วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

โยคะ

ย้อนกลับไปเมื่อปี2552 ซึ่งเป็นปีที่ผมกำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรี หลังจากคร่ำหวอดอยู่กับการเรียนที่สถาบันแห่งนี้มากว่าสิบปี(คนอื่นเค้าเรียนกันสามสี่ปีก็จบ เอิ้กๆๆๆ)
ในหลักสูตรใหม่ พ.ศ.2551 กำหนดให้มหาวิทยาลัย (ไม่แน่ใจว่าที่อื่นจะเหมือนกันรึเปล่า)เปิดการเรียนการสอนวิชาบังคับ เพิ่มเข้าในหลักสูตรอีกอย่างน้อย2วิชา สำหรับที่นี่ เพิ่มวิชาราย "ความรู้คู่คุณธรรม"และ รายวิชาที่อยู่ในหมวดพละศึกษา อีกหนึ่งวิชา มีกีฬาชนิดต่างๆ ให้เลือกเรียนมากมายหลายชนิด อาทิ ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล เทนนิส แบตมินตั้น เซปักตะกร้อ ว่ายน้ำ เทควันโด้ มวย และอีกหลากหลายชนิดทั้งในร่มและกลางแจ้ง หนึ่งในหลายชนิดนั้นผมเลือกเรียนวิชา โยคะ ขอรับกระผม
ในความรู้สึกและความเข้าใจตอนนั้น คิดว่าเป็นวิชาเรียนที่แทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย และแทบไม่ต้องใช้ทรัพยากรอะไรเลย(ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ส่วนเรื่องที่คิดว่าไม่ต้องออกแรงมากนั้น รู้สึกจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปไม่น้อยทีเดียว)ถึงวันนี้ ผมได้แต่ขอบคุณตัวผมเอง ที่เลือกเรียนศาสตร์ที่เป็นดั่งโอสถทิพย์ที่โลกใบนี้ ได้มอบให้เป็นของกำนัลแด่มวลมนุษยชาติก็มิปานศาสตร์นี้....

"มันดีอย่างงั้นเชียวเหรอวะไอ้มิสเตอร์เฮิรบ?"
ผมก็ต้องยืมวลีฮิตติดปากของ แอนนาเชิญยิ้ม มาใช้เลยครับว่า"สวดยอดเลยลวกเพี่ยะ!"



ความมุ่งหมายเจตนาของการบรรจุสองรายวิชานี้เข้าไปในหลักสูตรผู้อ่านก็คงพอเข้าใจไม่ยากนัก ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้น เราคงต้องมาดูกันอีกที หวังว่าจะได้ผลอย่างที่ต้องการก็แล้วกันครับ

เรื่องราวที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล เป็นทัศนคติความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้อ่านที่รัก โปรดใช้วิจารณญาณให้การอ่าน

ท่านผู้มีเกียรติ​ทุกท่านครับ ผมขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ โยคะ งะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ....

**โยคะถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความ เป็นอยู่ของตนเอง อดีตมีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา และนี่คือวิธีการที่การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่ง อินดัส นักโบราณคดีได้ค้นพบไม้แกะสลักและศิลปะรูปปั้นที่แสดงถึงการฝึกโยคะ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยประชาคมที่มีความเจริญเป็นอย่างสูง ซึ่งเจริญอยู่ในพื้นที่แถบนั้นช่วง 2000 และ1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถานนักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า ปตัญชลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช [5] โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า โยคิน หรือ โยคี ส่วนผู้หญิงเรียกว่า โยคินีส่วนผู้สอนเรียกว่า คุรุ (ครู) ประเทศตะวันตกได้นำโยคะมาเป็นการออกกำลังกายโดยดัดแปลงจาก Hatha-Yoga ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของโยคะ นอกจากนี้การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือด และสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆ รวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกาย และจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย โดยท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะ เช่น การฝึกโยคะท่าศพอาสนะ Savasana (Corpse Pose) ท่านั่งก้มตัว (Paschimottanasana) การฝึกท่างู Bhujangasana (Cobra Pose) เป็นต้น[6]
 
หมายเหตุ**ข้อมูลจากวิกิพีเดีย

เชื่อผู้อ่านหลายๆท่านที่มีอายุตั้งแต่ 30 กลางๆขึ้นไป คงจะสังเกตได้ถึงความเสื่อมถอยของร่างกายตัวเองได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ยิ่งใครที่เป็นผู้มีนิสัยดื่มจัดดูดจัด อดหลับอดนอน กินอาหารเน้นอร่อยไม่เน้นประโยชน์ การออกกำลังกายไม่มีอยู่ในสารระบบแล้วละก็ ยิ่งสังเกตได้ง่าย จากริ้วรอย ความหมองคล้ำบนใบหน้า ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง หรือที่เลวร้ายที่สุดของผู้ชายอกสามศอก ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั่นเองละครับ ส่วนผู้อ่านที่เป็นสปอร์ตเกิร์ลสปอร์ตแมนมาตั้งแต่ยังวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน หรือเป็นผู้ที่จัดการระบบระเบียบ จัดสมดุลชีวิตได้ สม่ำเสมอมาตั้งไหนแต่ไรแล้ว คงไม่ต้องประสบปัญหาความเสื่อมถอยสุขภาพร่างกายก่อนวัยอันควรเป็นแน่  ดั่งเช่นกระผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่ได้ใช้ร่างกายอย่างสมบุกสมบั่น ต่อเนื่องยาวนานหลายปี หลายๆคนเริ่มป่วย หลายๆคนยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ ยังคงชะล่าใจและยังคงดำเนินชีวิตไปโดยไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบใดที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขในระยะยาวก็ตาม

ในวัย40ปีของผม ร่างกายและจิตใจผมได้รับผลจากการกระทำเมื่อครั้งอดีตมาเต็มๆ อันที่จริง มันเริ่มเมื่อตอนอายุยี่สิบกลางๆด้วยซ้ำ เดชะบุญ ที่ผมเห็น ผมสังเกตุการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่เงียบๆแม้ว่าผมจะปล่อยตัวปล่อยใจกับอบายมุข​สิ่งเร้าต่างๆอย่างเต็มที่เต็มใจ หากผมก็ตระหนักอยู่เสมอ ว่าการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องการเรียน การงาน มิตรภาพ ความรัก ความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องเงิน แต่แค่ตระหนักรู้นั้น มันไม่เพียงพอ การจัดการเรื่องต่างๆในชีวิตเหล่านี้ให้สมดุล พอเหมาะพอดีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนคนทุกคนจะทำได้ดี เพราะเมื่อเรามีปัญหาชีวิต เราก็มักมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้น เรื่องใดเรื่องหนึ่งจนลืมมองภาพรวม สำหรับผม ผมคิดว่าทักษะหรือศิลปะในการใช้ชีวิต มันคงต้องใช้เวลา สั่งสมประสบการณ์ ความเข้าใจอันมาจากการเรียนรู้ฝึกฝนให้เพิ่มพูน​อยู่เสมอประมาณนึงเลยละครับ คงไม่มีใครเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เกิดหรอก  ใช่แล้วครับ ชีวิตไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่ชีวิตก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดเช่นกัน เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองมันถูกบ่มเพาะจนสุกงอม จังหวะชีวิตก็ค่อยๆพาเราเข้าสู่การเริ่มต้นการพัฒนาศักยภาพของตนเองทั้งร่างกายและติตใจให้ยกระดับสูง​ขึ้นทีละน้อยๆ

มนุษย์​เราคงไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งอะไร​ก็​ตามที่ไม่ใช่ตัวเราเอง แหม่  พูดก็พูดเถอะ แม้ตัวเราเองก็ใช่ว่าจะควบคุมได้ง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ จริงไหมครับคุณผู้อ่าน นั่นแปลว่า ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เราสามารถคุมคุมได้อยู่เหมือนกัน​ แม้เราๆท่านๆจะหลงลืมละเลยกันอยู่เสมอก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น การหายใจ เป็นต้น ฟังดูไม่น่าจะสลัก​สำคัญอะไร แต่ทว่า อย่าได้มองข้ามเรื่องพื้นๆนี่เชียวครับ

การออกกำลังด้วยการเล่นโยคะนั้น นอกจากจะเน้นไปที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น อวัยวะต่างๆในร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้อีกประการหนึ่งของการเล่นโยคะ ก็คือ การหายใจ นั่นเองละคร้าบ

เคล็ดที่ไม่ลับนี้ ทั้งสำคัญและสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับศาสตร์แขนงนี้อย่างไร

ในคลาสเรียนที่ผมเรียนเมื่อเกือบสิบปีก่อน อาจารย์ผู้สอนมักจะเน้นย้ำเรื่องการหายใจในทุกๆครั้งที่เข้าเรียนในภาคปฏิบัติ  กล่าวคือ เมื่อเราฝึกเล่นโยคะในท่าทางต่างๆนั้น อาจารย์บอกผู้เรียนหายใจเข้าและออกให้ช้าและ ยาว ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในผู้เริ่มต้น เมื่อเราเริ่มยืดเหยียดร่างกายนั้นให้เราหายใจเข้าแล้วเริ่มนับในใจช้าๆ1-8นับเป็นหนึ่งคาบ แล้วหายใจออก นับในใจ1-8เหมือนกัน​อีกหนึ่งคาบ ในแต่ละท่าจะใช้เวลา2-4คาบ ครับ สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจและทึ่งมากในการฝึกปฏิบัติครั้งแรก ภายในเวลาไม่ถึง20นาทีสำหรับการฝึกท่าต่างไม่เกิน5ท่า  ผมหอบเหนื่อยและเหงื่อกาฬแตกซึมออกมาตามผิวหนังอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน นับเป็นการออกกำลังกายที่ทรงประสิทธิภาพมากวิธีนึง เคล็ดที่ไม่ลับอีกหนึ่งอย่างที่อาจารย์ไม่ได้บอก แต่นักศึกษาทุกคนก็ปฏิบัติตามๆกันโดยอัตโนมัติ คือเมื่อเริ่มฝึก เราทุกคนพร้อมใจหลับตาลงกันอย่างพร้อมเพรียง ราวกับจะทิ้งเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายแหล่ ที่รบกวนใจจิตอยู่ให้หลุดลอยและมลายหายไปพร้อมกับการมองเห็น... ว่ากันขนาดนั้นเลยเชียว เอิ้กๆๆๆ

จบการฝึกครั้งแรก ผมรู้ได้ด้วยตัวเองว่า นี่แหละ สิ่งนี้ คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผมนับจากนี้ไป ่นี่คือประตูสี่มิติของโดราเอมอน ที่จะนำพาชีวิตผมไปสู่โลกใบเดิมในมุมมองใหม่ ผ่านการเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต ที่สามารถเชื่อมโยงตัวเรากับทุกสรรพสิ่งได้ ในชั่วขณะหนึ่งหรือสภาวะหนึ่ง ตัวตนของเราจะถูกลืมไปว่ามีอยู่ เราจะกลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและจักรวาล
อะไรมันจะขนาดน้านไอ้มิสเตอร์เฮิร์บเอ้ย! เรียนคาบเดียวมึงบรรลุธรรมเลยรึไงมึงมันขี้โม้แล้ว
หลังจากเข้าเรียนอีกหลายครั้ง ผมเริ่มเชื่อมโยงความเข้าใจของผมเมื่อเล่นโยคะกับชุดความรู้เดิมบางชุดที่มีอยู่แล้ว เช่น อาณาปาณสติเอย(การมีสติระรึกรู้ด้วยการจดจ่อที่ลมหายใจเข้าออก)​ วิชาพละศึกษาว่าด้วยการยืดเหยียดร่างกาย(วอร์มอัพ)​ก่อนการเล่นหรือแข่งกีฬาชนิดต่างๆที่เราคุ้นชินคุ้นหูกัน ที่เขาเรียก วิชายืดหยุ่นเอย  นี่คือการผสานกายและจิตใจให้เป็นหนึ่ง​เดียวกัน​ สิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวโยงกับเรื่องความมีสติและสมาธิโดยแท้ แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ใหญ่โตที่ใครๆก็รู้กันดีอยู่แล้ว แต่ผมดีใจที่ผมสามารถ​ค้นพบและสัมผัสได้ด้วยตัวเองด้วยการลงมือปฏิบัติ เป็น "สันทิฏฐิโก" (เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติ​พึงเห็นได้​ด้วย​ตนเอง)​"อะกาลิโก" (เป็นสิ่งที่ปฏิบัติ​และเห็นผลได้ไม่จำกัดกาล)
​...... ได้รับโดยไม่ต้องขอ ได้รู้โดยไม่ต้องรอ.... ว่ารักคืออะไร... บุ้ย!  อะไรมันจะขนาดน้านนนพ่อคู้ณณณเอิ้กๆๆๆ

ปี2015-2016สโมสรฟุตบอลอังกฤษ นามว่า เลสเตอร์ซิตตี้ ได้สร้างมหัศจรรย์ประวัติศาสตร์ที่ผู้คนจะต้องเล่าขานเป็นตำนานไปอีกนาน จากทีมฟุตบอลที่เพิ่งเลื่อนชั้นจากลีกชั้นรอง มาสู่ตำแหน่งแชมป์ลีคสูงสุดของอังกฤษ ภายในหนึ่งปี! โว้ววว   นี่ไม่ใช่เรื่องจริงมันเทพนิยายชัดๆ ใครจะไปเชื่อ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอาจจะพูดเช่นนั้น แต่เชื่อเถอะครับ มันไม่มีอะไรจริงไปกว่านี้อีกแล้ว
ภายใต้การบริหารของประธานสโมสรชาวไทย คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา นักธุรกิจผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรร้านค้าปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ​ไทย นามว่า คิงพาวเวอร์ (ขอสรรเสริญผลงานของท่านและขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านและครอบครัวมาณ.ที่นี้ด้วยครับ)
หนึ่งในหลายๆสิ่งในการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสโมสรของคุณวิชัย นั้นก็คือการนำโยคะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมการฝึกของนักฟุตบอลในสโมสร ผมคงไม่บอกว่าการได้เป็นแชมป์พรีเมียร์​ลีกของเลสเตอร์​ซิตี้​ปีนั้น มันจะเป็นผลมาจากการฝึกโยคะของนักฟุตบอลหรอกครับ มันมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆอีกมากที่ผมไม่ได้กล่าวถึงอีกเยอะแยะมากมาย และผู้อ่านก็คงทราบข้อมูลเหล่านั้นอยู่บ้างแล้ว เพราะสื่อต่างๆได้ตีแผ่ถอดรหัสความสำเร็จของสโมรสรเลสเตอร์ออกมาให้ชมให้อ่านให้ฟังกันอย่างมากมายหลากหลายแง่มุม ซึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันล้วนเป็นสิ่งที่ต้องมีร่วมกันหาใช่มีเพียงปัจจัย​หนึ่งเพียวๆก็หาไม่

การฝึกโยคะแม้จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการออกกำลาย ที่ดีทางหนึ่งก็ตาม แต่คงไม่ได้เป็นกุญแจดอกเดียวที่คุณผู้อ่านนำไปใช้แล้วชีวิตจะดีขึ้นเลย คงไม่ใช่ อาหารการกินที่มีประโยชน์​ การพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ การบริหารจัดการกับความเครียดในชีวิตประจําวัน​ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงและปฏิบัติควบคู่กันไป

จบมันดื้อๆอย่างงี้แหละ เอิ้กๆๆๆ

.... สิ่งต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไป เธอเองจะอยู่ที่ไหน อยากจะบอกให้เธอรู้ไว้ ฉันยังอยู่.....

ห่างหายไปจากบล็อกนี้นาน นานเสียจนผู้คนหลงลืมไปแล้วว่าเคยมีใครอยู่ที่นี่ๆ ผมยังอยู่ครับคุณผู้อ่านที่รัก ไม่ได้ไปไหน และผมจะอยู่ในใจของทุกท่านเสมอ ชะเอิงเอย เอิ้กๆๆๆ

ของคุณที่ยังเข้ามาอ่านกันนะครับ
รักเสมอ
มิสเตอร์เฮิร์บ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...