลคิดไปว่าหากทำงานด้วยอัตราเร็วเท่านี้ผมคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนแน่ๆกว่าจะทำเสร็จ นึกแล้วก็ท้อ ท้อแล้วก็นึกถึงตอนบอกกับคนอื่นๆว่าจะทำโน่นทำนี่อย่างโน้นอย่างนี้ เฮ้อ ไม่อยากคิดต่อ มันบั่นทอนกำลังใจยิ่งนัก ไม่มีทางเลือก ยังไงๆขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน กลับมาใช้เจ้าลูกครึ่งอีกครั้ง คราวนี้ลองใหม่ คิดว่าคงจะเร็วได้มากขึ้นอีก ปักจึก ๆ ๆ (ช้านิดนึงเพราะต้องกะระยะห่าง)สามทีสิบแปดรู แล้วนั่งลง หยอดๆๆๆๆ....ในความรู้สึกตอนนั้น มันเร็วกว่าใช้เสียมมากๆ(แหงละ)ไม่น่าเสียเวลากับการใช้เสียมเลย ผมเริ่มลุยงานอย่างแข็งขันอีกครั้งนึง ลุกๆนั่งๆอยู่อย่างนั้นทั้งวัน สรุปผมได้พื้นที่งาน3x160เมตรโดยประมาณ เย็นวันนั้นผมไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่ ในใจเริ่มชั่งน้ำหนักระหว่างปริมาณงานกับเวลาที่เสียไป กับการยอมเสียหน้าอีกครั้ง(เสียจนไม่รู้จะหาที่ไหนมาเสีย)เพื่อให้งานเสร็จทันฟ้าฝน เย็นวันนั้นเองพระพิรุณก็พร่างพรมเม็ดฝนลงมาเป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ ไม่ได้ตกหนักอะไรเท่าไหร่นัก ยังนึกโมโห ว่ามาตกอะไรกันป่านนี้ ตอนนี้อยากให้มาไม่มา หลังมื้อเย็นผมกินแคลเซียมเม็ดเพื่อบรรเทาปวดเนื้อตัวที่ต้องปวดแน่ในวันรุ่งขึ้น (เคยกินแคลเซียมเม็ดหลังทำงานหนักใช้แรงเยอะทั้งวันแบบวันนี้ แล้วรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนึกอยู่แล้วว่าไม่น่าจะเกี่ยว)

ผมตื่นขึ้นด้วยอาการปวดเมื่อยอย่างที่คาดไว้ ที่สาหัสมากก็ที่หน้าขา มันตึงจนแทบจะไม่อยากเดินไปไหน เช้าวันนั้นยังคงมีฝนปรอยๆอยู่เป็นระยะๆ ผมได้ข้อสรุปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมต้องยอมถอย เพื่อให้งานเดินหน้า ถึงแม้จะเสียหน้า ว่าแล้วก็พยายามลากสังขารยักแย่ยักยันบากหน้าไปหาพันธุ์ข้าวมาเพิ่มอีกอย่างละกระสอบ จ้าวสอบเหนียวสอบ เหมือนเดิมครับ หายากมากๆๆแต่ก็ได้มาจนได้ หลังจากเสาะหาจนได้สิ่งที่ต้องการ ผมต้องนอนพักรักษาอาการปวดเมื่อยทั้งวัน(หายซ่าไปเลย)ทั้งเจ็บทั้งอายระคนปนเป โอ้วววชีวิตน้อยๆของข้า

อีกวันให้หลัง กระบวนการต่างที่ยังค้างคาก็ถูกสะสางเสร็จสิ้นลงไป โดยมีผมให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แหะๆ แข้งขามันขัดมันข้องไปหมดครับ อย่าว่ากันเลย หากมีใครเห็นผมเดินในสองสามวันนี้อาจสงสัยว่าทำไมผมเดินแปลกๆ ถ้าได้อ่านเรื่องนี้ก็คงหายสงสัยแล้วนะครับ แล้วถ้ามีคนถามว่า ผมเข็ดไหม ตอนนี้ก็ขอเรียนตามตรงว่าเข็ด แต่วันข้างหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ขอพลังจงอยู่คู่กับคุณผู้อ่านทุกท่าน

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำอธิษฐานของเกษตรกรพาร์ทไทม์

คำอธิษฐานของเกษตรกรพาร์ทไทม์

เมเดย์ๆเกษตรกรเรียกฮุสตั้น ขณะนี้บางที่เกิดฝนทิ้งช่วง กล้าข้าวกำลังทยอยแห้งตายอยู่อย่างต่อเนื่อง เราต้องการฝนฉุกเฉินๆๆ...... ผมยืนมองกล้าข้าวในนาอย่างเลือยลอยและสิ้นหวัง ภาพตัวผมกำลังตื่นตระหนก ละล่ำละลักขอความช่วยเหลือผ่านสัญาณดาวเทียม อยู่ในกระสวยอวกาศที่สูญเสียควบคุมและกำลังดิ่งลงพื้นโลกด้วยความเร็วกว่าสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง มันเป็นภาพแบบในหนังฮอลลิวู้ด เสียงพากย์ล้อเลียนโดยพันธมิตร ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ผมเองไม่รู้สึกตลกหรือขำต่อภาพและเสียงในหัวแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้สามสัปดาห์ ฟ้าฝนก็ตกลงมาตามที่มันควรจะมา สัปดาห์ที่สองผมและเกษตรกรคนอื่นๆเริ่มไถ่หว่านกันตามฤดูกาล สัปดาห์ที่สอง กล้าข้าวเริ่มงอกงาม พร้อมกับการจากไปอย่างไม่ใยดีของฟ้าฝน ต้องบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเจอฝนขาดช่วงในเดือนมิถุนาฯในพื้นที่นี้ เคยเห็นในพื้นที่อื่นๆที่ไม่ใช่ที่นี่และเคยเห็นในโทรทัศน์เท่านั้น ไม่นึกและว่าจะได้เจอเป็นประสบการณ์ตรงเช่นนี้ เซ็งชะมัดเลยคุณผู้อ่าน นี่ตั้งใจว่าจะแก้ตัวจากความล้มเหลวเมื่อปีกลาย แต่นี่จะล่ม ทั้งที่เพิ่งจะเริ่ม เฮ้อ เริ่มเข้าใจหัวอกคนทำเกษตรตัวจริงขึ้นมากโข แต่จะกลุ้มไปคงไม่มีประโยชน์อันใด ต้องเข้าใจว่า ฟ้าฝนนี่มันอยู่นอกเหนือความควบคุม ความมุ่งหวังตั้งใจของเราจริงๆ

ผมคิดอยู่สองสามวันมาแล้วว่าจะจัดการอย่างไรดี ผมได้ข้อสรุปในใจแล้ว ผมต้องยืดหยุ่นต่อแผนที่วางไว้มากซักหน่อย จากที่ตั้งใจจะทำนาดำ เพื่อหวังผลผลิตสูงสุด พร้อมลดต้นทุนด้วยการเตรียมปุ๋ยน้ำชีวภาพไว้คอยท่าพร้อมสรรพ แต่ในเมื่อข้าวกล้าที่ลงไว้ใกล้จะตายเพราะฝนทิ้งช่วงอยู่มะรอมมะร่อ ผมจะใช้วิธีการหยอดเมล็ดอีกครั้งหนึ่ง หุๆ คงจะไม่ใช้เครื่องหยอดอย่างที่เคยใช้หรอกครับ เพราะเข็ดแล้ว แหะๆ เค้าว่า ช่วงที่พื้นนากำลังแห้งหมาดนี่แหละ กำลังเหมาะที่จะหว่าน เค้าว่าข้าวมันจะงอกดีกับสภาพดินและอากาศประมาณนี่ แต่ผมไม่เชื่อเค้าหรอก ผมจึงต้องลองพิสูจน์ไงครับ ผมเลือกที่จะหยอดทีละหลุมแทนการหว่าน หยอดทีละหลุมๆ ไป หนึ่งหลุมใช้พันธุ์ข้าวมากสุดสามเมล็ด เราจะประหยัดพันธุ์ข้าวได้เยอะกว่านาหว่านหลายเท่า(ซึ่งนิยมกันมากในปัจจุบัน) ลดขั้นตอนการถอนกล้าแล้วปักดำ ซึ่งมืออาชีพหลายท่านเตือนด้วนความหวังดีว่า มันเป็นขั้นตอนที่แสนเหนื่อยสาหัสสากรรนัก ปีที่แล้วใช้เครื่องหยอดแบบลาก เมล็ดข้าวหล่นลงผิวดิน โดยไม่มีการกลบดิน ส่วนหนึ่งจึงกลายเป็นอาหารของนกบ้าง หนูบ้าง พื้นที่ที่ข้าวหายไปจึงเต็มไปด้วยหญ้าแทนต้นข้าว แต่ครั้งนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้อผิดพลาดต่างๆจะได้รับการแก้ไข และเมื่อวานนี้ผมยังได้ดูวิธีการปลูกข้าวของคนดอยในรายการโทรทัศน์ช่องนึงอีกด้วย ทั้งวิธีการและแนวคิด เหมือนกับที่ผมคิดไว้ยังไงยังงั้นเลย อีกอย่างผมยังมั่นใจว่าในที่สุด ฝนห่าใหญ่ในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล จะโปรยปรายลงมาอย่างเหลือล้น รับการงอกงามของข้าวกล้ารุ่นที่สองนี้อย่างพอเหมาะพอดี ผมเชื่ออย่างนั้น และผมจะอธิษฐาน ในฐานะของเกษตรกรพาร์ทไทม์ คนนึง

ผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนทวยเทพผู้มีอำนาจทั้งปวง จงดลบันดาลให้ฟ้าฝนตกลงมาเหมือนอย่างที่เคย นั่นคงไม่มากไป สำหรับผู้คนอีกมากมายที่จะต้องเดือดร้อน หากว่าฝนฟ้ายังไม่เป็นใจเช่นนี้

ชีวิตช่วงนี้ของผมสอนให้ผมรู้ว่า ต่อให้มีองค์ความรู้แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ ถ้าหากฝนทิ้งช่วง




วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความสุกกับความสุข




เข้าเดือนมิถุนายนได้สิบวันแล้ว ฟ้าฝนที่เคยกระหน่ำดังฟ้ารั่วในช่วงนี้ของปีที่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลยในปีนี้ ตั้งแต่ปลายเมษายน ผมนับฝนได้ไม่เกินสิบห่าใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับทุกปีในพื้นที่และช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อสังเกตในท้องทุ่งนา ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น พื้นที่ใกล้เคียงซึ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบกิโลฯ ท้องทุ่งกลับเต็มปรี่ไปด้วยน้ำอันเนืองนอง ลำห้วยล้นทะลักขึ้นท่วมขอบตลิ่ง แหม ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะพระพิรุณเอ๋ย ยิ่งเห็นข่าวน้ำท่วมยุโรป ยิ่งพาลแน่ใจเข้าไปใหญ่ ว่าที่แถวบ้านผมฝนฟ้าไม่ค่อยตกเนี่ย คงเป็นเพราะโดนลมหอบไปตกที่ยุโรปจนหมดนี่เอง แต่ลึกๆก็ยังหวังว่าจะมีเซอร์ไพรซในช่วงที่เหลือของฤดูฝนนี้


การที่ผมห่างหายไปจากการขีดเขียน นั้นก็เพราะปัญหาเดิมๆที่เคยบอกไป นั้นคือไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ที่อ่านแล้วมีประโยชน์มากกว่าตั้งหน้าตั้งตาเขียนไป แต่ไร้สาระหาแก่นสารใดๆมิได้เลย(ซึ่งก็มีบ้างเล็กน้อย อิๆ)ในใจก็คิดอยู่ตลอด ว่าจะเขียนเรื่องราวอันใดดี ที่คนเขียนเขียนแล้วรู้สึกดี แล้วคนอ่านก็น่าที่จะรู้สึกดีด้วย เวลาล่วงเลยผ่านไป ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านตามปกติ ซึ่งขณะนั้นเองเป็นรายการอาหารที่กำลังออกอากาศ ผมชมรายการด้วยความเพลิดเพลิน ผู้ดำเนินรายการ ได้พูดถึงการย่างสเต็ก เคล็ดลับในการย่าง ว่าทำอย่างไรให้ได้ความสุกอย่างที่ต้องการ ความสุก คำๆนี้มาสะดุดใจผม ผู้ดำเนินรายการบรรยายวิธีการทำสเต็กไปเรื่อยๆ เขาได้พูดถึงความพึงพอใจของคนกินสเต็กว่าไม่เหมือนกัน บางคนชอบสุกมาก บางคนชอบสุกปานกลาง บางคนชอบดิบๆหน่อย คนทำอาหารจึงต้องคำนึงถึงคนกินเป็นหลัก ตอนนั้นเองสมองผมนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องนึง ซึ่งพูดถึงอูด้งเป็นแกนหลักของเรื่อง ใครที่เป็นคอหนังคงคุ้นๆบ้างนะครับ พระเอกเป็นลูกของคนขายอูด้ง มีความฝันอยากจะเป็นนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียง(ตลกที่ว่านี้ในเรื่องเป็นแบบคุณโน๊ตอุดมครับ เป็นแบบแสตนด์อัพคอมาดี้) ซึ่งแกเคยเข้าไปแสวงโชคในโตเกียว แต่ก็ล้มเหลว จึงซมวานกลับบ้านมา ซึ่งตอนนั้นเองพ่อพระเอกก็ดันมาตายด้วย พอกลับมาอยู่บ้านก็ไม่มีไรทำ เลยหัดทำอูด้งมันซะเลยดีกว่าอยู่เปล่าๆ ที่ผมนึกถึงนั้นเป็นฉากนึงในหนัง ตอนที่พระเอกกับพี่เขยหัดทำอูด้งจนทำรสชาดได้เหมือนกับตอนที่พ่อพระเอกทำ พอทำได้จึงตักใส่ชามแล้วเอาไปตั้งเซ่นไหว้หน้ารูปศพพ่อพระเอก ซึ่งครบรอบสี่สิบเก้าวันพอดี(ความเชื่อของคนญี่ปุ่น คนที่ตายไปวิญาณจะยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์อีกสี่สิบเก้าวัน เพื่อให้วิญาณได้มีเวลาล่ำลาหรือทำอะไรก็ตามเพื่อที่เวลาจากไปจะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และผู้ตายเอง ให้เวลาทำใจว่างั้นเถอะ)เมื่อพระเอกวางชามอูด้งไว้ที่หน้ารูปถ่ายพ่อเสร็จแล้ว ก็หมดแรงข้าวต้ม ทิ้งตัวลงนอนหลับลงตรงนั้นเอง ซักพัก วิญญาณพ่อพระเอกก็เข้ามากินอูด้งที่ตั้งเอาไว้ให้ พระเอกของเราตื่นขึ้นมาพอดี พ่อพระเอกบอกว่า ที่บ้านนอกนี้ไม่มีอนาคต มีแต่อูด้ง  อยากให้พระเอกไปทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องมาดักดานทำอูด้งอยู่ที่บ้านนอกนี้ แกบอกพระเอกอีกว่าการทำให้ทุกคนมีความสุขนั้นไม่ยากเลย แค่ทำอูด้งอร่อยๆให้กินซะก็สิ้นเรื่อง ผมชอบประโยคหลังนี่ มันรู้สึกสมเหตุสมผลและไม่สมเหตุสมผลในเวลาเดียวกัน ซื่อๆแต่โดนใจซะมัด ที่ประทับใจมากๆเป็นตอนใกล้จบ พระเอกทำอูด้งไปแจกเด็กๆในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งตอนพ่อพระเอกยังไม่ตายก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆเรียกว่าคนกี่รุ่นๆในหมู่บ้านต้องเคยกินอูด้งของพ่อพระเอกมาแล้วทั้งนั้น


หนังให้เห็นภาพเด็กกินอูด้งอย่างเอร็ดอร่อย เด็กๆยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข วิญญาณพ่อพระเอกยืนดูภาพนั้นอยู่อีกมุมหนึ่ง แกยิ้มเปี่ยมสุขน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา พระเอกก็น้ำตาไหล (ผมเองก็เกือบๆหุๆ)แกหันมาแล้วบอกขอบคุณพระเอก แล้วเดินจากไป คงไปสู่สุขคติ เพราะดูแล้วคนอย่างแกไม่น่าจะตกนรกนะ เอิ๊กๆๆๆ

สติผมกลับคืนสู่ร่างเดิมหน้าจอทีวี ผมคิดในใจ ว่าผมจะต้องพูดถึงเรื่องนี้หน่อยในงานเขียนชิ้นต่อไป ก็คือชิ้นที่ผู้อ่านๆอยู่นี่ละครับ ผู้ดำเนินรายการ ชิมสเต็กซี่โครงหมูนั่นอย่างเอร็ดอร่อย ผมนึกถึงความสุกของสเต็กแล้วพาลไปนึกถึงความสุขในหนังญี่ปุ่นนั้นได้ยังไง คิดแล้วงง ผมเห็นความสอดคล้องกันอย่างหนึ่งระหว่างความสุกกับความสุข คือไม่ว่าจะความสุกหรือความสุขทั้งสองอย่างมันอยู่ที่ใครจะนิยามค่อนข้างเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล สเต็กจะสุกมากน้อยก็แล้วแต่คนชอบ ความพอดีของคนก็ต่างกันอีก บางคนบอกสุกเท่านี้จึงจะพอดี บางคนบอกไม่ มันต้องสุกกว่านี้ต่างหากถึงจะพอดี แหม ก็ว่ากันไป ส่วนความสุขไม่ว่าจะมีรูปแบบอย่างไรแต่เราก็เรียกมันว่าความสุขอยู่ดี ซึ่งมันก็แล้วแต่บุคคลอีกนั่นแหละ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวในทางโลก แต่ในอีกมุมมองทางจิตวิญาณศาสนาหรือทางธรรม ก็มักจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ซึ่งไม่ต้องนิยามอะไรให้มากมาย ไม่ต้องไปค้นหาให้วุ่นวาย นั่นคือ สงบ คือสุข ซึ่งผมเองเห็นด้วยโดยดุษฎี ฟังดูไม่ยาก แต่ก็ทำไม่ง่าย

หวังว่างานชิ้นนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง

พบกันใหม่เมื่อผมมีเรื่องราวเข้าท่าๆมานำเสนอ

คงไม่นานเกินรอ

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้าเยี่ยมชมบล็อคนี้

            ผมต้องแปลกใจ เมื่อได้ดูสถิติผู้เข้าเยี่ยมชมบล็อค จากที่โพสเองอ่านเองมาเป็นเวลากว่าสองปี มารู้ตัวอีกทีตอนที่มียอดผู้เข้าเยี่ยมชมอยู่ที่ยอด เจ็ดพันสามร้อยกว่าๆ ซึ่งนั่นก็ผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว ความรู้สึกแรกของผม คือแปลกใจ ต่อมาคือช็อคกับตัวเลขที่ว่านั่น ทำอะไรไม่ถูก เรื่องที่จะเขียนก็ไม่มี เห็นตัวเลขนั้นก็ชื่นใจ ปลื้มใจว่ามาคนเข้ามาอ่าน ลนลานอยู่นาน จึงคิดว่า น่าจะพูดถึงเรื่องที่เกิดนี้สักหน่อย
            ปกติแล้ว ผมไม่ได้ดูตัวเลขนี้เลย เพราะอย่างที่บอกไปในเบื้องต้น คืออ่านเองโพสเองมาตลอด ขอให้เพื่อนมาอ่านมาคอมเม้นต์บ้าง มันก็อาจจะอ่าน แต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นหรือมีปฏิกิริยาใดๆในนี้เลย ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะงานเขียนของผมนี้ไม่ได้จัดว่าดีเลิศเลอถึงขั้นนั้น บางคนบอกว่ามันเหมือนไดอารี่ ที่ควรเก็บไว้อ่านเอง บางคนบอกว่าผมเลียนแบบคุณโน้ตอุดม(ตรงไหนวะ เอิ้กๆๆ) ผู้ใหญ่บางคนบอกควรใส่ใจรายละเอียดเรื่องพยัญชนะ สระ ตัวสะกด เว้นวรรค ย่อหน้าให้ถูกต้อง ผมขอน้อมรับทุกความคิดเห็น และผมสังหรณ์ใจว่าผู้ใหญ่ท่านนี้เองอาจเป็นผู้ชักชวนผู้อ่านจำนวนมากมายเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของผมนี้ และถ้าเป็นจริงดังนั้น ก็ต้องขอกราบขอบพระคุณจากก้นบึ้งของหัวใจเลยครับ(น่าแปลกใจที่ผมพยายามติดต่อผู้ใหญ่ท่านนี้ แต่ติดต่อไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้ท่านขุ่นข้องหมองใจรึเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องกราบขอประทานอภัยท่าน มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ)
            นี่ เป็นสิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า เมื่อเรารักที่จะทำสิ่งใด ให้เวลากับกับสิ่งนั่นมากพอ จริงใจกับสิ่งที่ทำ แล้ววันหนึ่ง จะมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ เหมือนกับที่ผู้อ่านทุกท่านได้เข้ามาเยี่ยนชมบล็อคบ้านๆบล็อคนี้ ผมดีใจมากครับ แต่ผมจะไม่เหลิง ไม่ทะนงตนกับความสำเร็จเล็กๆนี้ ผมจะพยายามสร้างงานเขียนต่อไป ตราบที่ยังมีลมหายใจ แม้ว่าช่วงหลังๆผมจะมีเรื่องที่จะถ่ายทอดน้อยกว่าที่เคยทำมา แต่ก็ยังยืนยันว่า จะยังคงเขียนต่อไป แม้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านแล้วเบื่อไม่อยากอ่านอีกต่อไปก็ตาม ขอฝากไปถึงผู้อ่านคนใดก็ตามที่มีอะไรที่อยากจะทำแล้วยังไม่ได้ทำ ให้เริ่มลงมือทำซะนะครับ ผมคนนึง จะเป็นกำลังใจให้ครับ สักวันคุณอาจจะได้รับความรู้สึกปิติยินดีจากสิ่งที่คุณได้ลงมือทำ อย่างที่ผมรู้สึกในตอนนี้ก็ได้
ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง แล้วผมจะกลับมาใหม่ อย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีคะ หนูชื่อตาลคะ


                                                                             
              สวัสดีค่ะ หนูชื่อตาล หนูเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์อายุสองขวบกว่าๆ หนูอาศัยอยู่กับเจ้านาย ที่หมู่บ้านในชนบทแห่งนึง หนูมีเพื่อนสุนัขอีกตัวนึงด้วยค่ะ อายุมากกว่าตาลหนึ่งปี ชื่อพี่ปุ้มปุ้ย พี่ปุ้มปุ้ยเป็นสุนัขพันธุ์ทางลักษณะดี ลายขาวน้ำตาล เจ้านายบอกว่า เมื่อตอนพี่ปุ้มปุ้ยเกิดใหม่ๆพี่ปุ้มปุ้ยตัวอ้วนปุ๊กลุกมากกว่าพี่น้องตัวอื่นๆมาก แต่พอโตขึ้น กลับตัวผอมเพรียวยังกะนางแบบเลย อิๆ มองกลายๆพี่ปุ้มปุ้ยเหมือนสุนัขพันธุ์บางแก้วมากๆเลยคะ พี่เค้าชอบรังแกหนู ตอนที่หนูย้ายมาอยู่ใหม่ๆ ถึงตัวหนูจะใหญ่กว่ากว่าพี่เค้ามาก แต่หนูก็กลัวพี่เค้าอยู่ดีเพราะพี่เค้ามักจะขู่คำรามแยกเขี้ยวข่มขวัญหนูตลอด อีกอย่างหนูไม่เคยกัดกับกับใครตั้งแต่เกิดมา เลยกลัวไปหมด  พออยู่นานๆเข้าแกก็หาเรื่องกัดหนูเป็นประจำ ทุกวันนี้ ตัวทั้งตัวหนู เต็มไปด้วยรอยแผลจากคมเขี้ยวของพี่ปุ้มปุ้ย รวมถึงริมฝีปากของหนูที่ห้อยย้อยอยู่ข้างเดียว ก็เป็นเพราะโดนพี่เค้ากัดนี่แหละค่ะ เจ้านายบอกว่า ก่อนที่หนูจะมาอยู่บ้านหลังนี้ พี่ปุ้มปุ้ยเค้าคือขวัญใจหนึ่งเดียวของบ้านนี้ ได้รับความเอ็นดูจากเจ้านายทุกๆคนเป็นอย่างดี เพราะว่านอนสอนง่าย ขี้อ้อนมากๆ แต่พอหนูมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พี่ปุ้มปุ้ยกลายเป็นสุนัขเจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉา แกจะแสดงอาการก้าวร้าวทุกครั้งที่เจ้านายให้ความสนใจในตัวหนู  พี่เค้าจะหวงสมาชิกทุกคนๆในบ้าน  ใหม่ๆหนูไม่กล้าสู้แกหรอก ทำให้แกได้ใจรังแกหนูอยู่เรื่อยๆ พักหลังนี้ไม่ไหวค่ะ หนูต้องสู้เพื่อไม่ให้แกทำหนูอยู่ฝ่ายเดียว แถมเจ้านายทุกคนก็เข้าข้างด้วยค่ะ อิๆ เดี๋ยวนี้พี่ปุ้มปุ้ยเองก็ได้รอยเขี้ยวจากหนูไปประดับร่างกายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ฮึ ให้มันรู้ซะบ้าง หนูก็สู้คนนะ เอ้ย สู้หมานะ


              ประมาณสองปีก่อนเจ้านายเดิมหนูนั้นแกซื้อหนูมาเลี้ยงดู เจ้านายผู้ชายย่างไก่ขายตอนเช้าๆค่ะ เป็นไก่พันธุ์เนื้อที่ซื้อมาจากตลาด อาหารของหนูจึงมักจะเป็นคอไก่ย่างที่เจ้านายเก็บไว้ให้ มันทำให้หนูโตเร็วมากแล้วก็อ้วนมากเลยค่ะ อิๆ แทบไม่รู้จักอาหารเม็ดเลย มาได้กินครั้งแรกก็เป็นเพราะเจ้านายอีกบ้านซื้อมาให้ลองกินเพราะความเอ็นดู ออ เพราะว่าเจ้านายผู้หญิงของหนูแกต้องย้ายไปประจำอยู่จังหวัดแถวภาคใต้ซึ่งไกลจากที่นี่มากๆ เลยต้องฝากหนูมาเลี้ยงที่นี่ค่ะ แต่จริงๆก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านพ่อแม่ของเจ้านายเก่าค่ะ เวลาไปไหนมาไหน เจ้านายเก่าจะพาหนูใส่ท้ายรถกระบะไปด้วยบ่อยๆ ซึ่งหนูชอบมาก ลมมันเย็นดี ก็เลยมีโอกาสท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆและแวะเวียนมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกันกับเจ้านายใหม่อยู่บ้างพอสมควร พี่ปุ้มปุ้ยก็คงหมั่นไส้หนูมาตั้งแต่กระนั้นกระมังคะ เพราะแวะมาที่ไร ทุกคนก็จะมารุมล้อมทักทายลูบเนื้อลูบตัว หาของอร่อยๆมาให้หนูกินตลอดเลยละ หุๆ


               ถึงหนูจะแค่สองขวบ แต่หนูก็เคยมาลูกมาแล้วครอกนึงเมื่อปีที่แล้วนะคะ  พ่อของเด็กก็เป็นสุนัขบ้านๆแถวบ้านของเจ้านายเก่าแหละค่ะ แหม มีหนุ่มๆเข้ามาเสนอตัวกับหนูเยอะแยะเชียวนะจะบอกให้ เจ้านายเก่าน่ะไม่ชอบเท่าไหร่หรอก เลยพาไปผสมกับสุนัขพันธุ์เดียวกันในตัวเมืองกันเอาไว้ แต่ไม่ติดลูกเลย ไม่รู้ทำไม ดันมาติดลูกกับสุนัขพันธุ์ทางแถวบ้านนี้เอง อิๆ ทำไงได้ละค่ะ ก็มันเป็นธรรมชาติแล้วเราก็รักกันด้วย ความรักนี่มันเอาชนะเรื่องเผ่าพันธุ์ลงอย่างราบคาบเลย ไม่รู้ว่าคนจะเป็นอย่างพวกเรารึเปล่า ส่วนลูกๆครอกนั้น เจ้านายก็แจกชาวบ้านไปหมดเลยค่ะ หนูก็ไม่อยากให้เจ้านายเอาลูกๆหนูไปแจกใครหรอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ พวกเจ้านายก็บ่นๆว่าหนูไม่รักดี ซึ่งหนูก็ไม่เข้าใจหรอก มาอยู่ที่นี่ไม่นานก็มีหนุ่มๆมาเสนอตัวอีกละค่ะ แต่หนูก็ไม่ได้สนใจตัวไหนเป็นพิเศษเลย อาจเพราะหนูยังคงทำใจกับเรื่องที่ต้องจากลูกๆและพ่อของพวกเขาไม่ได้กระมังคะ


                 เจ้านายใหม่ชอบพาหนูออกไปวิ่งเล่นตอนเย็นๆคะ แรกๆหนูไม่เข้าใจว่าแกเรียกให้หนูวิ่งตามแกขี่จักรยานทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน แต่ก็ไปคะเพราะหนูเองก็ชอบวิ่งเล่นอยู่แต่เดิม เพราะบ้านเจ้านายเก่ามีบริเวณบ้านกว้างขวางและเป็นส่วนตัวมากๆ หนูจึงวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในนั้น มาอยู่ที่นี่หนูไม่กล้าออกไปวิ่งเล่นตามลำพังเท่าไหร่ เวลาจะออกไปไหนก็ต้องรอตามเจ้านายเดินไปซื้อของ ซึ่งก็ไปไม่ไกลจากบ้านนักหรอก กลัวสุนัขเจ้าถิ่นด้วยแหละ ซึ่งมีเยอะมากเลยค่ะ อีกทั้งบริเวณบ้านยังคับแคบต่างจากบ้านเดิมลิบลับเลยค่ะ วันๆต้องนอนเฉยๆทั้งวัน ทำให้หนูอึดอัดมากๆ การได้ตามเจ้านายออกไปวิ่งเล่น จึงเป็นกิจกรรมที่ไม่เลวเลยสำหรับหนู หนูวิ่งอย่างงี้มาหลายเดือนแล้ว ทำให้หนูผอมลงพอสมควร เจ้านายก็ชมว่าเก่ง เดินเหินลุกนั่งก็คล่องกว่าแต่ก่อน  ไม่เบื่ออาหารเหมือนตอนไม่ได้ออกไปวิ่งเล่น แถมสนุกเพลิดเพลินไปกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆด้วย ต้องขอบคุณเจ้านายใหม่ของหนู ที่ชวนหนูออกไปวิ่งด้วยจริงๆคะ

 พี่ปุ้มป้ย


                สำหรับวันนี้หนูต้องขอตัวก่อนคะ วันหลังหนูจะหาโอกาสถอดจิตมาสิงเจ้านาย ให้มาเขียนเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังอีก อิๆฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ และขอบคุณที่อ่านเรื่องของตาลนะคะ

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความหลังเมื่อครั้งเก่า


บางเรื่องราวก็น่าประทับใจเกินกว่าจะเก็บไว้ชื่นชมเพียงลำพัง

สำหรับบางคน เรื่องราวต่อไปนี้ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมาในชีวิตแล้วผ่านไป ขอให้ผู้อ่านลองมองดูเหตุการณ์ผ่านตัวอักษรที่ผมพยายามอย่างยิ่ง ที่จะร้อยเรียงขึ้นจากความทรงจำในวันนั้น ให้จบก่อน แล้วไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของผู้อ่านเอง ว่าเรื่องราวต่อจากนี้ สมควรได้รับการเผยแพร่ออกไปให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้หรือเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล มีไว้อ่านเพื่อความบันเทิงก็พอ อย่างไรก็ตาม ผมต้องการบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่า สิ่งดีๆเรื่องราวดีๆนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ ตราบเท่าที่มนุษย์รู้จักให้คุณค่าความสำคัญกับอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ตัวเราเอง และทุกครั้งที่นึกถึง มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีๆเสมอ
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงมีโอกาสได้ชมภาพประทับใจภาพหนึ่ง  ที่เคยเป็นประเด็น ที่ผู้คนมากมายกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางในโลกอินเตอร์เน็ต  ลุกลามมาถึงสื่อกระแสหลักอย่างสื่อโทรทัศน์ เป็นภาพของนักเรียนช่างกล(ในสื่อระบุอย่างนั้น)ช่วยกันเข็นรถโดยสารประจำทางสายหนึ่ง ที่จอดเสียอยู่กลางถนน ท่ามกลางแดดจ้าและการจราจลที่ติดขัดของเมืองกรุง สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ต่อจากนี้ เป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันมากเหลือเกิน เพียงแต่เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อน และมีลายละเอียดต่างออกไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง
บ่ายวันหนึ่งของฤดูร้อนปี2551ผมเดินทางกลับจากทำธุระ โดยรถโดยสารร่วมประจำทางมินิบัสสีเขียวสาย71
ผู้โดยสารบนรถคันนั้นไม่แออัดมากนัก ทุกที่นั่งเต็ม มีผู้โดยสารยืนประมาณสี่ห้าคน ผมได้มีโอกาสนั่งที่เบาะหลังสุดตรงกลางพอดี พัดลมเพดานนั้นได้ไม่เสีย เพียงแต่มันไม่อาจส่ายหน้าไปทางไหนได้อย่างที่ควรจะเป็น ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมรับอานิสงฆ์จากพัดลมพิการนั้นไปเต็มๆ ขณะที่ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อเหนียวเหนอะหนะ  กลิ่นควันจากท่อไอเสียตลบอบอวนทุกครั้งที่รถจอดติดเป็นเวลานาน แม้จะพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมานาน เดินทางด้วยรถเมล์ร้อนแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ทำให้ผมรู้สึกชินชาแต่อย่างใด ยิ่งทำให้ผมเบื่อหน่าย หงุดหงิดรำคาญแบบนี้ทุกครั้งไป ทำไงได้ล่ะ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ความร้อนอบอ้าวทำเอาผมเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ เริ่มรำคาญผู้โดยสารสองคนที่นั่งติดกัน แขนทั้งซ้ายขวาวางแปะไปกับแขนของคนทั้งสอง เหงื่อเหนียวๆทำให้ผมต้องเอาแขนเช็ดกับขากางเกงอยู่บ่อยครั้ง แถมผู้โดยสารด้านขวามือดันหลับสัปหงก เอาหัวมาชนไหล่ผมอยู่เนืองๆ ด้านขวามือผู้โดยชายยืนบังหน้าต่างอยู่  แกคงร้อนและอยากให้ลมข้างนอกพัดผ่านตัวบ้างเมื่อรถเคลื่อนตัว แต่แกคงลืมว่าคนอื่นในรถก็เหมือนแกนั่นแหละ ด้าน ซ้ายมีอีกคนยืนขวางประตูหลังอยู่เช่นกัน ใจนึกอยากจะถีบหมอนี่ออกไปให้พ้นประตูซะ ลมจะได้พัดเข้ามาให้ชื่นใจบ้าง  จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความอัตคัด ขัดใจไปซะหมด ส่วนไอ้หนุ่มวัยรุ่นที่นั่งเบาะหน้าประตูหลัง ก็คุยโทรศัพท์เสียงดังโขมงโฉงเฉงน่ารำคาญนัก  ขณะที่ผมกำลังหงุดหงิดคิดโทษดินโทษฟ้าด่าชาวบ้านในใจนั่นเอง เจ้ามินิบัสก็เคลื่อนตัวผ่านแยกไฟแดงพระรามเก้าเข้าสู่ย่านรามคำแหง ลมเอื่อยๆผสมกลิ่นควันพัดผ่านผิวที่ชื้นด้วยเหงื่อ ความเย็นทำให้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน  ข้ามแยกมาไม่ถึงป้ายแรกด้วยซ้ำ จู่ๆเครื่องยนต์ก็ดับลง พร้อมกับตัวรถที่หยุดการเคลื่อนตัวกระทันหัน  ผู้โดยสารหลายคนหัวคะมำไปข้างหน้า ที่ยืนอยู่ก็เทตัวไปติดเบาะกันหมด รวมทั้งผมด้วย ชายสัปหงกที่นั่งข้างๆตกใจตื่น มองซ้ายมองขวาหน้าตาเลิกลัก ส่งสายตามาที่ผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น มินิบัสจอดสงบนิ่งอยู่บนถนนเลนส์กลาง รามคำแหงขาออก ตรงทางขึ้นทางยกระดับพอดิบพอดี ในขณะที่ไฟเขียวยังปล่อยรถตามมาจากด้านหลังอยู่เรื่อยๆ รถที่อยู่เลนส์ซ้ายและขวาก็พยายามเคลื่อนไป ส่วนเลนส์กลางที่ตามหลังมินบัสมา ก็ติดแหงกอยู่ตรงนั้น จะออกซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ คนขับมินิบัสพยายามสตาร์ทอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะติด จนต้องร้องตะโกนให้ผู้โดยสารลงไปช่วยเข็น ไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง ผู้โดยสารทั้งชายหญิงกรูลงจากรถ ผู้หญิงก็วิ่งเข้าฟุตบาทข้างทางส่วนผู้ชายมารวมกันที่ท้ายรถ ทั้งหมดช่วยกันเข็น ช่วยกันดันให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ รถค่อยๆเคลื่อนตัวเร็วขึ้น คนขับรอจังหวะให้รถเคลื่อนตัวให้ความเร็วได้ระดับ แล้วหักพวงมาลัยพยายามเบียดเข้าเลนส์ซ้ายพร้อมกับเข้าเกียร์แล้วปล่อยคลัช เสียงกระทบเสียดสีกันของเฟื่องเกียร์ดังขึ้นหนึ่งครา มินิบัสกระตุกกึกๆๆๆเสียงเครื่องยนต์ก็คำรามขึ้นอีกครั้ง คนขับเร่งเครื่องยนต์ซ้ำๆเสียงดังสนั่น ควันดำก้อนใหญ่ถูกพ่นออกมาจากท่อไอเสีย บนฟุตบาทผมได้ยินผู้โดยสารหญิงบางคนปรบมือด้วยความปิติยินดี  พวกเราเองบางคนที่ลงไปเข็นรถก็ปรบมือดีใจกะเค้าด้วย ผู้โดยสารทั้งหมดกรูกลับขึ้นไปบนรถอีกครั้ง ทุกคนหอบเหนื่อย แต่ก็มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม อิ่มเอม คนขับเอ่ยขอบคุณผู้โดยสารด้วยน้ำใสใจจริงอย่างไม่ขาดปาก  เหตุการณ์ที่รถดับแล้วกลับมาคืนชีพใหม่อีกครั้งกินเวลาไม่ถึงสองนาที ช่วงเวลาสั้นๆที่เปี่ยมไปด้วยพลังสามัคคี ร่วมมือร่วมใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนตัวผม ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น และดีใจที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นที่อยู่บนท้องถนนเดือดร้อนหนักมากไปกว่ารถติดตามปกติ  บอกตรงๆว่าผมไม่คิดว่ามินิบัสคันนี้มันจะกลับมาวิ่งได้ในเวลาอันสั้นแบบนั้น ฟ้ามืดลงตั้งแต่ก่อนมาถึงแยกนานแล้ว ช่วงเวลาประมาณทุ่มยาวไปจนถึงดึก เป็นที่รู้กันว่าเส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น รถติดมหาโหดขนาดไหน แต่ค่ำวันนั้น หลังจากเรากลับขึ้นรถ ดูเหมือนพระเจ้ามองเห็นว่าพวกเราได้ทำอะไรไป การเคลื่อนตัวจากหน้าเดอะมอลล์รามฯไปจนถึงแยกลำสาลี(ที่ผมต้องลง)นั้นเป็นไปด้วยความลื่นไหลอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน  เหงื่อชุ่มๆเหือดแห้งไปพร้อมกลับลมเอื่อยๆเมื่อมินิบัสเคลื่อนไปข้างหน้า ผู้โดยสารหลายคนทยอยลงตรงเดอะมอลล์บ้าง บิ๊กซีบ้าง เชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ที่นั่นวันนั้น คงลืมเลือนมันไปบ้างตามกาลเวลา แปลกที่ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าผู้โดยสารคนอื่นๆเป็นเพียงคนแปลกหน้าธรรมดาๆที่ผ่านมาขึ้นรถคันเดียวกัน แล้วก็คงจบจากกันไป ไม่มีความหมายใดๆ  ทั้งสิ้น เหมือนทุกๆครั้ง  แต่หลังจากนี้ พวกเขาจะไม่ธรรมดาอีกแล้วสำหรับผม ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอกันหรือจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เลย ผมกลับถึงที่พักด้วยหัวใจที่พองโตอิ่มเอม นานเท่าไหร่ตั้งแต่มาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ที่ไม่ได้รู้สึกดีๆเช่นนี้
ภาพนักเรียนช่างกลช่วยกันเข็นรถโดยสารฯที่ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง จึงไม่เป็นเพียงภาพประทับใจอย่างที่คนทั่วไปรู้สึก สำหรับผม มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก อาจเพราะผมได้เคยประสบเหตุการณ์แบบนั้นมาด้วยตัวเองก็เป็นได้  

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดิน น้ำ ลมไฟ กับประสบการณ์เฉียดตายเมื่อผมเผาตอซังข้าว



                         
วันนี้ผมตัดสินใจเผาตอซังข้าวในที่นาที่เต็มไปด้วยหญ้ารกทึบ  แม้จะใช้เวลาทำแนวกันไฟเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ แล้วแต่ก็ยังทำไม่เสร็จ อาจต้องทำต่อไปอีกวันหรือสองวัน จึงจะเสร็จสมบูรณ์ การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมปฏิบัติการอันอุกอาจเช่นนี้ หลายครั้งที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้เตรียมแนวกันไฟที่รัดกุมเช่นนี้มาก่อนเลย การเผาที่ผ่านมาจึงจบลงด้วยการระดมชาวบ้านมาช่วยกันดับไฟกันอย่างโกลาหล แต่คราวนี้ ผมมั่นใจว่า เอาอยู่(ไม่เข็ดหลาบ)
 ผมใช้เวลาในทุกๆเย็นประมาณสองหรืออาจถึงสามชั่วโมงในการคราดตอซังข้าวและหญ้าแห้งเป็นแนวไปตามขอบคันนา ให้แน่ใจว่า เมื่อจุดไฟเผาแล้วมันจะไม่ลามไปในที่ๆเราไม่ต้องการ แผนการง่ายๆที่คิดเอาไว้นั้นก็คือ แนวกันไฟต้องล้อมรอบเขตแดนทั้งหมด แล้วค่อยเผาในคราวเดียว
ประมาณสัปดาห์ที่แล้วผมได้ดูข่าวอันน่าสลดใจข่าวนึง เป็นข่าวการเสียชีวิตของชายชราท่านนึง เพราะการเผาตอซังข้าวนั่นเอง ผมไม่ทราบว่าแกพลาดตรงไหน เพราะตามข่าวแกมีกันสองคน น่าจะช่วยเหลือกันได้   หรืออาจเพราะ เรี่ยวแรง กำลังวังชา ความปราดเปรียว คงร่วงโรยไปตามวัย ถึงทำให้แกหนีออกมาจากวงล้อมของไฟไม่ได้ วันที่ได้ข่าวเป็นวันที่ผมเริ่มทำแนวกันไฟไปได้แล้วสองวัน ผมบอกับตัวเองว่า ผมจะไม่เป็นเหมือนชายชราผู้นั้น ข่าวการตายของแกเป็นบทเรียนที่ดีของใครก็ตามที่คิดจะเผาตอซังข้าวและไม่ว่าจะเผาด้วยเหตุผลกลใด
ส่วนตัวผมเองไม่ได้อยากจะเผาตอซังข้าวหรอกครับ แต่ผมอยากเผาหญ้ามากกว่า หญ้าในนาปีนี้มันเยอะมากเหลือเกิน มากซะจนเมื่อมองเห็นที่ไรจะประสาทเสียทุกที ที่มันเยอะขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะใคร ก็เพราะผมเองนั้นแหละครับ ปีที่แล้ว  ผมอยากทดลองหยอดเมล็ดข้าวด้วยอุปกรณ์ที่ไปเจอมาในยูทูป เจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ มันเวิร์คมากๆครับคุณผู้อ่าน รูปร่างลักษณะของมัน ให้คุณผู้อ่านจินตนาการถึงรถเจ็ก ที่ใช้เป็นพาหนะรับจ้างของคนสมัยก่อนนะครับ เพียงแต่ล้อของเจ้านี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณศอกนิดเท่านั้นเอง พอนึกออกไหมครับ หน้าตามันก็ประมาณนี้ครับ มันมีคานเหล็กกลวงเบายื่นออกมาด้านหน้าสำหรับคนลาก ส่วนที่นั่งผู้โดยสารในรถเจ็ก ให้ตัดออกไปนะครับ ระหว่างล้อทั้งสอง จะมีรูปทรงกระบอกพลาสติกถ้าจำไม่ผิดจะมีสี่ถึงห้าลูก เรียงกันเป็นแนวนอน ตรงกลางกระบอกนี่ถูกเจาะไว้สำหรับคานเหล็กที่เชื่อมระหว่างล้อทั้งสองข้าง เจ้ารูปทรงกระบอกนี่แหละครับที่เค้าทำเอาไว้สำหรับใส่เมล็ดพันธ์ข้าวสำหรับหยอดนั่นเองล่ะครับ ลูกนึงก็ประมาณกระป๋องยาพลาสติกที่เราเห็นตามโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย(ปัจจุบันเรียกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน) ออ ทรงกระบอกนั้นจะมีรูที่เจาะไว้รอบๆทั้งด้านซ้ายและขวาสำหรับให้เมล็ดข้าวหล่นลงเมื่อเราเดินลากไปข้างหน้าครับ  แหมพอไปลากจริง ก็เห็นใจควายเลยครับ สมัยก่อนที่ใช้ควายเดินนำหน้าเมื่อไถนา ลากไถพลิกดินขึ้นมาที่ละเมตรๆ ควายมันต้องใช้แรงมากขนาดไหน อุปกรณ์ของผมไม่ได้หนักเหมือนไถเลยซักนิด  แต่ขอบอกว่าโคตรเหนื่อย และใช้แรงมากๆครับ โคลนตมในนามันดูดเรี่ยวแรงไปซะหมด ในคลิป เมื่อชาวนาทดลองหยอดเมล็ดข้าวด้วยอุปรณ์นี้เสร็จแล้วแกก็มีคลิปต่อมาอีกเรื่อยๆ เป็นความคืบหน้าต่างๆหลังจากที่เริ่มหยอดจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ต้นข้าวที่หยอดไปงอกขึ้นเป็นแถวเป็นระเบียบ ระยะห่างระหว่างแถว กว้างสม่ำเสมอ มีหลายอย่างในคลิปที่ผมไม่ได้ทำตาม ซึ่งสำคัญมาก รวมไปถึงการดูแลเอาใจใส่หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์แล้วด้วย
ในคลิปแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เราจะตัดขั้นตอนการถอนกล้าแล้วมาปักดำได้ ซึ่งต้องใช้แรงงานคนมาก แล้วค่าจ้างก็แพงมากขึ้นทุกปี เราสามารถลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและลดต้นทุนในการผลิตลงได้มาก น่าจะเป็นการทำนาที่มีประสิทธิภาพและน่าจะได้ผลผลิตไม่แพ้น่าดำ(ตามคลิป) แล้วเมื่อได้ทดลองใช้จริงแล้ว ผลนะเหรอครับ  ต้นข้าวดันโตไม่ทันหญ้า เพราะปีกลายหลังจากหยอดข้าวเสร็จ ฝนก็ทิ้งช่วงทันที น้ำในนาเริ่มแห้ง เมื่อน้ำไม่ขัง หญ้าก็ไม่เน่าตาย แถมเจริญงอกงามสุดๆ มองไปในท้องนา แทบมองไม่เห็นต้นข้าวเลย ผลผลิตไม่ต้องพูดถึง แม้แต่นาหว่านยังได้ข้าวเยอะกว่าเป็นสองเท่าของนาหยอดของผม การทดลองครั้งแรก ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งเจ็บทั้งอายระคนปนเปกันไป เห็นไหมคุณผู้อ่าน ทำเกษตรนี้ไม่ง่าย(เหมือนในคลิปเลย)จริงไหมครับ แหมถ้าฝนไม่ทิ้งช่วงละก็นะคุณเอ้ยย  ฮีโถ่ ไม่อยากจะคุย (ยังจะกล้าคุยอีกนะ)
กลับมาสู่เหตุการณ์ระทึกขวัญ(ตรงไหน)กันต่อครับ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าแนวกันไฟยังทำไม่เสร็จ แต่ไม่รู้ผีห่าซาตานตนไหนมันดลใจให้ผมตัดสินใจจุดไฟ ไฟที่จะเกือบฌาปณกิจตัวผมเอง
ไฟ
ขณะที่เริ่มผมจุดไฟแช็คสีเหลืองนั่น ในหัวผมมันตั้งคำถามว่า แล้วจะทำแนวกันไฟที่เหลือทันเหรอ แผนของเราคือทำแนวกันไฟรอบเขตแดนให้ครบทุกด้านแล้วค่อยเผาไม่ใช่เหรอ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ท้าทายนั่น ผมเหมือนเด็กเอ๋อๆคนนึง ในตอนนั้นบอกมันไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรมาสิงสู่ เปลวไฟเริ่มลุกลามไปที่ละน้อย  ผมถอยหลังออกมาพอไม่ให้รู้สึกร้อนเกินไป มองพระเพลิงเผาผลาญศัตรูข้าวของผมอย่างสะใจ
ลม
เย็นวันนี้เท่าที่สังเกตุ ผมไม่พบว่าจะมีวี่แววของลมเลย  สี่โมงเย็น ต้นฤดูร้อน แดดร้อนระอุบวกกับไฟในท้องทุ่งทั้งสองส่วนมันผนึกกำลังกันได้อย่างลงตัว ผลักดันให้ผมต้องถอยห่างออกไปไกลขึ้นอีก จนกระทั่งเข้านาทีที่สิบโดยประมาณหลังจากเริ่มจุดไฟ ร่างกายค่อยๆเปียกด้วยเหงื่อไคล้ ฝุ่นผง เขม่าควันไฟเกาะติด ทั้งเรือนกายและอาภรณ์ สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ขณะหนึ่งในเสี้ยววินาที รู้สึกได้ถึงความเย็นแผ่วๆตามแผ่นหลัง และเย็นขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าวายุนั่นเอง มันได้พัดมาเยือนเมื่อไฟเผาผลาญไปกินเนื้อที่ประมาณหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ทั้งหมด  ในคราแรกเริ่ม เพลิงลุกไหม้อย่างเชื่องช้า แล้วค่อยลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงแตกปะทุของหญ้าสด หญ้าแห้ง ตอซัง ตักแตน แมลงน้อยใหญ่ดังสนั่นลั่นทุ่งเมื่อลมพัดเปลวเพลิงโหมโลมเลียไปถึง ความเร็วของการเผาไหม้เพิ่มขึ้นเป็นสองหรืออาจจะสามเท่าของเมื่อสิบนาทีเรกและลมยังคงพัดแรงขึ้น ความกังวลเรื่องระยะของแนวกันไฟที่อาจจะแคบเกินไปในบางจุด ทำให้ผมนึกบางอย่างขึ้นได้  ผมผละออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไปทำบางอย่าง  บางอย่างที่ควรทำตั้งแต่เริ่มจุดไฟแช็คเฮงซวยนั่น
น้ำ
ถังสีพลาสติกเปล่าเก่าๆใบนั้นผมหยิบมาจากหลังบ้าน เพื่อมาทดแทนใบเดิมที่ถูกขโมยไป เดาว่าเป็นฝีมือของคนเก็บของเก่าขาย ผมไม่รู้ว่ามันมีราคาค่างวดขนาดไหน แต่เมื่อมันหายไป มันก็สร้างความเจ็บแค้นใจให้ผมอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยผมใช้มันตักรดต้นไม้ที่หามาปลูกไว้ ตลอดระยะเวลาที่ฟ้าหมดฝนเมื่อปีกลาย มันก็ดูเก่ามากๆเก่าเสียจนไม่คิดว่า จะมีใครมาขโมยเอาไปขาย ให้ตายเถอะ ส่วนเจ้าถังอีกใบนี้ มันก็เข้ามาทำหน้าที่ได้เดือนกว่าๆแล้ว
ผมเริ่มฉุกคิดถึงมัน เมื่อเห็นว่าพระเพลิงที่พิโรธถึงขีดสุดเพราะถูกเจ้าวายุน้อยพัดเย้ยเอา แนวกันไฟบางช่วงที่อาจแคบเกินไปที่จะกั้นเปลวเพลิงอันทรงพลังนี้  วารีผู้อารีย์เท่านั้นที่จะทำให้พระเพลิงสงบลง ความรีบร้อน พื้นนาที่ขรุขระ หญ้ารกชัฏสูงเทียมเข่า เป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับการลำเลี้ยงน้ำหนึ่งถังไปตามจุดต่างๆ  น้ำที่เต็มถังเมื่อต้นทาง ปลายทางจะลดลงไปกว่าลิตร เพราะหกทิ้งไปตามรายทาง จุดที่ล่อแหลมนั้น ไฟก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผมหิ้วถังน้ำถูลู่ถูกังไปถึง ก็ใช้เหยือกตักน้ำสาด ราด เท หยอด สกัดเปลวเพลิงตามระดับความรุนแรง ว่ากันว่า เขม่าควันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆของการเสียชีวิตเมื่อเกิดเพลิงไหม้ ตอนนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้ว เหงื่อไหลเข้าตาผมแทบจะตลอดเวลา  ทำให้แสบตา น้ำตาก็ไหลจากควันไฟเข้ารม  ระบบหายใจเริ่มทำงานหนักมากขึ้น ผมรู้สึกเหนื่อยมากกว่าครั้งไหนๆตั้งแต่เคยดับไฟมา(แถวนี้ชาวบ้านเผาตอซักข้าวแล้วลามจนผู้ใหญ่บ้านต้องประกาศให้ลูกบ้านออกไปช่วยกันดับอยู่บ่อยครั้ง)สถานการณ์ดูจะวิกฤตมากขึ้นเป็นลำดับ แต่ผมกลับไม่ลนลานเลยซักนิด แค่วิ่งรอกตักน้ำมาดับไฟแทบไม่ทันเท่านั้นเอง ถังที่สอง สาม สี่และห้า ถังแล้วถังเล่า....เจ้าวายุน้อยลดความคะนองลง  พระเพลิงดูใจเย็นขึ้น ผมเริ่มคุมสถานการณ์ได้บ้างแล้ว ไฟยังคงเผาทุกอย่างที่เสนอหน้ามาอยู่ในวิถีของมัน เหลือพื้นที่อีกมากว่าครึ่งที่ไฟยังคงต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์  เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ผมต้องทำแนวกันไฟที่เหลือให้เสร็จก่อนที่ไฟมันจะลามไปเขตแดนทางทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก รวมความยาวประมาณร้อยถึงร้อยห้าสิบเมตร(เพิ่งนึกได้)  ผมรีบจ้ำอ้าวไปหยิบคราด มีดพร้า ตรงไปจุดที่ทำแนวกันไฟค้างไว้  บอกตัวเองซ้ำๆว่าต้องทำได้ๆๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้คิดว่า ผมจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยลำพัง ทั้งๆที่คราวนี้ผมเองน่าจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นมากที่สุดกว่าครั้งไหนในชีวิต
ดิน
ขณะที่ใช้พละกำลังในการลากเศษหญ้าแห้งใบ ไม้ ตอซังและอื่นด้วยคราด ทีละนิ้วที่ละฟุตนั้น จิตใจของผมมันกระเจิดกระเจิง ว้าวุ่น วิตกกังวล เริ่มกลัวและลนลาน ทั้งที่มองเห็นว่ายังอีกไกลมาก กว่าที่ไฟจะลามมาถึง    ลอบรำพึงรำพัน อยู่ในใจ ว่าเหตุไฉน ฟันคราดดูทำไมมันห่างนัก คราดกวาดสิ่งใดก็มิได้ดั่งใจนึก หญ้าแห้งตอซังดูเหมือนมีรากยึดที่มั่นคงแน่นหนากว่าทุกวัน งานที่เริ่มคุ้นชินมากว่าสองสัปดาห์ดูยากเย็นกว่าเดิมหลายเท่า หรือเป็นเพราะวิตกกังวลเกินไปกับเวลาอันจำกัดที่ใช้เพื่อทำแนวกันไฟ เริ่มโทษตัวเองที่ประเมินความศักยภาพของตนสูงเกินจริง ประมาทอานุภาพแห่งไฟ  มั่นใจเกินตัว ทุกความเคลื่อนไหว ถูกอัดแน่นไปด้วยความคิดด้านลบ เรื่องเลวร้ายต่างๆที่จะตามมาถ้าทำแนวกันไฟเสร็จไม่ทัน เหงื่อเค็มยังคงไหลเข้าตาเข้าปากอยู่อย่างนั้นเอง สร้างความหงุดหงิดรำคาญอยู่เนืองๆ เรี่ยวแรงถดถ้อยลงทุกทีๆ วินาทีนั้นผมรู้สึกกระหายน้ำที่สุดในโลก นึกขึ้นได้ว่า นับตั้งแต่อาหารเช้า ผมยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย อืม นี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวัน ไฟลามเข้ามาใกล้เรื่อยๆทีละน้อยๆ  ความคิดที่ว่าผมไม่มีทางทำเสร็จก่อนที่ไฟจะมาถึง มันค่อยๆก่อกวนสมาธิในการทำงานมากขึ้นๆ ผมเหลือทางเลือกอีกหนึ่งทาง คือหยุดทำแนวกั้นไฟเสียแต่ตอนนี้ แล้วรีบตักน้ำมาดับไฟให้หมด แล้วกลับบ้าน ดื่มน้ำเย็นๆอาบน้ำกินข้าว แล้วนอน ไม่มีใครรู้ว่าเราตั้งใจจะทำให้เสร็จเมื่อไหร่อย่างไร  พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว รอบๆตัวมืดลง งานของผมยิ่งยากขึ้นไปอีก ผมยังไม่ได้หยุดมือเลยแม้ซักเพียงครู่ ลากคราดกลับไปกลับมาเพื่อเปิดที่ว่างไม่ให้ไฟลามถึงกันได้ อาาา อีกไม่ถึงสิบเมตร ด้านตะวันตกจะทำเสร็จแล้ว กำลังใจเริ่มมีมาบ้าง  เหลือบไปมองไฟที่ลามมาจากทิศใต้ มันยังอยู่อีกไกลมากทีเดียว เสร็จจากตรงนี้ผมตั้งใจจะทำทางด้านทิศเหนือต่อ คันนาเขตแดนที่คั่นเหนือ(ที่นาชาวบ้าน)และใต้(ที่นาของผม)มีคันนาอีกคันตั้งฉากติดกันอยู่หว่างกลางมองเป็นรูปตัวทีกลับหัวพอดี  ดูจากระยะที่มองเห็นไฟ เปรียบกับเนื้องานที่เหลือ ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าต้องทำได้ทันแน่ ไม่นานแนวกั้นไฟทางตะวันออกเสร็จเรียบร้อย ผมตรงไปทำต่อทางทิศเหนือทันที ไม่แม้เวลาพักหายใจ ผมต้องแข่งกับเวลา ไม่อย่างงั้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผมไม่อยากจะคิดต่อ พยายามดึงความสนใจมาอยู่กับงานตรงหน้า หมาของชาวบ้านแถวนั่นวิ่งออกมาเห่าผม เพราะผมล้ำเข้ามาในที่ของเจ้านายมัน ที่ผมจำเป็นต้องออกมาทำแนวกั้นไฟล้ำมาในที่นาของชาวบ้านแถวนั้น เพราะเมื่อวันก่อน ผมได้เดินสำรวจรอบบริเวณนี้แล้ว พบว่า เขตแดนด้านในมีหญ้าหนาแน่นเกินไป เพราะเป็นนาหว่าน ส่วนที่ของชาวบ้านเป็นนาดำ หญ้าจึงน้อยมากจะทำให้ง่ายกว่าในการทำงาน แนวกันไฟทางทิศเหนือ ผมเริ่มทำจากด้านทิศตะวันตกไล่มาทางตะวันออก จังหวะลากคราดนั้นสม่ำเสมอ จิตใจผมนิ่งขึ้นกว่าสิบนาทีก่อนมาก เรื่อยมาจนหมดครึ่งแรกชิดคันนาที่ตั้งฉากนั้น มีกอหญ้ากอใหญ่อยู่สองสามกอซึ่งจำเป็นต้องถอนออกให้หมด เพราะอาจกลายเป็นเชื้อไฟได้ ผมสับคราดลงที่โค่นก่อหญ้าหนักๆแล้วค่อยๆงัดกอหญ้าขึ้นอย่างที่เคยทำ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หัวคราดหลุดออกจากด้ามไม้ ความหวังของผมพังทลายลงขณะนั้นเอง อุปกรณ์ของผมมีอันเป็นไปซะแล้ว ผมรู้ได้จากประสบการณ์ว่า ระยะเวลาในการซ่อมแซมคราด อุปกรณ์ และแสงสว่างนั้น ผมไม่มีเหลือเลยซักอย่าง แผนต้องเปลี่ยนกระทันหัน ผมหัวเสียสุดๆ หลุดคำหยาบออกมาหลายครั้ง วันนี้ช่างเป็นวันซวยของผมโดยแท้ จากนั้นก็ปรี่ไปคว้าเอาถังตักน้ำตรงไปที่สระทันที จากเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยอยู่แล้วรวมกับที่ผมกระหายน้ำอย่างมาก ยิ่งทำให้ระยะทางเดินไปตักน้ำที่สระดูจะไกลขึ้นกว่าเดิมมาก แนวไฟที่ลามมาเริ่มมีหน้ากว้างขึ้นตามลักษณะพื้นที่ ไม่มีทางให้เลือกแล้ว ผมต้องดับไฟให้หมดเท่านั้น จึงจะกลับบ้านได้ และนั่นจึงจะทำให้มั่นใจว่าที่นาของชาวบ้านไฟลามไปไม่ถึง ถังแรกกว่าจะมาถึง ไฟก็ลุกลามไปมากแล้ว หน้าไฟกว้างมากเหลือเกิน เวลาที่สาดน้ำ ก็มักจะไม่ค่อยโดนจุดที่เราต้องการนัก น้ำบางส่วนจึงสูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์  สู่ถังที่สองเมื่อกลับมาถึง ส่วนที่คิดว่าดับได้แล้วมันดันลุกไหม้ขึ้นอีก ประสิทธิภาพในการสาดน้ำให้สัมฤทธิ์ผลก็น้อยลงเรื่อยๆ  พาลทำให้กำลังใจผมหร่อยหรอลงด้วยเหมือนกัน  นับจากที่ผมเริ่มจุดไฟจนถึงบัดนี้น่าจะเข้าชั่วโมงที่สามแล้ว น้ำถังที่สามถังที่สี่ถังที่ห้าทยอยตักมา แต่สถานการณ์กลับไปเหมือนต้นชั่วโมงแรก รู้สึกท้อใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะดับไปเท่าไหร่ มันก็ยังลุกขึ้นมาไหม้ได้อีก ผมนึกบางอย่างได้อีกแล้ว ผมควรโทรมาบอกที่บ้านให้คนมาช่วยดับไฟน่าจะดีกว่า แต่อีกใจนึงยังหยิ่งยโสอยู่ เพราะกลัวชาวบ้านจะครหาเอาได้  ถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะตักน้ำมานับได้ประมาณซักสิบถังพอดี สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น ผมหยุดยืนมองเปลวไฟที่ลุกโชนเผาผลาญไปเรื่อยๆเพราะเหนื่อยจนแทบจะไม่อยากขยับตัว ฉุกคิดว่า ถ้าตัดสินใจกลับบ้านไปเลยละ ปล่อยให้ไฟแม่งไหม้ไป ใครจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันดีไหม  แล้วก็สลัดความคิดโง่ๆนี้ทิ้งไป เดินตุปัดตุเป๋หิ้วถังจะไปตักน้ำถังที่สิบเอ็ด เมื่อเดินไปใกล้ถึงสระด้วยความอ่อนแรงผมเดินสุดตอไม้บนคันนาเกือบหัวคะมำ แต่ก็เสียหลักล้มลงคลานสี่ขา ตอนนั้นผมเหนื่อยมากๆ อยากทิ้งตัวลงนอนเสียตรงนั้นเลย  ในใจก็นึกอยากจะโทรศัพท์หาคนมาช่วยดับไฟอีก ขณะที่ผมลังเล สิ้นหวัง สิ้นกำลังกายแทบไม่เหลือนั้นเอง มือขวาก็กำดินทรายไว้แน่น ความรู้สึกความคิดต่างๆประเดประดังถาโถมเข้ามา ผมรู้ได้โดยสันชาตญาณว่าผมกำลังจะหมดสิ้นความอดทน ร่างกายโงนเงนไปมา จะล้มไม่ล้มแหล่ ผมยกมือข้างที่กำทรายนนั่นขึ้นมา ดินทรายหมาดๆนั่นค่อยๆไหลผ่านลงตามง่ามนิ้วมือ ผมปัดมือที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายกับกางเกง กะจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรขอความช่วยเหลือ ต้องยอมจำนงเสียแล้ว ไม่จำเป็นต้องเย่อหยิ่งอีกต่อไป แต่แล้วอยู่ดีๆผมก็เข้าใจอะไรๆขึ้นมาได้ในแทบจะทันที  ว่าทำไมผมถึงต้องล้มลงคลานสี่ขาแบบนี้ ทำไมผมต้องกำดินทรายนั่นไว้ คงมีบางสิ่งบางอย่างดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ธุลีดินนี่เอง คือพันธมิตรใหม่ที่จะมาช่วยผมให้ผ่านพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ ผมรวบรวมกำลังที่เหลือ โกยดินทรายหมาดๆริมสระน้ำ ใส่ในถังอย่างรวดเร็วเท่าที่เรี่ยวแรงที่เหลือจะอำนวย พอได้เกือบเต็มถัง ก็ตรงเข้าไปหาดงห่าไฟนรกนั่นอย่างห้าวหาญอีกคราหนึ่ง(ขอเวอร์ซักหน่อยเถิด) ดินทรายเปียกหมาดๆกำแรกถูกซัดหว่านใส่กองเพลิงพิโรธ เนื้อดินกระจายตัวเข้ากลบเปลวไฟอย่างรวดเร็ว มันหยุดการลุกไหม้ได้อย่างน่าทึ่ง จิตใจผมปิติลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก บทมันจะง่ายมันก็ง่ายดายแบบนี้เอง กำลังใจกลับมาแล้ว ผมกำดินขึ้นที่ละกำ แล้วก็หว่าน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆลงไปที่เปลวไฟที่ร้อนระอุอย่างลืมตาย  หน้าไฟที่กว้างจากการลุกลามก็แคบลงเรื่อย ๆ  ห่าเพลิงค่อยๆมอดดับลง และดับสนิทที่สุด ผมใช้ดินทรายหมดไปเพียงสองถังเท่านั้นเอง นึกเจ็บใจตัวเองที่เสียเวลาวิ่งตักน้ำมาดับไฟเป็นสิบถัง รอบๆตัวผมมืดลงพร้อมกับแสงสุดท้ายของเปลวเพลิง เรื่องราวของชายชราที่ตายในการเผาตอซังข้าวย้อนกลับมาสู่ห้วงความคิดผมอีกครั้ง แกคงเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายเหมือนๆผมกระมัง คนหนุ่มอย่างผมยังแทบเกือบตาย ตามข่าวแกอายุตั้งหกสิบกว่า มิน่าแกถึงไม่รอด ผมหยุดความคิดไว้แค่นั้น  ทิ้งตัวลงนอนแผ่สองสลึงกลางทุ่งนาอย่างหมดสภาพ ไม่สนว่าจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนแค่ไหน  มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พบว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนแรม มองเห็นดาวได้ไม่ชัดเจนนัก  ตายังปรับสภาพการมองเห็นได้ไม่เต็มที่ นั่นไม่สำคัญแล้ว    ผมไม่หลงเหลืออารมณ์สุนทรีย์มาชื่นชมดาวอีกแล้ว ตอนนี้มันเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเหมือนจะขาดใจตายลงตรงนั้น  แล้วก็ค่อยๆหลับตาลง  ผมนอนพักตรงนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนลากสังขารอันสกปรกมอมแมมกลับบ้านอย่างทุลักทุเล
และทั้งหมดนั่นคือบางส่วนในวันห่วยๆของผม
ขอบคุณมากนะ ธุลีดิน
ไว้พบกันใหม่ในภายภาคหน้า

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...