วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

ไม่ต่างกัน

Intro:D Bm D Bm


Dทุกวันโลกเรามันก็หมุนไป Bmเรื่องราวอันหลากหลาย Dที่เคยมีอยู่อยู่มันหายไป Bm ได้รู้ก็ใจหายGได้แต่ทำAใจให้ยอมรับDมัน
Dล่องลอยว่ายวนบนกระแสธารBm แห่งกาลเวลา Dไม่ใช่แค่เพียงเธอที่อ่อนล้า Bmฉันเองก็คล้ายๆ Gมันก็เป็นAไปตามทางของDมันA


*Gลองต้านAทานแต่เอาไม่F#mอยู่ ไม่อาจBmฝืน A GวันและAคืนแปรไปฉันเปลี่ยนD A G ใจที่Aเคยมั่นคง ตอนนี้F#mมันเริ่มผิดBmเพี้ยน A Gเปลี่ยนไปเป็นAคนที่ฉันเคยเกลียด Gเปลี่ยนไปเป็นEmคนที่ฉันเคยตัดสิน Aว่าเขาเป็น


**อย่างDนั้น อย่างDmaj7นี้ ไม่Bmดี Gทั้งๆAที่รู้จักDเขา ไม่เท่าDmaj7ไหร่ ไม่ชอบBmใจ ก็Gให้ร้ายเขาAโดยไม่Dรู้ ไม่เข้าDmaj7ใจ ไม่เห็นBmใจ สุดGท้ายที่Aเจอไม่Dต่างกัน ***ไม่ต่างกันเลย


Dลำพองทนงตนว่ามีดี Bmแต่ดีไม่พอ DมัวเมาหลงเพลินกับคำเยินยอBm ท้อใจเมื่อรู้ GความจริงมันAช่างขมขื่นสิ้นDดี (ซ้ำ*,**,***,***,***)


กราบสวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งนึงครับ สำหรับตอนนี้ ผมขออนุญาตินำเสนอผลงานเพลงของผมอีกหนึ่งเพลง ผ่านช่องทางบล็อกที่ชอบๆแห่งนี้ เอาไว้ในอ้อมใจของคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน สำหรับตัวของเฮิร์บเอง เฮิร์บเป็นเพียงคนยาก ระหกระเหินมาทำงานต่างถิ่นต่างที่ สำหรับผู้อ่านที่รักใคร่และเอ็นดูเฮิร์บ ขอเพียงรักเฮิร์บน้อยๆ แต่ขอให้รักนานๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นดังน้ำทิพย์ชโลมใจ ให้เฮิร์บน้อยๆคนนี้มีกำลังใจสามารถต่อสู้ข้ามผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆที่รายล้อมเข้าในชีวิต ไปได้ด้วยดีแล้วละครับกระผม เอิ้กๆๆๆมาลูกอ้อนแบบพี่เป้าครับ เอิ้กๆๆๆ


เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เขียนขึ้นมาไล่ๆกันกับเพลง ปลายทางครับ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตของผมเองและจากคนอื่นๆในสังคมเราที่ท่านสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวันครับ เมื่อเวลาที่เรายังเด็กเมื่อประสบการณ์ชีวิตยังอ่อนด้อย เรามักจะเชื่ออะไรโดยง่าย ขาดวิจารณญาณ เชื่อโดยไม่ผ่านการคิดพิจารณาถึงเหตุผลข้อเท็จจริงกันสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าตัวเราเองณ ขณะนั้นจะเชื่อว่าเรามีเหตุผลแล้วก็ตาม พอเราเติบโตขึ้น พบเจอเรื่องราวอันหลากหลาย มุมมองในเรื่องเดิมจากที่เคยเห็นภาพแบบนึง กลับมองเห็นภาพอีกแบบและยังรู้สึกต่างออกไปจากเดิมอีกด้วย หลายๆกรณีในชีวิตของผม ที่ผมเคยปรามาส เคยคิดเคยตัดสินคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ คนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งคนที่ผมไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน ว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนอย่างที่เขียนในเนื้อเพลง ซึ่งมันมักจะย้อนกลับมาตอกหน้าตัวผมเองอยู่บ่อยๆ หลายๆครั้งผมสังเกตุว่ามันเป็นธรรมชาติบางอย่างของมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆนี่แหละ ในขณะที่อีกหลายๆกรณี ผมกลับสังเกตุเห็นความจงใจของใครหรืออะไรบางอย่าง ที่ต้องการทำให้เราเชื่อว่า เราเป็นคนแบบนั้นจริงๆซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่จริงเลย เพราะมันมีทางเลือกอยู่ สุดแท้แต่ว่าจะเลือกทำหรือไม่ทำก็เท่านั้นเอง แต่ในเพลงนี้ ผมเลือกที่จะสื่อสารว่า ความผิดพลาดผิดพลั้งของคนนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกชนชั้นได้ ไม่แตกต่างกันเลย การกล่าวโทษการประนามหยามเหยียด การตัดสินผู้คนด้วยความรู้สึกและปราศจากสติยั้งคิดหรือที่เค้าเรียกกันว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใดเลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเสมอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และมันคงจะเกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
การกล่าวพาดพิงถึงคนอื่นโดยปราศจากอคติ คงต้องอาศัยสติ วิจารณญาณ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ ประสบการณ์ชีวิตอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น การหลีกเลี่ยงการตำหนิติเตียนผู้อื่นก็คงเป็นการดีที่สุด หากแต่สังคมที่ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กันได้เลย ก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเช่นกัน ยิ่งสังคมใดที่ชอบเอ่ยอ้างสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยละก้อ ยิ่งจำเป็นต้องพร้อมเปิดใจให้กว้างในการรับฟังทั้งคำชมและการติเตียน เพื่อแก้ไขให้ดีขึ้นจากคำครหาตำหนิ และทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปจากคำชื่นชมนั่นเอง


ต้องตอกย้ำกันอีกสักครั้งนึงว่า การยอมรับความจริง ยอมรับความบกพร่อง ความผิดพลาด ความไม่พร้อม และอีกหลายๆความที่ไม่สร้างสรรค์ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง สังคม ประเทศชาติและโลกของเราเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เพราะเมื่อคุณยังหลอกตัวเองอยู่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว คุณก็จะไม่อยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรหรอก จริงไหมครับคุณผู้อ่าน
ไม่ได้สนับสนุนให้ใครๆมานั่งจับผิดกันนะครับ แค่หมั่นสำรวจตรวจสอบตัวเอง กิจการงานในหน้าที่ของตนเองก็น่าใจพอแล้วละครับ


สำหรับตอนนี้ ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ยังตามมาอ่านกันอยู่ สวัสดีเดือนเมษายนครับผม



วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

ครั้งแรกที่แหลมพรหมเทพ

แหลมพรหมเทพ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของภูเก็ต ที่แขกไปใครมาก็ไม่อยากจะพลาดการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ แหลมพรหมเทพห่างจากหาดราไวย์ไม่ถึงสิบนาทีโดยรถยนต์ ว่ากันว่า วันใดที่ท้องฟ้าไร้เมฆฝน การได้มาชมพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรหมเทพนั้น จะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืมทีเดียว
สองปีที่แล้วขณะที่ทำงานเป็นพนักงานขับรถรับส่งนักเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผมและพนักงานอีกหลายคน ได้รับมอบหมายให้ขับรถพานักเรียนไปท่องเที่ยวทัศนศึกษา หนึ่งในสถานที่ที่ต้องพาเหล่านักเรียนตัวน้อยไป นั่นก็คือแหลมพรหมเทพแห่งนี้นี่เองละครับ 





แดดแรงมากๆครับวันนั้น แต่ก็ทำให้สมาร์ทโฟนบ้านๆถ่ายออกมาได้คมชัดเต็มสีสันทีเดียว






นักท่องเที่ยว กับร่มคันเล็ก จุ๋มจิ๋มเชียวคุณพี่


 โรงแรม และหาดในหาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก คุณอาจบรรจุลงไปในทริปของคุณหลังจากชื่นชมทัศนียภาพที่แหลมพรหมเทพเต็มอิ่มแล้ว


 ต้นตาลที่ขึ้นเรียงแถวไปตามทางเดิน นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาคึกคักไม่ขาดสาย


ขยับขึ้นมาอีกนิด แต่มุมเดิม ทำให้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นอีกหน่อย
 เดินลงจากทางเดินคอนกรีต ลงสู่ตัวแหลม ยังเล็งชัดเตอร์ไปที่หาดในหาน โดยมีต้นตาลเป็นจุดนำสายตา


 แหลมพรหมเทพที่คุณผู้อ่านมักจะคุ้นตากับมุมนี้


 เดินไปข้างหน้า แต่ยังพะวงหลัง


มุมยอดนิยมอีกสักหนึ่งที ค่อยลงต่ำไปเรื่อยๆ


 อันต้นตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก เดี๋ยวๆ ไม่ใช่แระ


 แหลมพรหมเทพ นักท่องเที่ยว และเรือรบหลวง


 เกาะอะไรไม่รู้ชื่อ แต่อยู่ไม่ห่างกัน น้ำทะเลสีสันสวยงาม


 ต้นตาลต้นนู้นรอก่อน เดี๋ยวไปหา


โดดเดี่ยวอย่างทรนง ทุ่งหญ้าเหมือนพรมสีเขียวมีชีวิต มันพริ้วไหวนุ่มนวลสบายตาจริงๆ
 ลึกลงลึกลง ยังคงหวนมองหนทางที่ผ่าน


 ลึกลงไปอีก พ้นเนินดิน เผยให้เห็นตัวแหลมพรหมเทพในมุมกลับ สังเกตุด้านขวาของรูป สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า ผมไม่ได้มาที่จุดนี่เป็นคนแรก


 ด้านซ้ายของแหลม ดูมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ปุยหญ้าเขียวขจีตัดกับแสงจ้าที่สะท้อนจากทะเลระยิบระยับ
อีกซักแชะนึง กันเหนียว
 ปฏิมากรรมของผู้มาเยือน แสงแดดจ้าขับให้มันดูมิติมากขึ้น ยิ่งได้สีฟ้าของท้องทะเลเป็นพื้นหลัง ยิ่งทำให้องค์ประกอบด้านขวาของภาพ ดูด้อยกว่าไปเลย แต่ผมชอบต้นตาลและเงาของมันที่ทาบผ่านลงบนผืนหญ้าสีเขียวสดนั่นมากกว่า


 ปลายสุดของแหลม มีคลื่นแรงกระแทกโขกหินเป็นระยะๆ


 โอ้ นี่มันอะไรกัน ช่างงดงามยิ่งใหญ่ราวกับไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ เอิ้กๆๆ ขำๆนะครับ การเรียงตัวระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ ของปฎิมากรรมหินเรียงเหล่านี้ กลับทำให้ดูมีชีวิตชีวา มีจังหวะมีพลวัติ รึผมคิดไปเองเนี่ย เอิ้กๆๆ


ในเมื่อชอบองค์ประกอบนี้ ก็เน้นหนักขึ้นอีกหน่อย
ก็ได้อยู่นะ อืม ใช้ได้ๆ เอิ้กๆๆๆ
 มนุษย์เรา เมื่อลงต่ำสุด ก็กลับสู่สามัญ ฮือ มันใช่เหรอวะไอ้เฮิร์บ เอิ้กๆๆ
 ทางสามแยก (สามแพร่งมันจะหลอนไป)โล่งๆโปร่งๆสบายตา


ขอปิดท้ายทริปนี้ด้วยภาพนี้ครับ บนตัวแหลมที่รายล้อมไปด้วยต้นกระถินณรงณ์


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่แห่งนี้ และมีโอกาสเก็บภาพประทับใจเหล่านี้ไว้ด้วย ช่วงเวลาที่ไม่ถึงสองชั่วโมงที่อยู่ที่นั่น นับว่าคุ้มค่ามากสำหรับผม
แม้ว่าภาพถ่ายเหล่านี้จะมีอายุล่วงเลยมากว่าสามปีแล้วก็ตาม แต่ภาพชุดนี้ก็ยังสดใหม่เสมอในความรู้สึกของผม แน่นอน ผมก็คงไม่อาจเก็บความประทับใจเช่นนี้ไว้ชื่นชมคนเดียวได้แน่ ก็เลยขอถือโอกาสนี้แบ่งปันให้ผู้อ่านได้ซึมซับความรู้สึกประทับใจนี้ไปด้วยกันกับผม ด้วยภาพถ่ายชุดนี้
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

แรงบาลดาลใจ เสียงดนตรี และกีต้าร์

จำได้ว่าเมื่อตอนอายุสักสามสี่ขวบ พี่ชายผมไม่รู้ไปเอากีต้าร์ของใครมาหัดเล่นที่บ้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้จริงๆใกล้ๆเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรเลย ผมก็ดูๆแล้วก็ลืมๆไป แล้วก็เห็นศิลปินน้องร้องในสมัยนั้นเขาเล่นดนตรีออกทีวีกัน สมัยก่อนก็ต้องรายการโลกดนตรีละครับ แต่ที่อยู่มายาวนานจนถึงวันนี้เห็นจะมีอยู่เจ้าเดียว นั้นคือเจ็ดสีคอนเสิร์ตครับ คนสมัยนั้นก็ชอบไปดูฟรีคอนเสิร์ตกันครับ ไม่ได้ไปกันธรรมดา ควรจะเรียกว่า แห่ กันไปดูน่าจะเหมาะกว่า เพราะดูแล้วคนเยอะมากๆ ในแต่ละสัปดาห์ บนเวทีคอนเสิร์ต ที่โดดเด่นสะดุดตาคนดูอย่างผมก็จะเห็นแต่นักร้องนำและเล่นกีต้าร์นี่แหละครับ รู้สึกว่าคนเล่นกีต้าร์นี่ มันเท่ดีแฮะ อยากเป็นศิลปินแบบเขามั่งจัง เวลาบอกคนดูให้กรี๊ดก็กรี๊ด ไม่บอกอะไรก็กรี๊ด บอกให้ยกมือตบมือก็เอ้า ตามใจ โบกมือไปทางซ้าย เอ้า ซ้าย โบกไปทางขวา เอ้า จะรออะไร ก็ขวาสิครับ มักจะเป็นกันอย่างนั้นเสมอเวลาที่ผมดูคอนเสิร์ตในทีวี ดูเหมือนศิลปินจะมีอิทธิพลกับคนดูมากๆใช่ไหมครับ ว่ากันตั้งแต่การแต่งเนื้อแต่งตัว ทรงผมที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอก ความคิดความอ่านการพูดการจาที่เป็นบุคคลิกภาพภายใน คนส่วนนึงและโดยมากมักจะเป็นวัยรุ่นก็มักจะได้รับอิทธิพลมาจากศิลปินดารากันมาซะส่วนใหญ่ สมัยนี้ก็คงมีเรื่องไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตรวมเข้าไปด้วยสินะ






จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลาที่ผมยังเด็กและเริ่มจำความได้นั้น มันเป็นยุคที่สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ครองเมือง มันเข้าถึงบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง และเข้าถึงได้ง่ายด้วยครับ กำลังบูมสุด ธุรกิจการค้าใดๆ ถ้าหากได้รับการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยสื่อสามแขนงนี้ มักจะได้รับผลในทางบวกเสมอ เม็ดเงินในธุรกิจการโฆษณานั้นมีมูลค่ามหาศาล วิชาชีพสื่อสารมวลชน จึงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนมากมาย กระหายอยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น จนกระทั่งการมาถึงของอินเทอร์เน็ต แม้กระนั้น อินเทอร์เน็ตก็ยังต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปี ในการพัฒนาของตัวมันเองโดยผู้ให้บริการและผู้บริโภค จากสื่อเฉพาะกลุ่มที่มีคนใช้งานจำนวนจำกัดในแวดวงธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่และการศึกษา ในมหาวิทยาลัย ก่อนจะขยายตัวออกไปจนได้รับความนิยมในวงกว้าง ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทั่วไป ในฐานะสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน ทั้งด้านการติดต่อสื่อสาร ข้อมูลข่าวสารและธุรกิจการค้า ข้อได้เปรียบเรื่องความยืดหยุ่น ความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร ความสะดวกในการเข้าถึงในทุกที่ทุกเวลา สามารถทลายข้อจำกัดเดิมๆของสื่อเก่าทั้งสามแขนงลงไป และสื่อเก่าถูกลดบทบาทลงไปโดยปริยาย เม็ดเงินส่วนหนึ่งในงบประมาณการโฆษณาจากสื่อหลักทั้งสาม ถูกดึงมาสู่โลกอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่า และให้ผลดีกว่าเมื่อเทียบกับสื่อเก่า และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆต่อไป




ช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้อ่านคงได้ยินข่าวการปิดตัวลงของนิยสารหลายเล่ม ซึ่งบางเล่มนั้นมีมายาวนานกว่าตอนที่ผมเกิดซะอีก น่าเศร้าที่สื่อสิ่งพิมพ์ที่เคยสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทยของเราเหล่านี้ ต้องถึงคราวกล่าวอำลาผู้อ่านไป แต่ผมก็ยังได้รับรู้มาบ้างว่า นิตยาสารบางเล่มที่ปิดตัวลงในรูปแบบสิ่งพิมพ์ ก็กลับมาเปิดตัวด้วยการอวตารมาในร่างใหม่ในโลกออนไลน์นี่เอง ครับ ก็ต้องปรับตัวกันหน่อยเพื่อความอยู่รอด โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว




ช่วงที่ผมเริ่มเรียนม.ต้น พี่ๆของผมมักจะมีเทปคาสเซตของศิลปินทั้งไทยและเทศมาเปิดฟังกันที่บ้านเสมอๆ ทั้งที่ซื้อบ้าง หยิบยืมเพื่อนมาฟังบ้างคละๆกันไป ผมคิดว่ามันค่อนข้างราคาสูงอยู่พอสมควรนะสมัยนั้นน่ะ เจ็ดสิบแปดสิบบาทต่อม้วนแน่ะ ในขณะที่สุราแม่โขงยังขวดละร้อย บุหรี่กรองทิพย์ซองละสิบสี่บาท ก๋วยเตี๋ยวก๋วยจั๊บก็อยู่ที่ชามละสิบบาท ก็ถือว่าเอาการอยู่สำหรับวัยรุ่นที่ยังหารายได้เองไม่ได้ กว่าจะได้มาฟังแต่ละม้วนก็ต้องอดข้าวกันเป็นอาทิตย์ๆเพื่อเก็บตังค์มาซื้อละครับ ส่วนอัลบั้มเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจในการเล่นดนตรีของผม ก็เห็นจะเป็น อัลบั้มชุด บันทึกการเดินทาง ของศิลปินเพื่อชีวิตเลือดใหม่(ในสมัยนั้น) ของวงการ ครับ พี่ปูพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ คนนี้นี่เอง ชุดนี้เป็นงานชุดที่สอง จากชุดที่หนึ่งคือชุด เสือสิบเอ็ดตัว ที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย ทั้งยอดขายและความนิยมในหมู่มวลนักฟังเพลง ในอัลบั้มชุดบันทึกการเดินทาง ก็จะมีเพลงฮิตๆอย่างเพลง ผีโรงเย็น ถึงเพื่อน คิดถึง เธอผู้เสียสละ อยู่คนเดียว ว่ากันจริงๆแล้ว เพลงสมัยนั้นอัลบั้มนึงมักจะได้รับความนิยมกันหลายเพลง ศิลปินบางรายอาจจะฮิตทั้งอัลบั้มก็มีมากมายเช่นกัน นั้นอาจเป็นเพราะพฤติกรรมการฟังของคนฟังสมัยนั้นด้วย คือมักจะเปิดฟังไปจนครับทุกเพลงทั้งสองหน้า ทั้งหน้าเอและบี(ไม่ใช่เกงในนะครับ เอิ้กๆๆๆ)เรียกว่าฟังกันยาวๆในคราวเดียว สะกดจิตตัวเองด้วยเพลงของศิลปินที่ชื่นชอบทีนึง ก็ราวๆชั่วโมงครึ่งละครับ อัลบั้ม บันทึกการเดินทางของพี่ปู ก็จะถูกเปิดด้วยเครื่องเสียงสเตอริโอไพโอเนียของพ่อในแทบจะทุกครั้งที่พ่อไม่อยู่ (พ่อแกก็จะฟัง ชรินทร์ นันทนาคร หยาดนภาลัย สุเทพ วงศ์คำแหง วินัย พันธุรักษ์ ลูกทุ่งบ้าง สลับกับตลกบ้างแล้วแต่อารมณ์แก)เพลงของพี่ปูก็ติดหูง่ายครับ อัลบั้มชุดนี้ออกมาไม่นานก็ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง เรื่องราวชีวิตของนักดนตรีหนุ่มคนนี้ก็ได้เริ่มถูกเล่าขานต่อๆกัน เขาเป็นใคร มาจากไหน เขาเดินทางมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าค้นหามากๆสำหรับ เด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมและใครอีกหลายๆคน สมัยนี้เค้าคงเรียกว่า ไอดอล นั่นแหละ ผ้าโผกหัว กอดกีต้าร์ ตาโรยๆ เป็นภาพจำของพี่ปูในหัวของผมตอนนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมสนใจที่จะเล่นกีต้าร์และแต่งเพลงเป็นครั้งแรกเหมือนพี่ปูจากอัลบั้มชุดนี้ของแกนั้นเอง




คุณผู้อ่านจำเพื่อนของผมที่เสียชีวิตเพราะการดื่มได้ไหมครับ เพื่อนคนนี้เป็นคนเอากีต้าร์มาหัดเล่นที่โรงเรียนเป็นคนแรกๆครับ ก็ฮือฮากันพอสมควรสำหรับเพื่อนๆในห้องไอ้ผมก็ได้แต่เมี่ยงมองมันหัดจับคอร์ด ตีคอร์ดโน้นนี่ไปเรื่อย ในใจคิดว่ามันยากเกินไปสำหรับผม แต่ยังไงก็ตาม ผมก็ยังได้ขอกีต้าร์ของเพื่อนมาลูบๆคลำๆซะหน่อยเหมือนกัน มันเจ็บนิ้วชะมัดเลยครับเวลาเราใช้นิ้วกดสายกีต้าร์เนี่ยคุณผู้อ่านที่เคยหัดเล่นคงจะจำความรู้สึกแบบนั้นได้นะ ผมว่า ช่วงเวลาที่ผมเรียนม.ต้นนั้น ยังมีวงดนตรีไอดอลที่ไม่พูดถึงเลยก็คงทำให้ไม่ได้บรรยากาศกลิ่นอายของยุคนั้นได้สมบูรณ์นัก แนวเพลงคันทรีร็อคนั้น ในเมืองไทยถือว่าใหม่มากๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่เคยมี แค่เพียงจะไม่ชัดเจนโดดเด่นเท่าวงนี้เท่านั้นเอง ท่านผู้มีเกียรติครับ ผมกำลังพูดถึงวงอินคา อัลบั้มชุดแรก คนล่าฝัน นักดนตรีหนุ่มผมยาวหกคน มาพร้อมกับแนวเพลงลูกทุ่งอเมริกัน และแน่นอน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกเขาก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สไตล์คาวบอยตะวันตก เพลงแรกที่ปล่อยออกมาสู่โสตประสาทของสาธารณชน ก็ได้รับการตอบรับที่ดียิ่ง กระแสความแรงของเพลงส่งผลให้คลื่นวิทยุต่างๆต้องเปิดให้ผู้ฟัง ฟังกันทุกวัน วันละหลายๆครั้ง เหมือนเพลงฮิตทั่วๆไปตามสูตร วัยรุ่นอย่างผมก็อยากร้องอยากเล่นดนตรีมากขึ้นแล้วในตอนนั้น ความหลงไหลคลั่งไคล้ในเสียงเพลงเสียงดนตรีมันเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆและมันกำลังผลักดันให้ผมเริ่มต้น




งานกิจกรรมการออกร้านของโรงเรียน มักจะมีกิจกรรมอื่นๆเสริมเพิ่มเติมเข้าด้วย เช่น การประกวดวงดนตรีของนักเรียนเป็นต้น ในปีการศึกษาแรกของนักเรียนม.หนึ่งอย่างผม การได้มีประสบการณ์ชมการประกวดวงดนตรีของโรงเรียนนั้นมันได้เปิดโลกทัศน์ของผมให้กว้างขึ้นอีกมากโข ช่างน่าประทับใจนัก ไม่เพียงแต่ฝีไม้ลายมือของวงดนตรีต่างๆที่เข้าประกวดเท่านั้น การได้เห็นนักเรียนสาวม.ปลาย น่ารักๆ อย่างเธอคนนั้น นักเรียนหญิงม.4 ในชุดนักเรียน ผมสั้นเสมอหู ขาวหมวยรูปร่างกะทัดรัด ยืนลีดกีต้าร์อย่างสุขุมมั่นอกมั่นใจไม่แพ้นักกีต้าร์มืออาชีพที่เคยเห็นในทีวีเลยแม้แต่น้อยนั้น ยิ่งทำให้งานออกร้านของโรงเรียนตราตรึงใจไปอีกนานแสนนาน ภาพของเธอวันนั้น ยังติดตาผมจนถึงทุกวันนี้ และตลอดสามปีที่เรียนม.ต้น ผมก็มีเธอเป็นขวัญใจเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แม้เธอจะไม่เคยรับรู้เลยก็ตาม แหะๆ มันเป็นฝันกลางวันของหนุ่มน้อยซึ่งหมออ้อยเพิ่งขึ้นครับเอิ้กๆๆๆ ขวัญใจของผมคนนี้ เธอจะมีมอเตอร์ซูซูกิ อากิร่า อาร์อาร์ สีแดง ดิสก์เบรคหน้าหลัง(ค่ายซูซูกิ เข็นรุ่นนี้ออกมาสู้กับคู่แข่งอย่างฮอนด้า ที่มีรุ่นอาร์ รุ่นเอส รุ่นอาร์เอส ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่ก่อนแล้ว แล้วก็สู้ไม่ได้จริงๆ จากนั้นมอเตอร์ไซต์รุ่นเล็กของค่ายซูซูกิในเมืองไทยก็หยุดพัฒนาและไม่มีออกสู่ตลาดอีกนานเลยครับ)ขับมาโรงเรียนครับ ทุกเช้าเย็นเมื่อผ่านไปทางที่จอดมอเตอร์ไซต์ ผมก็จะคอยชะเง้อชะแง้แลมองหาเธอทุกครั้งไป วันไหนโชคดีเห็นเธอ ผมก็จะอารมณ์ดีได้ทั้งวันเลยละครับ เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆครับ สำหรับเธอผู้เป็นอีกหนึ่งในแรงบันดาลใจของผม ขนาดสาวน้อยผู้บอบบางคนนั้น เธอยังทำมันได้ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ทำได้ เธอทำได้ยอดเยี่ยมเลยต่างหาก นั่นยิ่งทำให้ผมมุ่งมันที่จะฝ่ากำแพงความคิดที่ว่า มันยากเกินไปสำหรับผม ไปให้ได้




เมื่อตอนขึ้นชั้นม.3 ผมได้ถูกชักชวนจากเพื่อนในห้องคนหนึ่งให้มาเล่นดนตรีในตำแหน่งมือเบส และร้องนำ ไม่รู้มันคิดอะไรของมัน มันอาจจะคิดว่าผมมีแววก็ได้ แต่มันคิดผิดไปเยอะเชียวครับ เอิ้กๆๆ มันบอกผมว่า เบสง่ายจะตาย จับทีละเส้น แล้วก็ดีดทีละเส้น ไม่เห็นจะยากเลย ผมก็เออว่ะ จริงของมึง ผมเชื่อคนง่ายครับ เอาไงเอากันสิวะ เอิ้กๆๆ อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ซ้อมกันในวันเสาร์อาทิตย์ประมาณสามสัปดาห์ เวลาแค่นั้นกับคนที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยเกี่ยวกับดนตรี ต้องบอกว่ามันกดดันมากจริงๆครับ วงเรามีสี่คน มีผมเป็นมือเบสร้องนำ เพื่อนผมเป็นมือกีต้าร์ และรุ่นน้องม.2อีกสองคนเล่นคีย์บอร์ดและมือกลอง เป็นวงที่เซ็ทขึ้นเฉพาะกิจ เพราะหลังจากจบงานโชว์และซ้อมกันอีกสองสามครั้ง พวกเราก็ตัดสินใจยุบวง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยด้วยซ้ำไป มาไว เคลมเร็วทันใจดีไหมครับ เอิ้กๆๆๆ แล้วผมก็ได้ขึ้นเล่นดนตรีบนเวทีเป็นครั้งแรกในชีวิต งานวันเด็กแห่งชาติปี2535ที่กองบินยี่สิบเอ็ด มันเป็นสามเพลงที่ทรมานและยาวนานจริงๆ (ผมจำได้สองเพลง คือมาเพื่อลาของ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง และลิปซิ้งค์ ของภุชงค์ โยธาพิทักษ์ อีกเพลงจำไม่ได้ครับ ลืม นึกไม่ออกเลย)ผมงี้สั่นไปทั้งตัว ตื่นเต้น ประหม่าที่สุดในโลก ที่เค้าว่ากันว่าตื่นเวทีนั้น ผมประสบมาด้วยตัวเองแล้ว ซาบซึ้งจนวันตายเลยละครับ ทั้งสามเพลง เราผ่านมันไปด้วยความทุลักทุเล จริงๆแล้วไม่ใช่เรา แค่ผมต่างหาก สมาชิกในวงอีกสามคนนั้น มีทักษะและประสบการณ์ชั่วโมงบินมีมากกว่าผมเยอะ และไม่ได้รู้สึกอะไรแบบผมมากมาย ยังดีที่คนดูเป็นแค่เด็กน้อยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว และไม่ค่อยได้สนใจโชว์บนเวทีมากนัก นอกจากมีจะเกมชิงรางวัลขนมของเล่นเท่านั้น จึงจะดึงความสนใจของเด็กๆมาที่เวทีได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันเป็นประสบการณ์ที่ห่วยแตกอยู่ดี ให้ตายเถอะ




คนแถวบ้านผมนิยมเรียนม.ปลายกันน้อยครับ เค้ามักสนับสนุนให้คนเรียนสายอาชีพสายช่างกันเสียมาก ยิ่งถ้าบ้านไหนมีลูกชายนี่ยิ่งต้องให้เรียนเทคนิคเทคโนกันไปเลยครับ ถึงจะเป็นร.ร.เอกชนเค้าก็ยอมส่ง ไม่ก็จบม.3ก็ส่งเข้ากรุงเทพฯ จะเรียนจะทำงานก็ค่อยว่ากันอีกที หมู่บ้านผมมีหลุดมาคนนึงครับ ที่ไม่ได้เรียนสายช่าง แกห่างจากผมสามปี เรียนม.4ในตัวอำเภอ ตอนนั้นผมม.1เราเที่ยวด้วยกันกินเหล้าด้วยกัน ไปดูหนังฟังหมอลำด้วยกัน แอบดูดบุหรี่ด้วยกัน แก็งค์เราจะมีกันสี่คนครับ คนนึงปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพี่คนนี้และอีกคนในแก็งค์ ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่คนนี้แกเป็นคนมอบสิ่งที่ล้ำค่ามากๆสำหรับผมสิ่งนึง จริงๆแล้ว มันก็มีค่ากับจิตใจของแกไม่แพ้กัน เพราะมันเป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อซื้อให้แกครับ แต่แกกลับมอบให้ผมโดยไม่คิดเสียดายเลยสักนิด มันคือตัวแทนของมิตรภาพ น้ำใสใจจริงของเพื่อนที่พึงมีต่อเพื่อน น่าเสียดายที่ผมรักษามันไว้ไม่ได้ และผมเสียใจจริงๆ กีต้าร์โปร่งยี่ห้อโจโจ้ ราคาแปดร้อยบาท สีเปลือกมังคุดตัวนั้น เพื่อนของพี่สาวยืมไป แล้วมันก็เอาไปเลย ที่เจ็บใจก็คือ พี่สาวผมเป็นคนเอาไปให้เพื่อนมันยืมนี่แหละ ไอ้เพื่อนเวรของมัน ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาสักครั้ง แถมพี่ผมมันก็ไม่รับผิดชอบอะไรสักอย่าง คิดแล้วยังแค้นไม่หาย



หลังจากที่แกให้ผมหยิบยืมไปหัดเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า(กับหนังสือเพลงที่มีรูปคอร์ด เราหัดก็จับตามรูปครับ) ผมก็มีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าเล่นเป็นเพลงบ้างแล้ว และพี่แกก็บอกผมแบบนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งวันนึง แกคงคิดว่ามันสมควรแกเวลาแล้ว เหมือนทุกครั้งๆที่กลับจากเรียนหนังสือ ผมจะตรงดิ่งไปที่บ้านแกโดยจักรยานคันเก่งของผม ไม่ถึงห้านาทีจากบ้านผมไปบ้านแก ผมก็เอ่ยปากยืมกีต้าร์ของแกทันที แกก็เดินขึ้นบ้านไป และหยิบกีต้าร์ตัวนั้นลงมายื่นให้ผม แล้วเอ่ยขึ้นว่า ไม่ต้องเอามาคืนแล้วนะ เอาไปเลย ผมชะงักเล็กน้อย แล้วมองหน้าแก แล้วก็มองไปที่ดวงตาของแก แกก็บอกอีกว่า เอาไปเลยไม่ต้องยืมแล้ว พี่ให้ นัยตาแกมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เหมือนกับจะบอกว่า สัตว์เอ้ย เอาไปเถอะ กูรำคาญยืมได้ยืมดีนะมึง อะไรทำนองนี้ วินาทีนั้นหัวใจผมลิงโลดพองโต แต่ก็ยังสงสัยว่าแกประชดผมรึเปล่าอยู่ดี แกเคยบอกผมนะ ว่าแกไม่เคยหยิบมาเล่นเลยตั้งแต่ได้มันมา และจะว่าไปแล้วผมเองก็ไม่เคยเห็นแกเล่นสักทีเหมือนกัน มันแปลกๆอยู่นะคุณผู้อ่านว่าไหม




หลังจากที่ได้กีต้าร์มาเป็นของตัวเองแล้ว ผมรู้สึกสุขใจเพียงใดไม่ต้องบอก ยิ้มพลางเดินพลางสบายดี มันดีไปหมดเลยครับ ผมหยิบมันมาเล่นทุกครั้งที่โอกาสอำนวย ผมพามันไปหลายที่หลายแห่ง ท่องยุทธจักรไปด้วยกัน ไปร้องไปเล่นกันในวงเหล้ากับมวลหมู่มิตรสหายเป็นเวลากว่าสี่ปี ผมรู้สึกว่าผมมีฝีมือไม่น้อย รู้สึกว่ากูก็เก่งเหมือนกันแฮะ(เริ่มลำพองตนแล้ว) แต่ในความเป็นจริงเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น คำว่าเก่ง มันไกลห่างจากผมเป็นล้านๆปีแสงทีเดียว แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังห่างไกลอยู่มากเหลือเกิน (คุณผู้อ่านอาจสงสัย ในเมื่อห่างเป็นล้านๆปีแสง แล้วมึงมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรไอ้เฮิร์บ คืองี้ครับ อีตอนที่ฝีมือของผมมันยังอยู่แอนโดรมีด้ากาแล็คซี่อันไกลโพ้นนั้น ตอนนั้นผมเห็นยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ของกัปตันเคิร์กแล่นผ่านมาพอดี ผมเลยโบกยานแก แกก็เลยจอดรับผมขึ้นยาน แล้วก็พาฝีมือพอก่ำก่าของผมวาร์ปมาโผล่ที่บล็อกที่ชอบที่ชอบนี่ละครับ ขำๆนะครับ อย่าซีรีอัส เอิ้กๆๆๆ)เล่นมากว่ายี่สิบปีแล้วยังไม่เก่งเลย แล้วจะเล่นไปทำไม เสียเวลา คุณผู้อ่านอาจจะถามแบบนี้ จริงๆแล้วผมก็ถามตัวเองเหมือนกัน ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกสนุกและเป็นหนึ่งเดียวกับดนตรีหรือเสียงเพลงนี่ละครับซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นที่เก่งหรือไม่หรือคุณเป็นแค่ผู้เสพผู้ฟังมันก็ไม่สำคัญเลยสักนิด มันคงเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เราได้ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ปลดเปลื้องทุกสิ่งทุกอย่างออกไปชั่วคราวได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเองกระมัง อาจจะเป็นเหมือนสภาวะไรน้ำหนัก เป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วง หรืออาจเป็นเพราะว่า ผมยังไม่เข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกนั้นเลยจริงๆก็เป็นได้ ผมคงต้องค้นหาคำตอบนั้นต่อไป  
โปรดติดตามตอนต่อไป ....ดีไหมหว่า











วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

แด่มวลมนุษยชาติ

D G A D G A


นั่นไม่ใช่ของDฉันหรอก ที่เธอGได้ไป ไม่ต้องขอบDใจ เพราะฉันเป็นเพียง แค่Gคนส่งผ่าน ได้โปรดจงDรับไป เติมGเต็มหัวใจ และส่งต่อDไปในยามที่คนต้องการG A ในยามขาดแคลนD G A D G A
ในบางDครั้งบางที มันจำเป็นGกว่าเงินทอง ของใด Dมันถูกส่งออกไปจากหัวGใจ ไปสู่หัวใจ D คนท้อแท้คนสิ้นหวัง Gคนที่ชีวิตนั้นพังทEmลาย ก็มุ่งGหมายที่จะAได้มา
**Gหล่อเลี้ยง หัวF#mใจที่แห้งผาก ของEmคนอ่อนAแอสิ้นแรงDใจ ได้EmไปF#mต่อGไป ด้วยF#mใจที่เต็มเปี่ยมด้วยEmพลัง ***ด้วยความGหวังและด้วยAกำลังDใจ
D G A D G A
บนเส้นDทางชีวิตคน จะกี่Gร้อยกี่พันหนนะ ที่Dคนจากเบื้องบนนั้นGลองใจ มีคนมากDมายต้องแพ้พ่าย แต่สิ่งGใดที่ทำให้เขายังหยัดEmยืน สู้ต่อGไปโดยไม่Aยอมแพ้


****ความGหวังเป็นสิ่งสุดAท้ายที่เหลือF#mอยู่หากยังไม่สิ้นศรัทธาA และGกำลังใจจะAหลั่งไหลมาF#mประหนึ่งมหาBmนทีAจากGคนหนึ่งสู่อีกAคน ส่งF#mไปจากBmใจที่AเราGมี ส่งAไป (ซ้ำ **,***,***,***)
ภาพประกอบ หาดในยางในอุทยานแห่งชาติสินีนาถ(แสงจากสวรรค์)



ข้างบนนั่นก็คือบทเพลงที่มีชื่อเรียกเท่ๆว่า แด่มวลมนุษยชาติ ผมเริ่มเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเมื่อ 27 มรกราคม 2559 และเขียนจนเสร็จในอีกสองวันถัดมา ส่วนชื่อเพลง ผมละไว้ เพราะยังนึกไม่ออกว่าจะใช้ชื่อเพลงว่าอะไรดี จึงจะเหมาะกับเนื้อหา จนเกิดปิ๊งกับชื่อนี้เมื่อสักก่อนปีใหม่มานี้เองครับ เป็นเพลงที่เนื้อร้องและทำนองมาพร้อมๆกันครับ ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับผม ช่วงที่เขียนเพลงนี้ ผมกำลังอยู่ในช่วงตกงาน(อีกแล้วครับท่าน) และพอมีเงินเหลือใช้บ้าง จึงอยากเว้นวรรคพักสักหน่อย พอมันว่างก็เอากีต้าร์มากอดมาเกาเล่น ก็ได้มาเป็นเพลงอย่างที่เห็นนี่ละครับ จังหวะและอินโทรของเพลงมันออกจะคุ้นหูผู้ฟังอยู่บ้าง เพราะมันดันไปเหมือนกับอินโทรของเพลง รู้ตัวหรือเปล่า ของวง เปเปอร์แจม เมื่อนานมาแล้วครับ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้ออกมาเหมือนเลย คืออย่างที่บอกครับ ตอนเริ่มเขียน มันมีเนื้อเพลงท่อนแรกปรากฏขึ้นในหัว ผมก็เอากีต้าร์มาลองเล่นคลอๆ ลองคอร์ดต่างๆไปเรื่อย พอเขียนไปเนื้อท่อนแรกเสร็จ เลยลองใส่อินโทรดู ปรากฏว่ามันเหมาะครับ เข้ากันดี ตอนนั้นนึกตั้งนานว่า ทำนองกับอินโทรทำไมมันเหมือนเคยได้ยินจากจากที่ไหนของใครสักวงนี่แหละ ก็มานึกออกที่หลังเมื่อแต่งเสร็จและเอามาซ้อมอยู่เป็นสิบๆรอบนู้นแน่ะ แล้วก็ขอชี้แจงตรงนี้เลยนะครับว่า ไม่ได้มีเจตนาจะลอกเลียนแบบแต่อย่างใด ถ้าคุณผู้อ่านได้ลองเล่นหรือลองฟังเพลงนี้ของผม ก็จะรู้ว่า มันเหมือนกันแค่ท่อนอินโทร จังหวะกับท่อนกลางที่เชื่อมเนื้อท่อนที่สามเท่านั้นเองครับ ออ และเป็นเพลงแรกและเพลงเดียว ที่สมบูรณ์ทั้งเนื้อร้องทำนองในช่วงเวลาสองปีกว่าๆที่อาศัยอยู่ในภูเก็ต ในขณะที่เพลงอีกหลายๆเพลง ยังคงเป็นแค่เมโลดี้เปล่าๆ หรือคีย์เวิร์ดประโยคสองประโยคเท่านั้นครับ เพลงที่แต่งๆก่อนหน้าเกือบทั้งหมดก็จะมีลักษณะคล้ายๆอย่างนี้ครับ คือค่อยๆมาที่ละส่วน ส่วนเพลงอื่นๆที่เคยเขียนไว้ก่อนที่จะมาอยู่ภูเก็ต ก็จะทยอยๆลงมาให้อ่านแก้เบื่อ เปลี่ยนบรรยากาศกันเรื่อยๆครับจนกว่าของจะหมด เอิ้กๆๆ




ความมุ่งหวังตั้งใจ ในการที่อยากจะมีผลงานเพลงเป็นอัลบั้ม ที่สมัยก่อนเค้าเรียกกันว่า ออกเทป เป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนวันนี้สี่สิบแล้ว นั้น ไม่เคยมีวันจางหายไปในความคิดคำนึงของผมเลยครับ ผมก็ว่าจะทำของผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะสี่สิบจะห้าสิบหกสิบ จะอายุเท่าไหร่ก็ช่างหัวมันปะไรมันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก ถ้าจะทำซะอย่าง มันคือ animal will doครับ เอ้ย !มันอยู่ที่ใจต่างหากเล่า ปัดโถ่วว เอิ้กๆๆๆ จริงไหมครับคุณผู้อ่าน


สุดท้ายนี้ ผมขอมอบบทเพลงนี้ แด่มวลมนุษยชาติ ให้กับผู้คนบนโลกใบนี้ทุกผู้ทุกนามครับผม จนกว่าจะพบกันใหม่ สวัสดีครับ



วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

ไอไลค์ทูมูฟวิทมูฟวิท มาเต้นกันให้มันหลุดโลก

เรื่องราวของมิตรภาพและการผจญภัยของ สิงโต ม้าลาย ฮิปโป ยีราฟ และเพนกวิน จากสวนสัตว์นิวยอร์คสู่โลกอันกว้างใหญ่ ใช่แล้วครับ ผมกำลังกล่าวถึงภาพยนต์อนิเมชั่นสุดฮาจากค่ายดรีมเวิร์ค ที่ดำเนินเรื่องมาต่อเนื่องกันถึงสามภาคแล้ว ที่ขาดไม่ได้เลยเมื่อถึงตอนจบของหนังทั้งสามภาค ก็จะมีเพลงเต้นรำสนุกสนานเพลงนึง ที่มีท่อนสร้อยติดหูที่ว่า I like to move it move it . I like to move it move it. I like to move it move it . You like to move it! จากนั้นก็จะเป็นการแร็ปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแอฟริกัน บทเพลงจะดำเนินไปด้วยภาพประกอบการโยกย้ายส่ายสะโพกน่ารักน่าหมั่นไส้ของบรรดาตัวละครสุดติงต๊องของเรื่องทั้งหมด ประกอบไปกับเครดิตรายชื่อของทีมงานผู้สร้าง อันเป็นเอกลักษณ์เป็นลายเซ็นต์และเป็นธรรมเนียมที่ต้องมีในตอนท้ายของหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ ใช่ครับมันจะเป็น อัพ ฟายน์ดิ้งนีโม่ ชาร์คเทล ไอซ์เอจ หรืออนิเมชั่นเรื่องอื่นไปไม่ได้เลย นอกจาก มาดากัสก้า ผมชอบมาก คิดว่าผู้อ่านอีกหลายท่านคงจะเป็นแฟนตัวยงของอนิเมขั่นเรื่องนี้เป็นแน่ ชอบอารมณ์ขันของผู้สร้าง ชอบที่พวกเขามักจะสอดแทรกสาระข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องตลกๆเบาสมองได้อย่างแนบเนียน ชอบที่พวกเขาได้สร้างบุคคลิคตัวละครต่างๆออกมาโดดเด่นเป็นที่น่าประทับใจและน่าจดจำ สถานการณ์ที่ถูกจำลองขึ้นในหนัง แม้เราอาจจะไม่สามารถเจอะเจอได้ในชีวิตจริง แต่คนดูอย่างเราๆก็สามารถนำแนวคิดต่างๆเอาไปปรับใช้ได้ครับ ที่ผมอยากนำเสนอในตอนนี้ ไม่ใช่สาระข้อคิดอะไรในหนังหรอกนะ ที่ผมจะพูดถึงในบทความตอนนี้ก็คือเรื่องการเต้นต่างหากเล่า เอิ้กๆๆๆ






เย็นวันนี้หลังเลิกงาน ผมเดินทางกลับที่พักโดยแวะซื้อของกินสำหรับมื้อเย็น ที่ห้างของถูกสีเขียวแห่งหนึ่ง ห้างๆนี้ในหลายๆแห่งที่ลาดจอดรถ จะมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนเอาไว้สำหรับผู้ที่รัก ชื่นชอบการออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิกครับ คิดว่าคุณผู้อ่านคงเคยเห็น บางท่านอาจเป็นสมาชิกในกลุ่มเต้นเองเลยก็เป็นได้ ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านไปเจอละครับ คุณก็จะเจอผู้หญิงหลากหลายวัย ออกมาวาดลวดลายลีลา โชว์สเต็ปกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงเพลงจังหวะเร้าใจ เสียงรัวกลองส่งมันๆ(เพลงสำหรับกิจกรรมนี้มันเร้าใจจริงๆนะ ผมนึกถึงโฆษณาบัตรกดเงินสดเจ้านึงเลยครับ จะมีฉากที่น้องพนักงานเขาไปเสนอให้ขาแด๊นซ์ที่รวมตัวเต้นแอโรบิกกันอยู่สมัครบัตรนั่นละครับ พอจะจำกันได้ใช่ไหมครับ พอยื่นเอกสารปั๊บก็รับบัตรทันที แหม่ แล้วก็เป็นหนี้กันอย่างหน้าชื่นตาบาน เอิ้กๆๆ ว่าแล้วน้องพนักงานก็ก้มหัวกำมือยกขึ้นยกโยกย้ายซ้ายทีขวาที ราวกับว่า เธอไม่สามารถทานทนต่อความเร้าใจของเสียงเพลงแด๊นซ์เพลงนี้ได้อีกต่อไป) และเสียงร้องก้องดังเพื่อกระตุ้นเหล่าสมาชิกขาแด๊นซ์จากผู้นำเต้น ดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ หลังจากหยุดดูอยู่พักนึง ผมก็เดินเข้าห้างไป แต่ในใจมันยังติดอยู่ที่ลาดจอดรถนั่น คนเราเริ่มเต้นรำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มันมีที่มาที่ไปยังไงกันนะ


วันเด็กแห่งชาติ ที่อาคารเอนกประสงค์ในโรงเรียนชุมชนประจำหมู่บ้าน เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีก่อน เด็กนักเรียนชายชั้นป.1ก กำลังเต้นตามจังหวะของเพลง ถูกใจนิดๆ ผลงานเพลงฮิตในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก หลังจากการแยกย้ายตัวกันของ วงพลอย กลุ่มนักดนตรีมากฝีมือและประสบการณ์ โดยศิลปินนามว่า ติ๊กชีโร่ เด็กๆทำได้ดีทีเดียว ท่วงท่าและจังหวะ ทำได้ถูกต้องตามมิวสิควีดีโอที่ได้ดูและซ้อมมา นั้นเป็นครั้งแรกต่อหน้าสาธารณะชน ในการเต้นของผมครั้งแรกในชีวิต ถ้าเป็นการควอลิฟายที่เวทีไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์ละก้อ พวกเราต้องได้สามผ่านด้วยความเอ็นดูจากคณะกรรมการทั้งสี่ท่านเป็นแท้ทีเดียวเชียวละครับ ขอบคุณพี่ดี้ พี่กาละแม พี่โจ และพี่เบ็นซ์ครับ เอ๊ะ เขาเปลี่ยนกรรมการใหม่ไปรึยังนะ ไม่ได้ดูนานแระ เอิ้กๆๆๆ



การเต้นรำ มันดียังไง ทำไมมนุษย์เราถึงได้เต้นรำร่ายรำกันมาตั้งแต่นมนานบรรพกาลจนมาถึงทุกวันนี้


ในทุกๆวัฒนธรรมที่อุบัติขึ้นบนโลกนี้ หนึ่งในหลายๆสิ่งที่บ่งบอกถึงความเจริญงอกงามทางสติปัญญาของมนุษย์ นั่นก็คือ การเคลื่อนไหว การขยับเขยื่อนร่างกายที่มีท่าทางแบบแผน(เลียนแบบการเคลื่อนไหวจากสิ่งที่พบเห็นในธรรมชาติ)ไปตามจังหวะและท่วงทำนองของดนตรี หรือที่เราเรียกๆกันว่า เต้น รำ ระบำ ฟ้อน ร่ายรำ
การที่มนุษย์เริ่มกระทำกิจกรรมเหล่านี้ขึ้น นอกจากเป็นแสดงออกถึงความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจของปัจเจก ในหมู่คณะ การเฉลิมฉลองความสำเร็จเนื่องในโอกาสต่างๆ เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้น การต้อนรับอาคันตุกะต่างถิ่น การฉลองชัยชนะจากศึกสงคราม ตลอดจนเป็นการบวงสรวงปวงเทพเจ้า ภูติผีปีศาจ ที่ผู้คนในวัฒนธรรมนั้นความเชื่อถือศรัทธาแล้ว ยังสันนิฐานว่า เกิดจากการที่มนุษย์เราต้องการแสดงออกถึงความสมัครสมานกลมเกลียว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของชาติพันธุ์ พงศ์เผ่า ชนเผ่า อีกด้วย








ลูบเป้าเขย่าโลก ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง ปอยฝ้ายมาลัยพร เอ้ย ไมเคิล แจ็คสันต่างหากเล่า ปั๊ดโถ่ เอิ้กๆๆๆ นี่คือตำนานเท้าไฟของโลกอย่างแท้จริงครับ เขาคือไอดอลของคนชอบเต้นทั่วทุกมุมโลก รับประกันได้ว่า ถ้าลองได้ยิน เอ้า! ฮี้ฮี(เสียงสูง) แล้วละก้อ เป็นต้องเต้นกันยับขยับแข้งขา เกร็งตูด รูด ลากเท้าถอยหลังในท่ามูนวอล์ค ต่อด้วยเอามือกุมเป้าแล้วกระดกกระเด้าเด้งงึกๆ แล้วหมุนตัวกระโดดเตะขาสูง ก่อนยืดตัวตรง ขาไขว้ แขนซ้ายยกทาบไว้ที่หน้าอก ยกแขนขวาชูขึ้นนิ้วมือขวาชี้ลง แล้วร้อง เอ้า!(เสียงสูง)กันอีกสักทีนึง เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะลอกเลียนแบบให้ได้พลัง และฟีลลิ่งเสมอเหมือนอย่างที่เจ้าตัวได้ทำเอาไว้ เมื่อได้ไปดูผลงานต่างๆของเขาในมิวสิควีดีโอ ผู้อ่านจะเห็นว่า เขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร แต่ใครๆก็อยากจะเหมือนเขา เป็นคนที่ผู้คนเก่งๆ ที่มีความสามารถจำนวนมาก อยากจะร่วมงานด้วย ความเป็นมืออาชีพ ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆที่ถ่ายทอดออกมาในมิวสิควีดีโอ มันมักจะเป็นอะไรที่ล้ำนำสมัย และใช้เทคโนโลยีล่าสุดในช่วงนั้นสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่นาน มันก็กลายเป็นมาตรฐานที่คนทำงานอื่นๆอยากจะทำตาม อีกทั้งการร้องและการเต้นที่มันสะใจ ถึงใจ ถึงกึ๋น สุดดากของเขาเองนี่เอง ที่ได้ทำให้คนทั่วโลกคลั่งไคล้เขา คงเป็นพวงสวรรค์ เอ้ย พรสวรรค์ ที่พระเจ้าประทานให้กับเขามาตั้งแต่เกิด น่าอัศจจรย์ครับคนๆนี่ ในชีวประวัติของเขา เด็กชายไมเคิลและพี่น้องอีกสี่คนถูกฝึกฝนเคี่ยวเข็ญอย่างหนัก เพื่อรีดเค้นเอาศักยภาพและอัจฉริยะภาพของพวกเขาออกมา โดยพ่อของพวกเขานั่นเอง การเคี่ยวกรำของพ่อ ทำให้วัยเด็กของพวกเขาถูกฉกฉวยไป พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นสนุกเหมือนกับเด็กทั่วไป เมื่อเขาเติบโต เขาจึงชดเชยวัยเด็กให้กับตัวเอง ด้วยการสร้างสวนสนุกส่วนตัวขึ้นมาเองซะเลย ห้ามเล่นดีนัก เอิ้กๆๆ เขาเรียกที่นั่นว่า เนเวอร์แลนด์ ออขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ (คุณผู้อ่านบางคนบอก มึงก็นอกเรื่องของมึงเป็นประจำอยู่แล้วละ ไม่ต้องมาทำเป็นขอหรอก เอิ้กๆๆๆ)คุณผู้อ่านเห็นข่าวที่นำเสนอเรื่องเครื่องมือแพทย์ที่มีลักษณะเหมือนตู้อบของพระธรรมชัยโยรึเปล่าครับ นั่นเป็นที่สำหรับนอนรับเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายครับ ผมจะบอกว่า ไมเคิลเขาก็มีครับ แล้วเขาก็ใช้ไอ้เจ้าเครื่องนี้มานานแล้วด้วย ตั้งแต่ผมยังเด็กๆนู้นแน่ะ(ผมอ่านเจอในนิตยาสารหญิงไทยตอนผมอายุสักห้าหกขวบได้)


พรสวรรค์ บวกกับ การฝึกฝนพัฒนาตนเองและการทำงานหนัก ผลักดันให้ไมเคิล แจ็คสัน เดินทางไปสู่ความสำเร็จ ตั้งแต่ยังหนุ่ม เขากลายเป็นหมายเลขหนึ่ง เป็นคิงออฟป๊อบของผู้คนทั่วโลก ช่วงชีวิตนึง ผมเคยอยากเต้น ให้ตัวเองและคนที่ดูผมเต้น ได้มันสะใจไปพร้อมๆกันแบบเขาคนนี้แหละ หากเทียบกับศิลปินในยุคปัจจุบันนี้ ไมเคิลของผมอาจจะดูดาดๆไปเลยก็ได้สำหรับการเต้น ก็ธรรมดาโลกเนาะ เก่าไปใหม่ก็มา คลื่นลูกใหม่ก็ซัดคลื่นลูกเก่ากระจายหายไปตามกาลเวลา ในส่วนของการร้อง พูดก็พูดเถอะ จะหาใครโดดเด่นเปล่งประกายเหมือนแกนี่ ยากครับ ถึงศิลปินรุ่นใหม่จะมีเสียงร้องและเทคนิคในการร้องเก่งขึ้นมากกว่ารุ่นก่อนๆก็เถอะ(ความเห็นส่วนตัวนะครับ)


การขยับร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลง ท่วงท่ารูปแบบซ้ำๆที่กำหนดขึ้น หรือที่เราเรียกว่าการเต้นระบำนั้น สามารถช่วยพัฒนาการด้านสมองและสติปัญญาได้หรือไม่นะ




ร่างกายของมนุษย์เรามีระบบต่างๆอยู่หลายระบบครับ ตามหลักวิชาการด้านชีววิทยา ร่างกายคนเรามีระบบต่างๆดังนี้
ระบบย่อย
ระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบประสาท
ระบบกล้ามเนื้อ
ระบบผิวหนัง
ระบบขับถ่าย
ระบบสืบพันธุ์
ระบบหายใจ
ระบบกระดูก
ระบบต่อม
การทำงานของระบบต่างๆจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันครับการทำงานที่เป็นปกติของทุกๆระบบจะทำให้เราไม่มีภาวะเจ็บป่วย
ระบบกล้ามเนื้อและระบบกระดูกอันเป็นโครงสร้างหลักในการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นจะทำงานประสานกับระบบประสาทอย่างใกล้ชิดครับ ภายใต้คำสั่งของสมองส่วนหน้า ส่วนกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของระบบเลือด และระบบอื่นๆทั้งหมด พวกนี้ทำงานนอกเหนือจากการคิดและสั่งงานของสมองครับ มันเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ คือสมองไม่ต้องสั่งงานมันก็ทำงานทำหน้าที่ของมันไป
ยกตัวอย่างเช่น การหายใจ การกระพริบตา เมื่อเจอแสงจ้า การบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เมื่อเรากลืนอาหาร การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อเจออากาศหนาวเย็น อะไรทำนองนี้ครับ แล้วการเคลื่อนไหวร่างกาย มีผลต่อสติปัญญาของมนุษย์อย่างไร


ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนอย่างง่ายๆครับ ในคนปกติเมื่อเรายังเป็นทารกแบเบาะ การเคลื่อนไหวร่างกายของเรา จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก ด้วยทั้งร่างกายและสมองของเรา ยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ เมื่อเราค่อยๆเติบโต ระบบประสาทและสมองของเราก็จะค่อยๆพัฒนาไปพร้อมๆกับความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระดังใจคิดนั่นเอง และนั่นก็หมายความว่า ทักษะพื้นฐานในการเคลื่อนไหวร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่การคลาน เดิน วิ่ง ฯลฯไปจนถึงทักษะขั้นสูงอย่างการเต้นระบำนั้น จะเพิ่มพูนพัฒนาไปพร้อมกับระบบประสาทและสมองของเราด้วยละครับ ที่สำคัญครับ การที่เราออกสเต็ปกันบ่อยๆ จะทำให้เราสุขภาพดีเป็นของแถมด้วย


การใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมต่างๆที่นอกเหนือไปจากกิจการงานตามหน้าที่นั้น อาจมีจุดประสงค์แตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัยต่างๆ หลากหลายของบุคคล หากไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับตนเองและคนอื่นแล้ว ผมว่า นั้นก็น่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่เราจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆอย่างที่ใจถวิลหาแล้วละครับ สำหรับกิจกรรมเข้าจังหวะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเลยนะครับคุณผู้อ่าน
I like to move it move it.I like to move it move it. I like to move it move it. You like to move it!
สวัสดีเดือนมีนาครับผม









ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...