วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความหลังเมื่อครั้งเก่า


บางเรื่องราวก็น่าประทับใจเกินกว่าจะเก็บไว้ชื่นชมเพียงลำพัง

สำหรับบางคน เรื่องราวต่อไปนี้ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมาในชีวิตแล้วผ่านไป ขอให้ผู้อ่านลองมองดูเหตุการณ์ผ่านตัวอักษรที่ผมพยายามอย่างยิ่ง ที่จะร้อยเรียงขึ้นจากความทรงจำในวันนั้น ให้จบก่อน แล้วไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของผู้อ่านเอง ว่าเรื่องราวต่อจากนี้ สมควรได้รับการเผยแพร่ออกไปให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้หรือเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล มีไว้อ่านเพื่อความบันเทิงก็พอ อย่างไรก็ตาม ผมต้องการบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่า สิ่งดีๆเรื่องราวดีๆนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ ตราบเท่าที่มนุษย์รู้จักให้คุณค่าความสำคัญกับอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ตัวเราเอง และทุกครั้งที่นึกถึง มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีๆเสมอ
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงมีโอกาสได้ชมภาพประทับใจภาพหนึ่ง  ที่เคยเป็นประเด็น ที่ผู้คนมากมายกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางในโลกอินเตอร์เน็ต  ลุกลามมาถึงสื่อกระแสหลักอย่างสื่อโทรทัศน์ เป็นภาพของนักเรียนช่างกล(ในสื่อระบุอย่างนั้น)ช่วยกันเข็นรถโดยสารประจำทางสายหนึ่ง ที่จอดเสียอยู่กลางถนน ท่ามกลางแดดจ้าและการจราจลที่ติดขัดของเมืองกรุง สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ต่อจากนี้ เป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันมากเหลือเกิน เพียงแต่เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อน และมีลายละเอียดต่างออกไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง
บ่ายวันหนึ่งของฤดูร้อนปี2551ผมเดินทางกลับจากทำธุระ โดยรถโดยสารร่วมประจำทางมินิบัสสีเขียวสาย71
ผู้โดยสารบนรถคันนั้นไม่แออัดมากนัก ทุกที่นั่งเต็ม มีผู้โดยสารยืนประมาณสี่ห้าคน ผมได้มีโอกาสนั่งที่เบาะหลังสุดตรงกลางพอดี พัดลมเพดานนั้นได้ไม่เสีย เพียงแต่มันไม่อาจส่ายหน้าไปทางไหนได้อย่างที่ควรจะเป็น ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมรับอานิสงฆ์จากพัดลมพิการนั้นไปเต็มๆ ขณะที่ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อเหนียวเหนอะหนะ  กลิ่นควันจากท่อไอเสียตลบอบอวนทุกครั้งที่รถจอดติดเป็นเวลานาน แม้จะพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมานาน เดินทางด้วยรถเมล์ร้อนแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ทำให้ผมรู้สึกชินชาแต่อย่างใด ยิ่งทำให้ผมเบื่อหน่าย หงุดหงิดรำคาญแบบนี้ทุกครั้งไป ทำไงได้ล่ะ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ความร้อนอบอ้าวทำเอาผมเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ เริ่มรำคาญผู้โดยสารสองคนที่นั่งติดกัน แขนทั้งซ้ายขวาวางแปะไปกับแขนของคนทั้งสอง เหงื่อเหนียวๆทำให้ผมต้องเอาแขนเช็ดกับขากางเกงอยู่บ่อยครั้ง แถมผู้โดยสารด้านขวามือดันหลับสัปหงก เอาหัวมาชนไหล่ผมอยู่เนืองๆ ด้านขวามือผู้โดยชายยืนบังหน้าต่างอยู่  แกคงร้อนและอยากให้ลมข้างนอกพัดผ่านตัวบ้างเมื่อรถเคลื่อนตัว แต่แกคงลืมว่าคนอื่นในรถก็เหมือนแกนั่นแหละ ด้าน ซ้ายมีอีกคนยืนขวางประตูหลังอยู่เช่นกัน ใจนึกอยากจะถีบหมอนี่ออกไปให้พ้นประตูซะ ลมจะได้พัดเข้ามาให้ชื่นใจบ้าง  จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความอัตคัด ขัดใจไปซะหมด ส่วนไอ้หนุ่มวัยรุ่นที่นั่งเบาะหน้าประตูหลัง ก็คุยโทรศัพท์เสียงดังโขมงโฉงเฉงน่ารำคาญนัก  ขณะที่ผมกำลังหงุดหงิดคิดโทษดินโทษฟ้าด่าชาวบ้านในใจนั่นเอง เจ้ามินิบัสก็เคลื่อนตัวผ่านแยกไฟแดงพระรามเก้าเข้าสู่ย่านรามคำแหง ลมเอื่อยๆผสมกลิ่นควันพัดผ่านผิวที่ชื้นด้วยเหงื่อ ความเย็นทำให้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน  ข้ามแยกมาไม่ถึงป้ายแรกด้วยซ้ำ จู่ๆเครื่องยนต์ก็ดับลง พร้อมกับตัวรถที่หยุดการเคลื่อนตัวกระทันหัน  ผู้โดยสารหลายคนหัวคะมำไปข้างหน้า ที่ยืนอยู่ก็เทตัวไปติดเบาะกันหมด รวมทั้งผมด้วย ชายสัปหงกที่นั่งข้างๆตกใจตื่น มองซ้ายมองขวาหน้าตาเลิกลัก ส่งสายตามาที่ผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น มินิบัสจอดสงบนิ่งอยู่บนถนนเลนส์กลาง รามคำแหงขาออก ตรงทางขึ้นทางยกระดับพอดิบพอดี ในขณะที่ไฟเขียวยังปล่อยรถตามมาจากด้านหลังอยู่เรื่อยๆ รถที่อยู่เลนส์ซ้ายและขวาก็พยายามเคลื่อนไป ส่วนเลนส์กลางที่ตามหลังมินบัสมา ก็ติดแหงกอยู่ตรงนั้น จะออกซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ คนขับมินิบัสพยายามสตาร์ทอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะติด จนต้องร้องตะโกนให้ผู้โดยสารลงไปช่วยเข็น ไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง ผู้โดยสารทั้งชายหญิงกรูลงจากรถ ผู้หญิงก็วิ่งเข้าฟุตบาทข้างทางส่วนผู้ชายมารวมกันที่ท้ายรถ ทั้งหมดช่วยกันเข็น ช่วยกันดันให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ รถค่อยๆเคลื่อนตัวเร็วขึ้น คนขับรอจังหวะให้รถเคลื่อนตัวให้ความเร็วได้ระดับ แล้วหักพวงมาลัยพยายามเบียดเข้าเลนส์ซ้ายพร้อมกับเข้าเกียร์แล้วปล่อยคลัช เสียงกระทบเสียดสีกันของเฟื่องเกียร์ดังขึ้นหนึ่งครา มินิบัสกระตุกกึกๆๆๆเสียงเครื่องยนต์ก็คำรามขึ้นอีกครั้ง คนขับเร่งเครื่องยนต์ซ้ำๆเสียงดังสนั่น ควันดำก้อนใหญ่ถูกพ่นออกมาจากท่อไอเสีย บนฟุตบาทผมได้ยินผู้โดยสารหญิงบางคนปรบมือด้วยความปิติยินดี  พวกเราเองบางคนที่ลงไปเข็นรถก็ปรบมือดีใจกะเค้าด้วย ผู้โดยสารทั้งหมดกรูกลับขึ้นไปบนรถอีกครั้ง ทุกคนหอบเหนื่อย แต่ก็มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม อิ่มเอม คนขับเอ่ยขอบคุณผู้โดยสารด้วยน้ำใสใจจริงอย่างไม่ขาดปาก  เหตุการณ์ที่รถดับแล้วกลับมาคืนชีพใหม่อีกครั้งกินเวลาไม่ถึงสองนาที ช่วงเวลาสั้นๆที่เปี่ยมไปด้วยพลังสามัคคี ร่วมมือร่วมใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนตัวผม ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น และดีใจที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นที่อยู่บนท้องถนนเดือดร้อนหนักมากไปกว่ารถติดตามปกติ  บอกตรงๆว่าผมไม่คิดว่ามินิบัสคันนี้มันจะกลับมาวิ่งได้ในเวลาอันสั้นแบบนั้น ฟ้ามืดลงตั้งแต่ก่อนมาถึงแยกนานแล้ว ช่วงเวลาประมาณทุ่มยาวไปจนถึงดึก เป็นที่รู้กันว่าเส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น รถติดมหาโหดขนาดไหน แต่ค่ำวันนั้น หลังจากเรากลับขึ้นรถ ดูเหมือนพระเจ้ามองเห็นว่าพวกเราได้ทำอะไรไป การเคลื่อนตัวจากหน้าเดอะมอลล์รามฯไปจนถึงแยกลำสาลี(ที่ผมต้องลง)นั้นเป็นไปด้วยความลื่นไหลอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน  เหงื่อชุ่มๆเหือดแห้งไปพร้อมกลับลมเอื่อยๆเมื่อมินิบัสเคลื่อนไปข้างหน้า ผู้โดยสารหลายคนทยอยลงตรงเดอะมอลล์บ้าง บิ๊กซีบ้าง เชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ที่นั่นวันนั้น คงลืมเลือนมันไปบ้างตามกาลเวลา แปลกที่ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าผู้โดยสารคนอื่นๆเป็นเพียงคนแปลกหน้าธรรมดาๆที่ผ่านมาขึ้นรถคันเดียวกัน แล้วก็คงจบจากกันไป ไม่มีความหมายใดๆ  ทั้งสิ้น เหมือนทุกๆครั้ง  แต่หลังจากนี้ พวกเขาจะไม่ธรรมดาอีกแล้วสำหรับผม ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอกันหรือจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เลย ผมกลับถึงที่พักด้วยหัวใจที่พองโตอิ่มเอม นานเท่าไหร่ตั้งแต่มาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ที่ไม่ได้รู้สึกดีๆเช่นนี้
ภาพนักเรียนช่างกลช่วยกันเข็นรถโดยสารฯที่ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง จึงไม่เป็นเพียงภาพประทับใจอย่างที่คนทั่วไปรู้สึก สำหรับผม มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก อาจเพราะผมได้เคยประสบเหตุการณ์แบบนั้นมาด้วยตัวเองก็เป็นได้  

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดิน น้ำ ลมไฟ กับประสบการณ์เฉียดตายเมื่อผมเผาตอซังข้าว



                         
วันนี้ผมตัดสินใจเผาตอซังข้าวในที่นาที่เต็มไปด้วยหญ้ารกทึบ  แม้จะใช้เวลาทำแนวกันไฟเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ แล้วแต่ก็ยังทำไม่เสร็จ อาจต้องทำต่อไปอีกวันหรือสองวัน จึงจะเสร็จสมบูรณ์ การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมปฏิบัติการอันอุกอาจเช่นนี้ หลายครั้งที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้เตรียมแนวกันไฟที่รัดกุมเช่นนี้มาก่อนเลย การเผาที่ผ่านมาจึงจบลงด้วยการระดมชาวบ้านมาช่วยกันดับไฟกันอย่างโกลาหล แต่คราวนี้ ผมมั่นใจว่า เอาอยู่(ไม่เข็ดหลาบ)
 ผมใช้เวลาในทุกๆเย็นประมาณสองหรืออาจถึงสามชั่วโมงในการคราดตอซังข้าวและหญ้าแห้งเป็นแนวไปตามขอบคันนา ให้แน่ใจว่า เมื่อจุดไฟเผาแล้วมันจะไม่ลามไปในที่ๆเราไม่ต้องการ แผนการง่ายๆที่คิดเอาไว้นั้นก็คือ แนวกันไฟต้องล้อมรอบเขตแดนทั้งหมด แล้วค่อยเผาในคราวเดียว
ประมาณสัปดาห์ที่แล้วผมได้ดูข่าวอันน่าสลดใจข่าวนึง เป็นข่าวการเสียชีวิตของชายชราท่านนึง เพราะการเผาตอซังข้าวนั่นเอง ผมไม่ทราบว่าแกพลาดตรงไหน เพราะตามข่าวแกมีกันสองคน น่าจะช่วยเหลือกันได้   หรืออาจเพราะ เรี่ยวแรง กำลังวังชา ความปราดเปรียว คงร่วงโรยไปตามวัย ถึงทำให้แกหนีออกมาจากวงล้อมของไฟไม่ได้ วันที่ได้ข่าวเป็นวันที่ผมเริ่มทำแนวกันไฟไปได้แล้วสองวัน ผมบอกับตัวเองว่า ผมจะไม่เป็นเหมือนชายชราผู้นั้น ข่าวการตายของแกเป็นบทเรียนที่ดีของใครก็ตามที่คิดจะเผาตอซังข้าวและไม่ว่าจะเผาด้วยเหตุผลกลใด
ส่วนตัวผมเองไม่ได้อยากจะเผาตอซังข้าวหรอกครับ แต่ผมอยากเผาหญ้ามากกว่า หญ้าในนาปีนี้มันเยอะมากเหลือเกิน มากซะจนเมื่อมองเห็นที่ไรจะประสาทเสียทุกที ที่มันเยอะขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะใคร ก็เพราะผมเองนั้นแหละครับ ปีที่แล้ว  ผมอยากทดลองหยอดเมล็ดข้าวด้วยอุปกรณ์ที่ไปเจอมาในยูทูป เจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ มันเวิร์คมากๆครับคุณผู้อ่าน รูปร่างลักษณะของมัน ให้คุณผู้อ่านจินตนาการถึงรถเจ็ก ที่ใช้เป็นพาหนะรับจ้างของคนสมัยก่อนนะครับ เพียงแต่ล้อของเจ้านี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณศอกนิดเท่านั้นเอง พอนึกออกไหมครับ หน้าตามันก็ประมาณนี้ครับ มันมีคานเหล็กกลวงเบายื่นออกมาด้านหน้าสำหรับคนลาก ส่วนที่นั่งผู้โดยสารในรถเจ็ก ให้ตัดออกไปนะครับ ระหว่างล้อทั้งสอง จะมีรูปทรงกระบอกพลาสติกถ้าจำไม่ผิดจะมีสี่ถึงห้าลูก เรียงกันเป็นแนวนอน ตรงกลางกระบอกนี่ถูกเจาะไว้สำหรับคานเหล็กที่เชื่อมระหว่างล้อทั้งสองข้าง เจ้ารูปทรงกระบอกนี่แหละครับที่เค้าทำเอาไว้สำหรับใส่เมล็ดพันธ์ข้าวสำหรับหยอดนั่นเองล่ะครับ ลูกนึงก็ประมาณกระป๋องยาพลาสติกที่เราเห็นตามโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย(ปัจจุบันเรียกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน) ออ ทรงกระบอกนั้นจะมีรูที่เจาะไว้รอบๆทั้งด้านซ้ายและขวาสำหรับให้เมล็ดข้าวหล่นลงเมื่อเราเดินลากไปข้างหน้าครับ  แหมพอไปลากจริง ก็เห็นใจควายเลยครับ สมัยก่อนที่ใช้ควายเดินนำหน้าเมื่อไถนา ลากไถพลิกดินขึ้นมาที่ละเมตรๆ ควายมันต้องใช้แรงมากขนาดไหน อุปกรณ์ของผมไม่ได้หนักเหมือนไถเลยซักนิด  แต่ขอบอกว่าโคตรเหนื่อย และใช้แรงมากๆครับ โคลนตมในนามันดูดเรี่ยวแรงไปซะหมด ในคลิป เมื่อชาวนาทดลองหยอดเมล็ดข้าวด้วยอุปรณ์นี้เสร็จแล้วแกก็มีคลิปต่อมาอีกเรื่อยๆ เป็นความคืบหน้าต่างๆหลังจากที่เริ่มหยอดจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ต้นข้าวที่หยอดไปงอกขึ้นเป็นแถวเป็นระเบียบ ระยะห่างระหว่างแถว กว้างสม่ำเสมอ มีหลายอย่างในคลิปที่ผมไม่ได้ทำตาม ซึ่งสำคัญมาก รวมไปถึงการดูแลเอาใจใส่หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์แล้วด้วย
ในคลิปแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เราจะตัดขั้นตอนการถอนกล้าแล้วมาปักดำได้ ซึ่งต้องใช้แรงงานคนมาก แล้วค่าจ้างก็แพงมากขึ้นทุกปี เราสามารถลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและลดต้นทุนในการผลิตลงได้มาก น่าจะเป็นการทำนาที่มีประสิทธิภาพและน่าจะได้ผลผลิตไม่แพ้น่าดำ(ตามคลิป) แล้วเมื่อได้ทดลองใช้จริงแล้ว ผลนะเหรอครับ  ต้นข้าวดันโตไม่ทันหญ้า เพราะปีกลายหลังจากหยอดข้าวเสร็จ ฝนก็ทิ้งช่วงทันที น้ำในนาเริ่มแห้ง เมื่อน้ำไม่ขัง หญ้าก็ไม่เน่าตาย แถมเจริญงอกงามสุดๆ มองไปในท้องนา แทบมองไม่เห็นต้นข้าวเลย ผลผลิตไม่ต้องพูดถึง แม้แต่นาหว่านยังได้ข้าวเยอะกว่าเป็นสองเท่าของนาหยอดของผม การทดลองครั้งแรก ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งเจ็บทั้งอายระคนปนเปกันไป เห็นไหมคุณผู้อ่าน ทำเกษตรนี้ไม่ง่าย(เหมือนในคลิปเลย)จริงไหมครับ แหมถ้าฝนไม่ทิ้งช่วงละก็นะคุณเอ้ยย  ฮีโถ่ ไม่อยากจะคุย (ยังจะกล้าคุยอีกนะ)
กลับมาสู่เหตุการณ์ระทึกขวัญ(ตรงไหน)กันต่อครับ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าแนวกันไฟยังทำไม่เสร็จ แต่ไม่รู้ผีห่าซาตานตนไหนมันดลใจให้ผมตัดสินใจจุดไฟ ไฟที่จะเกือบฌาปณกิจตัวผมเอง
ไฟ
ขณะที่เริ่มผมจุดไฟแช็คสีเหลืองนั่น ในหัวผมมันตั้งคำถามว่า แล้วจะทำแนวกันไฟที่เหลือทันเหรอ แผนของเราคือทำแนวกันไฟรอบเขตแดนให้ครบทุกด้านแล้วค่อยเผาไม่ใช่เหรอ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ท้าทายนั่น ผมเหมือนเด็กเอ๋อๆคนนึง ในตอนนั้นบอกมันไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรมาสิงสู่ เปลวไฟเริ่มลุกลามไปที่ละน้อย  ผมถอยหลังออกมาพอไม่ให้รู้สึกร้อนเกินไป มองพระเพลิงเผาผลาญศัตรูข้าวของผมอย่างสะใจ
ลม
เย็นวันนี้เท่าที่สังเกตุ ผมไม่พบว่าจะมีวี่แววของลมเลย  สี่โมงเย็น ต้นฤดูร้อน แดดร้อนระอุบวกกับไฟในท้องทุ่งทั้งสองส่วนมันผนึกกำลังกันได้อย่างลงตัว ผลักดันให้ผมต้องถอยห่างออกไปไกลขึ้นอีก จนกระทั่งเข้านาทีที่สิบโดยประมาณหลังจากเริ่มจุดไฟ ร่างกายค่อยๆเปียกด้วยเหงื่อไคล้ ฝุ่นผง เขม่าควันไฟเกาะติด ทั้งเรือนกายและอาภรณ์ สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ขณะหนึ่งในเสี้ยววินาที รู้สึกได้ถึงความเย็นแผ่วๆตามแผ่นหลัง และเย็นขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าวายุนั่นเอง มันได้พัดมาเยือนเมื่อไฟเผาผลาญไปกินเนื้อที่ประมาณหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ทั้งหมด  ในคราแรกเริ่ม เพลิงลุกไหม้อย่างเชื่องช้า แล้วค่อยลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงแตกปะทุของหญ้าสด หญ้าแห้ง ตอซัง ตักแตน แมลงน้อยใหญ่ดังสนั่นลั่นทุ่งเมื่อลมพัดเปลวเพลิงโหมโลมเลียไปถึง ความเร็วของการเผาไหม้เพิ่มขึ้นเป็นสองหรืออาจจะสามเท่าของเมื่อสิบนาทีเรกและลมยังคงพัดแรงขึ้น ความกังวลเรื่องระยะของแนวกันไฟที่อาจจะแคบเกินไปในบางจุด ทำให้ผมนึกบางอย่างขึ้นได้  ผมผละออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไปทำบางอย่าง  บางอย่างที่ควรทำตั้งแต่เริ่มจุดไฟแช็คเฮงซวยนั่น
น้ำ
ถังสีพลาสติกเปล่าเก่าๆใบนั้นผมหยิบมาจากหลังบ้าน เพื่อมาทดแทนใบเดิมที่ถูกขโมยไป เดาว่าเป็นฝีมือของคนเก็บของเก่าขาย ผมไม่รู้ว่ามันมีราคาค่างวดขนาดไหน แต่เมื่อมันหายไป มันก็สร้างความเจ็บแค้นใจให้ผมอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยผมใช้มันตักรดต้นไม้ที่หามาปลูกไว้ ตลอดระยะเวลาที่ฟ้าหมดฝนเมื่อปีกลาย มันก็ดูเก่ามากๆเก่าเสียจนไม่คิดว่า จะมีใครมาขโมยเอาไปขาย ให้ตายเถอะ ส่วนเจ้าถังอีกใบนี้ มันก็เข้ามาทำหน้าที่ได้เดือนกว่าๆแล้ว
ผมเริ่มฉุกคิดถึงมัน เมื่อเห็นว่าพระเพลิงที่พิโรธถึงขีดสุดเพราะถูกเจ้าวายุน้อยพัดเย้ยเอา แนวกันไฟบางช่วงที่อาจแคบเกินไปที่จะกั้นเปลวเพลิงอันทรงพลังนี้  วารีผู้อารีย์เท่านั้นที่จะทำให้พระเพลิงสงบลง ความรีบร้อน พื้นนาที่ขรุขระ หญ้ารกชัฏสูงเทียมเข่า เป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับการลำเลี้ยงน้ำหนึ่งถังไปตามจุดต่างๆ  น้ำที่เต็มถังเมื่อต้นทาง ปลายทางจะลดลงไปกว่าลิตร เพราะหกทิ้งไปตามรายทาง จุดที่ล่อแหลมนั้น ไฟก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ผมหิ้วถังน้ำถูลู่ถูกังไปถึง ก็ใช้เหยือกตักน้ำสาด ราด เท หยอด สกัดเปลวเพลิงตามระดับความรุนแรง ว่ากันว่า เขม่าควันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆของการเสียชีวิตเมื่อเกิดเพลิงไหม้ ตอนนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้ว เหงื่อไหลเข้าตาผมแทบจะตลอดเวลา  ทำให้แสบตา น้ำตาก็ไหลจากควันไฟเข้ารม  ระบบหายใจเริ่มทำงานหนักมากขึ้น ผมรู้สึกเหนื่อยมากกว่าครั้งไหนๆตั้งแต่เคยดับไฟมา(แถวนี้ชาวบ้านเผาตอซักข้าวแล้วลามจนผู้ใหญ่บ้านต้องประกาศให้ลูกบ้านออกไปช่วยกันดับอยู่บ่อยครั้ง)สถานการณ์ดูจะวิกฤตมากขึ้นเป็นลำดับ แต่ผมกลับไม่ลนลานเลยซักนิด แค่วิ่งรอกตักน้ำมาดับไฟแทบไม่ทันเท่านั้นเอง ถังที่สอง สาม สี่และห้า ถังแล้วถังเล่า....เจ้าวายุน้อยลดความคะนองลง  พระเพลิงดูใจเย็นขึ้น ผมเริ่มคุมสถานการณ์ได้บ้างแล้ว ไฟยังคงเผาทุกอย่างที่เสนอหน้ามาอยู่ในวิถีของมัน เหลือพื้นที่อีกมากว่าครึ่งที่ไฟยังคงต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์  เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ผมต้องทำแนวกันไฟที่เหลือให้เสร็จก่อนที่ไฟมันจะลามไปเขตแดนทางทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก รวมความยาวประมาณร้อยถึงร้อยห้าสิบเมตร(เพิ่งนึกได้)  ผมรีบจ้ำอ้าวไปหยิบคราด มีดพร้า ตรงไปจุดที่ทำแนวกันไฟค้างไว้  บอกตัวเองซ้ำๆว่าต้องทำได้ๆๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้คิดว่า ผมจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยลำพัง ทั้งๆที่คราวนี้ผมเองน่าจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นมากที่สุดกว่าครั้งไหนในชีวิต
ดิน
ขณะที่ใช้พละกำลังในการลากเศษหญ้าแห้งใบ ไม้ ตอซังและอื่นด้วยคราด ทีละนิ้วที่ละฟุตนั้น จิตใจของผมมันกระเจิดกระเจิง ว้าวุ่น วิตกกังวล เริ่มกลัวและลนลาน ทั้งที่มองเห็นว่ายังอีกไกลมาก กว่าที่ไฟจะลามมาถึง    ลอบรำพึงรำพัน อยู่ในใจ ว่าเหตุไฉน ฟันคราดดูทำไมมันห่างนัก คราดกวาดสิ่งใดก็มิได้ดั่งใจนึก หญ้าแห้งตอซังดูเหมือนมีรากยึดที่มั่นคงแน่นหนากว่าทุกวัน งานที่เริ่มคุ้นชินมากว่าสองสัปดาห์ดูยากเย็นกว่าเดิมหลายเท่า หรือเป็นเพราะวิตกกังวลเกินไปกับเวลาอันจำกัดที่ใช้เพื่อทำแนวกันไฟ เริ่มโทษตัวเองที่ประเมินความศักยภาพของตนสูงเกินจริง ประมาทอานุภาพแห่งไฟ  มั่นใจเกินตัว ทุกความเคลื่อนไหว ถูกอัดแน่นไปด้วยความคิดด้านลบ เรื่องเลวร้ายต่างๆที่จะตามมาถ้าทำแนวกันไฟเสร็จไม่ทัน เหงื่อเค็มยังคงไหลเข้าตาเข้าปากอยู่อย่างนั้นเอง สร้างความหงุดหงิดรำคาญอยู่เนืองๆ เรี่ยวแรงถดถ้อยลงทุกทีๆ วินาทีนั้นผมรู้สึกกระหายน้ำที่สุดในโลก นึกขึ้นได้ว่า นับตั้งแต่อาหารเช้า ผมยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย อืม นี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวัน ไฟลามเข้ามาใกล้เรื่อยๆทีละน้อยๆ  ความคิดที่ว่าผมไม่มีทางทำเสร็จก่อนที่ไฟจะมาถึง มันค่อยๆก่อกวนสมาธิในการทำงานมากขึ้นๆ ผมเหลือทางเลือกอีกหนึ่งทาง คือหยุดทำแนวกั้นไฟเสียแต่ตอนนี้ แล้วรีบตักน้ำมาดับไฟให้หมด แล้วกลับบ้าน ดื่มน้ำเย็นๆอาบน้ำกินข้าว แล้วนอน ไม่มีใครรู้ว่าเราตั้งใจจะทำให้เสร็จเมื่อไหร่อย่างไร  พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว รอบๆตัวมืดลง งานของผมยิ่งยากขึ้นไปอีก ผมยังไม่ได้หยุดมือเลยแม้ซักเพียงครู่ ลากคราดกลับไปกลับมาเพื่อเปิดที่ว่างไม่ให้ไฟลามถึงกันได้ อาาา อีกไม่ถึงสิบเมตร ด้านตะวันตกจะทำเสร็จแล้ว กำลังใจเริ่มมีมาบ้าง  เหลือบไปมองไฟที่ลามมาจากทิศใต้ มันยังอยู่อีกไกลมากทีเดียว เสร็จจากตรงนี้ผมตั้งใจจะทำทางด้านทิศเหนือต่อ คันนาเขตแดนที่คั่นเหนือ(ที่นาชาวบ้าน)และใต้(ที่นาของผม)มีคันนาอีกคันตั้งฉากติดกันอยู่หว่างกลางมองเป็นรูปตัวทีกลับหัวพอดี  ดูจากระยะที่มองเห็นไฟ เปรียบกับเนื้องานที่เหลือ ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าต้องทำได้ทันแน่ ไม่นานแนวกั้นไฟทางตะวันออกเสร็จเรียบร้อย ผมตรงไปทำต่อทางทิศเหนือทันที ไม่แม้เวลาพักหายใจ ผมต้องแข่งกับเวลา ไม่อย่างงั้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผมไม่อยากจะคิดต่อ พยายามดึงความสนใจมาอยู่กับงานตรงหน้า หมาของชาวบ้านแถวนั่นวิ่งออกมาเห่าผม เพราะผมล้ำเข้ามาในที่ของเจ้านายมัน ที่ผมจำเป็นต้องออกมาทำแนวกั้นไฟล้ำมาในที่นาของชาวบ้านแถวนั้น เพราะเมื่อวันก่อน ผมได้เดินสำรวจรอบบริเวณนี้แล้ว พบว่า เขตแดนด้านในมีหญ้าหนาแน่นเกินไป เพราะเป็นนาหว่าน ส่วนที่ของชาวบ้านเป็นนาดำ หญ้าจึงน้อยมากจะทำให้ง่ายกว่าในการทำงาน แนวกันไฟทางทิศเหนือ ผมเริ่มทำจากด้านทิศตะวันตกไล่มาทางตะวันออก จังหวะลากคราดนั้นสม่ำเสมอ จิตใจผมนิ่งขึ้นกว่าสิบนาทีก่อนมาก เรื่อยมาจนหมดครึ่งแรกชิดคันนาที่ตั้งฉากนั้น มีกอหญ้ากอใหญ่อยู่สองสามกอซึ่งจำเป็นต้องถอนออกให้หมด เพราะอาจกลายเป็นเชื้อไฟได้ ผมสับคราดลงที่โค่นก่อหญ้าหนักๆแล้วค่อยๆงัดกอหญ้าขึ้นอย่างที่เคยทำ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หัวคราดหลุดออกจากด้ามไม้ ความหวังของผมพังทลายลงขณะนั้นเอง อุปกรณ์ของผมมีอันเป็นไปซะแล้ว ผมรู้ได้จากประสบการณ์ว่า ระยะเวลาในการซ่อมแซมคราด อุปกรณ์ และแสงสว่างนั้น ผมไม่มีเหลือเลยซักอย่าง แผนต้องเปลี่ยนกระทันหัน ผมหัวเสียสุดๆ หลุดคำหยาบออกมาหลายครั้ง วันนี้ช่างเป็นวันซวยของผมโดยแท้ จากนั้นก็ปรี่ไปคว้าเอาถังตักน้ำตรงไปที่สระทันที จากเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยอยู่แล้วรวมกับที่ผมกระหายน้ำอย่างมาก ยิ่งทำให้ระยะทางเดินไปตักน้ำที่สระดูจะไกลขึ้นกว่าเดิมมาก แนวไฟที่ลามมาเริ่มมีหน้ากว้างขึ้นตามลักษณะพื้นที่ ไม่มีทางให้เลือกแล้ว ผมต้องดับไฟให้หมดเท่านั้น จึงจะกลับบ้านได้ และนั่นจึงจะทำให้มั่นใจว่าที่นาของชาวบ้านไฟลามไปไม่ถึง ถังแรกกว่าจะมาถึง ไฟก็ลุกลามไปมากแล้ว หน้าไฟกว้างมากเหลือเกิน เวลาที่สาดน้ำ ก็มักจะไม่ค่อยโดนจุดที่เราต้องการนัก น้ำบางส่วนจึงสูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์  สู่ถังที่สองเมื่อกลับมาถึง ส่วนที่คิดว่าดับได้แล้วมันดันลุกไหม้ขึ้นอีก ประสิทธิภาพในการสาดน้ำให้สัมฤทธิ์ผลก็น้อยลงเรื่อยๆ  พาลทำให้กำลังใจผมหร่อยหรอลงด้วยเหมือนกัน  นับจากที่ผมเริ่มจุดไฟจนถึงบัดนี้น่าจะเข้าชั่วโมงที่สามแล้ว น้ำถังที่สามถังที่สี่ถังที่ห้าทยอยตักมา แต่สถานการณ์กลับไปเหมือนต้นชั่วโมงแรก รู้สึกท้อใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะดับไปเท่าไหร่ มันก็ยังลุกขึ้นมาไหม้ได้อีก ผมนึกบางอย่างได้อีกแล้ว ผมควรโทรมาบอกที่บ้านให้คนมาช่วยดับไฟน่าจะดีกว่า แต่อีกใจนึงยังหยิ่งยโสอยู่ เพราะกลัวชาวบ้านจะครหาเอาได้  ถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะตักน้ำมานับได้ประมาณซักสิบถังพอดี สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น ผมหยุดยืนมองเปลวไฟที่ลุกโชนเผาผลาญไปเรื่อยๆเพราะเหนื่อยจนแทบจะไม่อยากขยับตัว ฉุกคิดว่า ถ้าตัดสินใจกลับบ้านไปเลยละ ปล่อยให้ไฟแม่งไหม้ไป ใครจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันดีไหม  แล้วก็สลัดความคิดโง่ๆนี้ทิ้งไป เดินตุปัดตุเป๋หิ้วถังจะไปตักน้ำถังที่สิบเอ็ด เมื่อเดินไปใกล้ถึงสระด้วยความอ่อนแรงผมเดินสุดตอไม้บนคันนาเกือบหัวคะมำ แต่ก็เสียหลักล้มลงคลานสี่ขา ตอนนั้นผมเหนื่อยมากๆ อยากทิ้งตัวลงนอนเสียตรงนั้นเลย  ในใจก็นึกอยากจะโทรศัพท์หาคนมาช่วยดับไฟอีก ขณะที่ผมลังเล สิ้นหวัง สิ้นกำลังกายแทบไม่เหลือนั้นเอง มือขวาก็กำดินทรายไว้แน่น ความรู้สึกความคิดต่างๆประเดประดังถาโถมเข้ามา ผมรู้ได้โดยสันชาตญาณว่าผมกำลังจะหมดสิ้นความอดทน ร่างกายโงนเงนไปมา จะล้มไม่ล้มแหล่ ผมยกมือข้างที่กำทรายนนั่นขึ้นมา ดินทรายหมาดๆนั่นค่อยๆไหลผ่านลงตามง่ามนิ้วมือ ผมปัดมือที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายกับกางเกง กะจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรขอความช่วยเหลือ ต้องยอมจำนงเสียแล้ว ไม่จำเป็นต้องเย่อหยิ่งอีกต่อไป แต่แล้วอยู่ดีๆผมก็เข้าใจอะไรๆขึ้นมาได้ในแทบจะทันที  ว่าทำไมผมถึงต้องล้มลงคลานสี่ขาแบบนี้ ทำไมผมต้องกำดินทรายนั่นไว้ คงมีบางสิ่งบางอย่างดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ธุลีดินนี่เอง คือพันธมิตรใหม่ที่จะมาช่วยผมให้ผ่านพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ ผมรวบรวมกำลังที่เหลือ โกยดินทรายหมาดๆริมสระน้ำ ใส่ในถังอย่างรวดเร็วเท่าที่เรี่ยวแรงที่เหลือจะอำนวย พอได้เกือบเต็มถัง ก็ตรงเข้าไปหาดงห่าไฟนรกนั่นอย่างห้าวหาญอีกคราหนึ่ง(ขอเวอร์ซักหน่อยเถิด) ดินทรายเปียกหมาดๆกำแรกถูกซัดหว่านใส่กองเพลิงพิโรธ เนื้อดินกระจายตัวเข้ากลบเปลวไฟอย่างรวดเร็ว มันหยุดการลุกไหม้ได้อย่างน่าทึ่ง จิตใจผมปิติลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก บทมันจะง่ายมันก็ง่ายดายแบบนี้เอง กำลังใจกลับมาแล้ว ผมกำดินขึ้นที่ละกำ แล้วก็หว่าน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆลงไปที่เปลวไฟที่ร้อนระอุอย่างลืมตาย  หน้าไฟที่กว้างจากการลุกลามก็แคบลงเรื่อย ๆ  ห่าเพลิงค่อยๆมอดดับลง และดับสนิทที่สุด ผมใช้ดินทรายหมดไปเพียงสองถังเท่านั้นเอง นึกเจ็บใจตัวเองที่เสียเวลาวิ่งตักน้ำมาดับไฟเป็นสิบถัง รอบๆตัวผมมืดลงพร้อมกับแสงสุดท้ายของเปลวเพลิง เรื่องราวของชายชราที่ตายในการเผาตอซังข้าวย้อนกลับมาสู่ห้วงความคิดผมอีกครั้ง แกคงเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายเหมือนๆผมกระมัง คนหนุ่มอย่างผมยังแทบเกือบตาย ตามข่าวแกอายุตั้งหกสิบกว่า มิน่าแกถึงไม่รอด ผมหยุดความคิดไว้แค่นั้น  ทิ้งตัวลงนอนแผ่สองสลึงกลางทุ่งนาอย่างหมดสภาพ ไม่สนว่าจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนแค่ไหน  มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พบว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนแรม มองเห็นดาวได้ไม่ชัดเจนนัก  ตายังปรับสภาพการมองเห็นได้ไม่เต็มที่ นั่นไม่สำคัญแล้ว    ผมไม่หลงเหลืออารมณ์สุนทรีย์มาชื่นชมดาวอีกแล้ว ตอนนี้มันเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเหมือนจะขาดใจตายลงตรงนั้น  แล้วก็ค่อยๆหลับตาลง  ผมนอนพักตรงนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนลากสังขารอันสกปรกมอมแมมกลับบ้านอย่างทุลักทุเล
และทั้งหมดนั่นคือบางส่วนในวันห่วยๆของผม
ขอบคุณมากนะ ธุลีดิน
ไว้พบกันใหม่ในภายภาคหน้า

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...