วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไม่มีที่ไป

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับผมมิสเตอร์เฮิร์บคนเดิม วันนี้ ผมมีเรื่องราวบางอย่างมาชวนให้คุณผู้อ่านทุกท่าน มาร่วมกันขบคิดกันหน่อย เกี่ยวกับสิ่งของที่เราต้องใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อตอนที่เราไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว สิ่งนั้นที่ผมกำลังจะกล่าวถึงนั่นก็คือ ถุงพลาสติก และบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่เราไม่ต้องการแล้ว เรียกรวมๆว่า ขยะ ก็แล้วกันครับ


ที่ๆผมจากมา ก่อนจะมาพำนักอาศัยอยู่ที่ภูเก็ต เป็นอำเภอเล็กๆทางผ่านระหว่างจังหวัดสองจังหวัด คือ อุบลราชธานี กับ อำนาจเจริญ และหมู่บ้านผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอราวแปดกิโลเมตรเห็นจะได้ ช่วงที่กลับไปอยู่บ้านหลังเรียนจบ ผมสั่งซื้อจักรยานคันเล็กๆแบบพับได้มาหนึ่งคัน เอาไว้ปั่นเล่น หวังฟื้นฟูร่างกายหลังจากเลิกสูบบุหรี่ได้ประมาณเจ็ดแปดเดือน ติดบุหรี่มาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมัธยมต้น ก็ประมาณร่วมๆยี่สิบละครับ ที่สูบมา


พอได้จักรยานคันนี้มา ผมก็ไม่ให้มันต้องคอยนาน ผมเริ่มปั่นในเย็นวันนั้นทันที เป้าหมายคือ ปั่นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทำจริงได้แค่ประมาณ 1-2กิโลเมตรเท่านั้น สำหรับวันแรก ก็ประมาณหนึ่งช่วงเกาะกลางถนนหนึ่งเกาะครับ มันได้เท่านั้นจริงๆ และมันก็เหนื่อยมากๆ สำหรับวันต่อๆมา มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับสภาพร่างกาย ที่ค่อยๆฟิตขึ้นทีละน้อยทีละน้อย จากเกราะกลางถนนหนึ่งเกราะ เริ่มเพิ่มจำนวนเกราะขึ้นเรื่อยๆ ความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ความรื่นรมย์ ความสุนทรีย์ มันมีมาเสริมเพิ่มเติมขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป และมันทำให้ผมอยากจะเพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ อยากจะท้าทายศักยภาพตัวเองว่าจะทำได้ดี มีความแข็งแกร่ง ทรหดได้มากสักเพียงใด ผมใช้เวลาไปได้ไม่ถึงเดือน แล้วระยะทางแปดกิโลจากหมู่บ้านผม ไปสู่ตัวอำเภอ มันก็กลายเป็นอะไรที่เล็กน้อยจุ๋มจิ๋ม และไม่รู้สึกท้าทายสำหรับผมอีกต่อไป


ตลอดระยะทางแปดกิโลเมตร สองข้างทาง มันคือทุ่งนาข้าว ในฤดูกาลเริ่มเพาะปลูก ต้นกล้ามันจะเขียวขจี เรื่อยไปจนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ที่ต้นข้าวจะออกรวงสีทองอร่ามไปทั่วท้องทุ่ง พริ้วไหวไปตามลมหนาว ดูแล้วสบายตา และเพลิดเพลินจนลืมเหนื่อย ทั้งๆที่ตั้งแต่เล็กจนโต ผมก็นั่งผ่านถนนสายนี้เพื่อไปเรียนหนังสืออยู่หลายปีดีดัก เห็นจนชินชาชินตา แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันสวยงามพิเศษอะไรเหมือนอย่างตอนที่ได้ดูเมื่อปั่นจักรยาน อาจจะเพราะรถผมมันเล็ก ล้อแค่ยี่สิบนิ้ว ต่อให้ปั่นจนสุดกำลัง มันก็ไปได้ไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ดี มันเป็นข้อเสียและข้อดีในเวลาเดียวกัน เมื่อมันช้า มันก็ทำให้ผมได้เห็นอะไรๆที่ไม่เคยเห็นเหมือนเมื่อตอนนั่งรถผ่าน และมันก็ไม่ใช่แค่เพียงความสวยงามรื่นรมย์เท่านั้นที่ผมประสบพบเจอ มันมีความมักง่ายไร้วัฒนธรรมของของผู้คนปะปนอยู่ในนั้นด้วย ตลอดระยะทางสิบหกกิโลฯ(ไปกลับ) สองข้างทาง มันเต็มไปด้วยเศษขยะ ถุงพลาสติก แก้วกาแฟ กล่องโฟม ขวดแก้ว เชือกฟาง กล่องนม ฯลฯ ผมไล่ไม่หมดครับมันช่างมีความหลากหลายเยอะแยะมากมายอะไรเช่นนี้ ที่น่าโมโหที่สุดก็ตอนที่เจอคนทิ้งขยะที่ทิ้งกันอย่างหน้าไม่อาย ทิ้งกันต่อหน้าต่อตานี่แหละครับ ที่สำคัญเป็นนักเรียนนักศึกษาคนมีความรู้ มีการศึกษาด้วย โยนแก้วพลาสติก วิ้ว ผ่านหน้าผมไป เด็กๆพวกนี้อยู่บนรถโดยสาร เด็กๆพวกนี้จะโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ถ้าพวกเขาไม่ตายซะก่อน พวกเขาจะยังคงทิ้งอะไรๆแบบนี้ต่อไปได้มากมายอีกตราบชั่วชีวิตพวกเขาเลยละครับ ผมพนันได้เลย อันนี้ที่เห็นตำตานะครับ ส่วนที่ไม่เห็นว่าทิ้งนี่ไม่รู้เป็นใครหน้าไหนบ้าง ซึ่งจริงๆผมก็ไม่อยากรู้หรอกครับว่าคนพวกนี้เป็นใคร ผมแค่อยากรู้ว่าทำไม ถึงทำกันอย่างที่ทำอยู่


จากประสบการณ์ครั้งนั้น มันทำให้ผมเริ่มสังเกตุสองข้างทางอยู่ตลอดเมื่อเดินทางไปไหนมาไหน แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่ใช่แค่แปดกิโลเมตรจากหมู่บ้านผมถึงตัวอำเภอที่ผมอยู่เท่านั้น แต่มันคือถนนแทบทุกสายในประเทศนี้ ที่ผู้คนต่างยินดีจะทิ้งอะไรก็ตามที่ไม่ต้องการ ให้มันพ้นๆตัวออกไป ลงบนถนน ข้างถนน อันที่จริงแล้ว มันคือทุกๆที่ ที่คนพวกนี้ไปถึงครับ หลายๆครั้งผมเห็นเป็นคนขับรถแพงๆผูกไท หลายๆครั้งผมเห็นเป็นถึงระดับครูบาอาจารย์ ล่าสุด(ที่ภูเก็ต สองสามวันมานี่เอง)ผมเห็นเด็กนักเรียนอนุบาลซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ผู้ปกครองกลับบ้านหลังเลิกเรียน ทิ้งแก้วพลาสติกใส่น้ำหวานของแกลงบนพื้นถนนขณะรถวิ่งแซงผมไป ก่อนจะทิ้งแก้วพลาสติกนั่น เด็กคนนั้นมองหน้าและสบตาผมก่อนด้วย เฟดเฟ่ ไม่เคยคิดว่าการกระทำแบบนั้นของคนอื่น มันจะมีผลกับจิตใจของผมเองมากมายขนาดนี้ เด็กมันยังไม่รู้ความครับ มันบอกได้สอนได้ อย่างที่โบราณว่าละครับ ไม้อ่อนดัดง่าย แต่พวกผู้ใหญ่นี้ละครับตัวดีเลย ไปติไปว่าเข้าหน่อยนี่ไม่ได้นะครับ ทำอะไรไม่เคยผิด พูดแล้วมันเต็บกระดองใจจริงๆ ผมเคยคิดและถามตัวเองว่า การศึกษา ความรู้ที่เขามี มันไม่ได้ช่วยเรื่องจิตสำนึกพื้นฐานง่ายๆเช่นการทิ้งขยะในที่ที่ควรทิ้ง บ้างเลยหรืออย่างไร แล้วเราจะหวังอะไรกับประเทศนี้ได้อีก กะอีแค่ทิ้งขยะลงในที่ที่ควรทิ้งก็ยังทำกันไม่ได้เลย คิดเลยเถิดไปถึงขนาดว่า เราเป็นใครถึงได้คิดว่าตัวเองดีกว่าเขาเพียงเพราะเขาไม่ทิ้งขยะลงในที่ๆควรจะทิ้ง ที่ๆมีไว้ให้ทิ้ง ผมไม่ได้คำตอบอะไร มันตื้อไปหมด


ผมเคยเห็นรูปถ่ายในเวบเพจชื่อดังเวบนึง เป็นเวบข่าวสารวาไรตี้ เค้านำเสนอเรื่องราวของขยะในประเทศฟิลิปปินส์ครับ มีหลายๆภาพถ่ายเป็นรูปของขยะสิ่งปฏิกูลจำนวนมหาศาลที่ลอยเอ่ออยู่ในแม่น้ำลำคลอง และชายฝั่งทะเล มันมากมายจนถึงขนาดที่ว่า ให้คุณผู้อ่านนึกถึงผักตบชวาที่มันมีอยู่ในแม่น้ำลำคลอง บึงน้ำต่างในประเทศของเรา ที่มันลอยเป็นแพเป็นพรมสีเขียวครอบคลุมแม่น้ำทั้งสาย จนแทบมองไม่เห็นผืนน้ำเบื้องล่าง นั่นละครับ แบบนั้นเลย แค่เปลี่ยนจากผักตบชวาสีเขียวเป็นขยะหลากสีหลายชนิดแทน บางรูปมีเด็กๆแก้ผ้าเล่นน้ำแล้วยิ้มให้กล้องอีกด้วย ดูสีหน้าแล้วเขาสนุกสนานและไม่เป็นกังวลทุกข์ร้อนไปกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่เลย ให้ตายเถอะ ยอมใจมันจริงๆ ผมได้แต่หวังว่า ไทยแลนด์ของเราจะไม่เดินทางไปถึงจุดนั้น แต่เห็นพฤติกรรมของคนในชาติเราแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ มันอาจจะไปถึงจุดนั้นสักวันก็ได้ หากว่าคนในชาติยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มักง่ายไร้จิตสำนึกเช่นนี้
ผมใช้เวลาคิดใคร่ครวญอยู่หลายปี ว่าจะมีวิธีใดบ้าง ที่จะแก้ไขพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้ หรือไม่ก็ทำอย่างไรให้ตัวผมเองอยู่กับสภาสะแวดล้อมแบบนี้อยู่กับผู้คนแบบนี้ได้อย่างไรให้มีความสุข หรือทุกข์น้อยที่สุด(เหมือนไอ้เด็กในรูปนั่น) เพราะอย่างแรกมันยากเกินไปสำหรับสามัญชนอย่างเรา สุดท้ายคงต้องจบลงตรงคำว่า ปลง เหมือนอย่างเคย ผมเกลียดคำนี้นะ มันเป็นการแสดงการยอมจำนนต่อความอยุติธรรมอย่างราบคาบ มันขมขื่นและน่าสมเพชสิ้นดี


ผลิตภัณฑ์จากพลาสติก มีที่มาจากอุตสหกรรมปิโตรเคมีเป็นต้นทางครับ นักวิทยาศาสตร์ใข้ความรู้เรื่องคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของพลาสติก นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มากมายหลากหลายชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับผู้คน ที่มาของพลาสติกคร่าวๆนั้น มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะครับ ผู้ที่สนใจอยากจะทราบข้อมูลที่ลึกขึ้นกว่านี้ ผมก็นำลิงค์มาให้วาร์ปไปอ่านกันด้วยครับ อาจมีศัพท์แสงที่เฉพาะทางบางเล็กน้อย ก็อ่านข้ามๆไปได้ครับ
http://www.uniontoy.com/articles/41959443/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3??.html


จากที่ลองค้นข้อมูลในหลายๆเวบเพจแล้วพบว่า ข้อมูลในเวบที่ผมนำเสนอในลิงค์ข้างบนนั้น ค่อนข้างจะอ่านเข้าใจง่ายกว่าเวบอื่นๆที่กูเกิ้ลลิสต์มาให้ครับ ไม่เป็นวิชาการมาก แต่พอจะทำให้เข้าใจถึงแหล่งที่มาของพลาสติก และผลิตภัณฑ์จากพลาสติก พลาสติกชนิดต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้


พอค้นข้อมูลมากขึ้น ทำให้ผมได้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกมันสามารถนำมารีไซเคิ้ลได้มาสุดเพียงสามรอบเท่านั้น (เริ่มจากขวดพลาสติกสีใสๆ พอรีไซเคิลสีพลาสติกจะขุ่นขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนครั้งที่ีรีไซเคิ้ลครับ)หลังจากนั้นมันจะมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งคุณสมบัติทางกายภาพที่ไม่เหมาะสำหรับการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใดๆได้อีก เจ้าพลาสติกชนิดนี้ละครับ ที่ผมจะยกมาขอความเห็นจากคุณผู้อ่านทั้งหลายว่า เราควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี


มีเทคโนโลยีนึงที่น่าสนใจครับ คือเทคโนโลยีการเผา(หลอม)ขยะด้วยความร้อนสูง ประมาณ 7,000-15,000 องศาเซนติเกรด ในระบบปิด แล้วจะได้แก๊สจากการเผาไหม้ที่อุณหภูมิ 1,200 องศาเซนติเกรด นำแก๊สที่ได้มาทำความสะอาด(ทำความสะอาดอย่างไรนั้น ในบทความที่ผมอ่านมาไม่ได้ระบุชัดเจน) เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยให้เหลือเฉพาะคาร์บอนมอนน็อคไซด์ คาร์บอนไดอ็อกไซด์ และไฮโดรเจนเท่านั้น เราก็จะได้เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เทอร์ไบน์(กังหัน)ที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าครับ เรียกเชื้อเพลิงชนิดนี้ว่า ซีนแก๊ส (synthesis gas)หรือแก๊สสังเคราะห์นั่นเองละคร้าบ เทคโนโลยีที่ว่านี้ เค้าเรียกเป็นภาษาปะกิตว่า พลาสม่าแก๊สซิฟิเคชั่น (plasma gasification)


*** การบอกอุณหภูมิประจำวันของสถานีวิทยุ แต่เดิมมักใช้คำว่า องศาเซนติเกรด
แต่ภายหลังมักได้ยินคำว่า องศาเซลเซียส แทน
อันที่จริงก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง คือ เซนติเกรด เป็นมาตราส่วนในการวัดอุณหภูมิ
ส่วน เซลเซียส เป็นชื่อของคนที่คิดค้นระบบวัดนี้ขึ้นมา



พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำอธิบายคำว่า
Centigrade scale ไว้ว่า สเกลเซนติเกรด, มาตราส่วนเซนติเกรด : การแบ่งสเกลอุณหภูมิ
ตามแบบเซนติเกรด โดยกำหนดจุดเยือกแข็งให้เป็น 0 องศาเซนติเกรด และ
จุดเดือดเป็น 100 องศาเซนติเกรด



เซลเซียส (Cel-cius) นักฟิสิกส์ชาวสวีเดน เป็นผู้คิดสเกลแบบนี้ขึ้น
โดยในครั้งแรก กำหนดให้จุดเดือดเป็น 0 และจุดเยือกแข็งเป็น 100
ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้สเกลแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน



เซลเซียส ผู้นี้มีชื่อเต็มว่า แอนเดอร์ส เซลเซียส ( Anders Cel-cius ) (พ.ศ.2244-2287).
หมายเหตุ *** ข้อมูลจาก โอเคเนชั่นบล็อก


เทคโนโลยีที่ผมกล่าวไปมีราคาแพงมากครับ ต้นทุนในการสร้างโรงเผาขยะแบบที่ว่านี้ อยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาทเศษๆครับ และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 70เมกกะวัตต์ ตอนนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง ใช้เชื้อเพลิงเป็นขยะประเภทพลาสติก ยาง ไม้ กระดาษ ว่ากันว่าจะข่วยแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้อย่างยั่งยืนที่สุด เพราะ สร้างมลภาวะน้อยกว่า ไม่ก่อสารพิษไดออกซินและฟิวเรน(เวลาเราเผาพวกพลาสติกเราจะได้กลิ่นฉุนของแก๊สสองชนิดนี้ครับ) ไม่มีน้ำมันดิน ขี้เถ้า หรือเถ้าลอย และมีผลผลิต พลอยได้ คือ ตะกรันแร่ที่มีความเสถียร จึงไม่เป็นอันตรายหรือมีความเป็นพิษ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ในธุรกิจก่อสร้าง เป็นต้น ฟังดูแล้วมันเคลิบเคลิ้มดีแท้ ความหวังเรืองรองทาบทอมาตามเส้นขอบฟ้าเลยทีเดียว แต่มันคงไม่เหมาะที่จัดการกับปัญหาขยะในระดับท้องถิ่นแน่ๆ ก็ทุนสูงซะขนาดนั้น แล้วอย่างเราๆท่านๆละ ทำอะไรกันได้บ้าง นี่ละครับที่ผมอย่างให้คุณผู้อ่านมาแชร์ไอเดียกัน ที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีและเงินทุนสูงแบบที่กล่าวมา


ในรายงานข่าวกึ่งสารคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จากฟรีทีวีช่องนึง ผมมีโอกาสได้ดูการแก้ไขปัญหาขยะล้นเมืองในประเทศฟิลิปปินส์ หญิงสาวคนนึงในฟิลิปปินส์ ปิ๊งไอเดียในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกล้นเมือง ด้วยวิธีการที่แสนจะเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ เธอนำขยะพลาสติกรูปแบบต่างๆ นำมาทำความสะอาด ก่อนนำไปตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เธอนำเอาเศษพลาสติกชิ้นเล็กๆเหล่านั้น มาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของอิฐบล็อกคอนกรีตสำหรับงานก่อสร้างครับ อิฐของเธอค่อยๆได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด น้ำหนักเบา เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงนั่นเอง เธอยืนยันว่าคุณภาพอิฐลูกผสมของเธอนั้น ไม่แพ้อิฐบล็อกในท้องตลาดเลย ก็ว่ากันไปครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้ดีในระดับนึง แถมได้ตังค์ด้วย นับถือๆ ถ้าเล่นไพ่นี่ก็คงป็อกเก้าสองเด้งละครับ เอิ้กๆๆๆ


ส่วนผมเองขอเสนอไอเดียแบบนี้ครับ เอาขยะพลาสติกไปทำความสะอาดแล้วทำการย่อยให้เป็นชิ้นเล็กๆก่อน เดี๋ยวๆ มันคุ้นอยู่ป่าววะเฮิร์บเอ้ย ครับ ไม่แค่คุ้นหรอกครับ ผมลอกไอเดียสาวฟิลิปปินส์คนนั้นมาเลยละครับ เอิ้กๆๆๆ คือพอเราได้เศษพลาสติกพวกนี้แล้ว(ยิ่งเล็กเป็นผงได้ยิ่งดีครับ) เราก็จะเอาไปเป็นหนึ่งในส่วนผสมของแอสฟัลท์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อยางมะตอยที่เค้าเอาไว้ผสมกรวดละเอียดลาดถนนนั้นแหละครับ ผมว่ามันต้องเวิร์คแน่นอน ฮ่าๆๆ อันนี้เสนอเฉยๆนะครับ ยังไม่การทดลองหรืองานวิจัยใดๆรองรับทั้งสิ้น มโนเอาล้วนๆครับ เอิ้กๆๆๆ


แล้วคุณผู้อ่านละครับ คิดเห็นกันอย่างไร มีไอเดียอะไรเจ๋งๆที่เคยคิดไว้แล้วยังไม่เคยบอกใครบ้างไหมครับ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาขยะพลาสติกเนี่ย ผมว่ามันไม่ไกลตัวเลยแม้แต่น้อย ว่างๆไม่มีอะไรทำก็ลองคิดลองแชร์กันออกมาได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมาแชร์ในบล็อกผมก็ได้(พูดเหมือนมีคนมาคอมเม้นท์อยู่เป็นสรณะ) ช่องทางใดที่ท่านคิดว่ามันจะสะดวกที่จะนำพาความคิดไอเดียดีๆไปสู่ผู้คนในวงกว้าง ก็ลุยเลยครับ ผมอยู่ข้างคุณผู้อ่านแน่นอน มันคงคงเป็นประโยชน์ต่อสังคมเราบ้างละน่า ปัญหาอะไรที่ว่าใหญ่ๆ พอเราร่วมด้วยช่วยกันแล้ว ปัญหามันก็จะเล็กลงทันใดเลยละครับ เพราะไอ้เจ้าพลาสติกเนี่ย มันมีที่มาครับ เพียงแต่มันไม่มีที่ไปเท่านั้นเอง


พบกันใหม่ตอนหน้าครับทุกท่าน










วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แหมๆๆๆ ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเฮิร์บเอ้ย

ยุ่งน่า ไม่ต้องมายุ่งอะน่า ไอ้เพื่อนบ้าๆมันชอบมาว่า มาว่า มาว่า ว่าเราชุ่ย มาว่าว่ามักง่าย เราว่าไม่ใช่ๆๆแค่ชอบง่ายๆอะไรก็ได้ไม่เรียกว่าชุ่ยน่า ก็แค่ไม่ชอบยาก ก็ต้องให้เรื่องยุ่งยากให้มากเรื่องให้เสียเวลาทำไมละ ง่ายๆก็ได้นี่ ก็ชอบง่าย ๆก็ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ เอาน่ะ....


บางส่วนของเนื้อเพลง ยุ่งน่า อัลบั้มชุด108 1009 ศิลปิน เจตริน วรรตธนสิน วางแผงเมื่อปี 2536 แนวเพลง แร็ป สังกัดค่ายแกรมมี่


ไปๆ ไปลงนรกเสียเถอะที่รัก ฉันจะลงโทษเธอ ไปๆ ไปลงนรกด้วยกันที่รัก ฉันจะลงโทษเธอ เวลา ของเธอหมดแล้ว


ท่อนฮุคของเพลง นางแมว โดยกลุ่มศิลปิน หิน เหล็ก ไฟ อัลบั้มชุด หิน เหล็ก ไฟ วางแผงในปี 2536 เช่นเดียวกัน แนวเพลง เฮฟวี่เมทัล สังกัดค่าย อาร์เอสโปรโมชั่น
ปี2536 เป็นปีที่ผมจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่3 ผมรวบรวมเงินได้สองร้อยเศษๆ เพื่อซื้อเทปคาสเซต ของศิลปินที่ยกมาข้างต้นทั้งสอง ต่างสังกัด ต่างแนวเพลง ด้วยความชื่นชอบจนถึงขึ้นคลั่งไคล้เพลงทั้งสองเพลงนี้ที่ทั้งสองค่าย ส่งไปโปรโมทชิมลางทางวิทยุ และรายการทีวี ใช่ครับ มันอิมแพ็คโดนใจวัยรุ่นอย่างผม อย่างแรง
จะว่าไปแล้วเพลงแนวแร็ปแบบพี่เจ เจตริน ในชุด 108 1009นั้น ก็ไม่ได้เป็นของใหม่ซะทีเดียวในตลาดเพลงบ้านเรา เพราะเมื่อย้อนไปในปี 2534 พี่เจเองก็มีอัลบั้มเพลง ชุด จ เ-ะ บ มาก่อนแล้ว ซึ่งก็มีความเป็นแร็ปอยู่เพียงเล็กน้อยเท่า ในเพลงฝากเลี้ยง ในขณะที่ฝั่งลาดพร้าวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก็มีศิลปินอย่าง พี่ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นคู่แข่ง ความชัดเจนในเรื่องของแร็ป ก็ยังคงดูเบาบางไปไม่ต่างกันนัก ถ้าหากเทียบกับเพลงแร็ปเพลงฮิปฮ็อปจากประเทศต้นตำรับ อาจจะเป็นเพราะแนวเพลงแนวนี้เพิ่งจะได้รับความนิยมได้ไม่นานนักในเมืองไทย(มีเพลง อย่าง you can't touch it ของวง MC hammer แร็ปเปอร์ผิวสี และเพลง ice baby จากศิลปิน Vanila ice แร็ปผิวขาวจากแคนนาดา และเพลง No coke จากศิลปิน Dr. Alban เข้ามาเปิดตลาดเพลงแร็ป เพลงฮิปฮ็อปในเมืองไทย เมื่อประมาณปี2533 ออ มีแร็ปแขกด้วยนะ ตอนนั้นดังมาก)เพราะความใหม่มากนี่เอง ความรู้ความเข้าใจในวิถี โครงสร้าง แก่นแกนของความเป็นแร็ปหรือฮิปฮ็อป ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร และควรจะออกมาในรูปแบบใด ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ของบุคคลากรผู้ผลิต อาจยังมีน้อยอยู่ จึงยังทำให้ค่ายเพลงทั้งสอง ยังไม่ลงลึกถึงความเป็นแร็ปความเป็นฮิปฮ็อปเข้าไปในตัวศิลปิน และผลงานเพลงมากนัก หรืออาจจะกังวลว่าคนฟังจะรับได้ไม่ทันกับความใหม่นี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ในขณะที่ค่ายเพลงอย่างคีตาเรคคอร์ด กลับกล้านำเสนอศิลปินแนวแร็ปฮิปฮ็อปอย่างเต็มรูปแบบจริงๆทั้งภาพลักษณ์ของตัวศิลปิน บีตเพลง จังหวะจะโคน เนื้อหา ที่ดูจะใกล้เคียงกับความเป็นแร็ปจากเมืองนอกมากที่สุด กลุ่มศิลปินกลุ่มนั้นมีชื่อว่า วง ที เค โอ จากอัลบั้มชุด Original Thai rap โดยมีเพลงอย่าง ชักว่าว สี่แยกในดวงใจ และเพลงช้าๆ เป็นเพลงโปรโมท แต่ความเป็นแร็ปแบบออริจินัล กลับไม่ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงชาวไทยมากนัก (แต่ผมโคตรชอบวงนี้เลยครับคุณผู้อ่าน)ผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มศิลปินหัวนอกกลุ่มนี้ ในอีกหลายปีต่อมา พวกเขา ได้ร่วมกันก่อตั้งค่ายเพลงคุณภาพอันเป็นตำนานที่คนรุ่นผมนั้นต่างยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ว่า ถ้าหากศิลปินคนใดกลุ่มใด ได้ออกอัลบั้มเพลงกับค่ายเพลงค่ายนี้ละก็ เป็นอันรู้กันว่า ต้องเชื่อขนมกินได้แน่นอน ค่ายนี้มักจะนำเสนอศิลปิน กลุ่มศิลปิน แนวเพลง มุมมอง แนวคิด ซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย แปลกใหม่ไปจนถึงแปลกแหวกแนวอยู่เสมอ ที่คนฟังอย่างเราๆสามารถรู้สึกได้ผ่านทางผลงานเพลงที่พวกเขานำเสนอนั่นเอง คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก หากผมจะบอกว่า พวกเขาได้สร้างคุณูปการต่างๆขึ้นมากมายในวงการเพลงไทย ค่ายเพลงที่ว่านั้นคือ เบเกอรี่มิวสิค ซึ่งปิดตัวลงไปนานหลายเพลาแล้ว
สำหรับแนวเพลงเฮฟวี่เมทัลในเมืองไทย มันมีประวัติความเป็นมา ยาวนานมาก นานก่อนผมเกิดมากๆด้วย ตั้งแต่ พี่แหลม เมอริสัน พี่โอ้ โอราฬ พรหมใจ พี่ชัคกี้ กีต้าร์เทพ พี่ช.อ้น ณ บางช้าง พี่กิตติ กีต้าร์ปืน โอ้ย เยอะแยะไปหมด ผมเกิดไม่ทันหรอก มีแต่ฟังมาอ่านมาผ่านสื่อทั้งนั้น รุ่นนู้นละครับ ที่เค้าบุกเบิกกรุยทางมาก่อน ที่เห็นผมเรียกพวกแกว่าพี่นี่ ความจริงนี่รุ่นพ่อรุ่นน้าผมทุกคนเลยละครับ หกสิบกว่าเจ็ดสิบกว่าทั้งนั้น แต่ทุกคนที่ว่ามานี่ หัวใจยังวัยรุ่นทุกคนครับ ผมรับรองได้ ไม่ใช่ว่าผมไปรู้จักมักจี่อะไรกับพวกแกหรอกนะครับ แต่มันเป็นเพราะดนตรีร็อคต่างหากเล่า อะโหยๆ เอิ้กๆๆๆ
ตอนเด็กๆสักสิบเอ็ดขวบ ผมยังได้ฟังดิโอราฬโปรเจ็คจากเทปคาสเซตอยู่นะ (2528)ต้องบอกว่า แ-่งโคตรมันเลยครับ ทั้งภาคดนตรี ทั้งเนื้อหาสาระ มันเป็นงานดนตรีที่ทรงคุณค่ามากเลยละครับสำหรับผม เสียงพี่โป่งตอนแกวัยรุ่น(วัยรุ่นตอนปลายๆแล้วละ ตอนนั้นแกน่าจะสัก 24ปี)นี่ มันแผดดังกึกก้อง สะใจ สมวัยคะนองจริงๆ เทคนิคกีต้าร์ ท่อนริฟฟ์ ท่อนโซโล จังหวะลูกล่อลูกชน เบส กลอง คีย์บอร์ด ของสมาชิกในวงมันลงตัว มันเกรี้ยวกราดดุดัน กระแทกกระทั้นรูหูดีจริงๆ โดยเฉพาะเพลง คนหูเหล็ก ครับคุณผู้อ่าน มันเจ๋งสุดๆ สมชื่อเพลงจริงๆ ว่างๆไปเปิดยูทูปฟังอัลบั้มนี้กันดูนะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน


หลายปีมาแล้วที่เครื่องเสียงไพโอเนียร์ของพ่อได้รับใช้เรามา ในวันที่ผมได้เป็นเจ้าของเทปคาสเซตสองม้วนนั้น(เจตรินและหิน เหล็ก ไฟ ) เจ้าเครื่องสเตอริโอเก่าๆเครื่องนี้ มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่และผมก็สามารถเปิดเทปเพลงทั้งสองม้วนนี้ฟังได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะเป็นช่วงปิดเทอม แม้ว่าทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ จะเปิดเพลงฮิตจากทั้งสองอัลบั้มนี้ อยู่เป็นสรณะก็ตาม แต่ผมก็เสพมันดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงโดยไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอ ฟังมันจนซึมซับเข้าสู่กระแสเลือดว่างั้นเถอะ มันเป็นช่วงปิดเทอมที่ผมจดจำมันได้ดีที่สุดในชีวิต เพราะสองอัลบั้มนี้โดยแท้ และแล้ววันนึง ขณะที่ผมฟังและร้องตามเพลงของวงหินเหล็กไฟอยู่ จู่ๆสมองของผม มันก็คิดคำถามอะไรบางอย่างขึ้นมา
"มันจะเป็นยังไงนะ ถ้าหากเรา เอาดนตรีเมทัล ผสมผสานเข้ากับวิธีการร้องแบบแร็ป และฮิปฮ็อป....... เสียงกีต้าร์แตกพร่า ความหนักหน่วงของกลองและเบส ปนไปกับเสียงแร็ปพร่ำบ่น ก่นด่าท้าทาย สไตล์ฮิปฮ็อป มีสัมผัสคล้องจองลื่นไหลพริ้วไหวไม่มีติดขัด ราวกับบทกวีที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้น มันหาได้มีการคิดอ่านตระเตรียมมาก่อนไม่ อะไรแบบนั้น ฮ้า! มันคงจะเป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆไปเลยละ ฮ่าๆๆๆ" คิดแล้ว ผมก็ยิ้มกรุ่มกริ่ม อย่างพออกพอใจ ยังคิดต่อเล่นๆไปอีกว่า ถ้ามีโอกาสได้ออกเทปมีอัลบั้มเป็นของตัวเองละก็ ผมก็จะทำเพลงแนวที่คิดขึ้นเมื่อกี้นี้แหละ ฮึ่ม กูนี่มันอัจฉริยะจริงๆเล้ย เอิ้กๆๆๆให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ(ตอนนั้นยังจับคอร์ดกีต้าร์ได้ไม่กี่เพลงเอง)คิดแล้วก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังราวกับคนเสียสติ เอิ้กๆๆๆ ไอ้บ้าเอ้ย


ในขณะที่อีกซีกโลกนึง แนวดนตรีแนวเพลงที่ผมคิดขึ้นนี้(อาจเป็นไปได้ว่า ผมไม่ได้คิด แต่สมองของผมมันดันจูนไปเจอคลื่นความคิดที่ว่านั้นพอดี) ก็กำลังถูกเพาะพันธุ์ขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย มันเจริญงอกงาม และเติบโต ผลิดอกออกผล และขยายพันธุ์ แตกแขนงออกไปจนผู้คนอีกมากมายมหาศาลทั่วโลกได้เห็นความงดงามของมัน ได้ชื่นชมดอกผลจากดนตรีเมทัลกลายพันธุ์ เมทัลพันธุ์ผสมนี้ คนทั่วโลกเรียกมันว่า นูเมทัล(nu matal หรือ neo matal)



  *** ลิงคินพาร์ก (อังกฤษ: Linkin Park) เป็นวงดนตรีร็อกชาวอเมริกันจากอะกูราฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2539 เป็นศิลปินแนวนูเมทัล ประกอบไปด้วยบทเพลงที่น่าสนใจ และเต็มไปด้วยความหลากหลายของดนตรี ได้แก่ เมทัล ฮิปฮอป อิเล็กทรอนิกส์ อินดัสเตรียล มีกลิ่นอายของฮิปฮอป และมีความเป็นป็อปอยู่ด้วย ประสบความสำเร็จกับอัลบั้มเปิดตัวของวง ไฮบริดทีโอรี ทำให้วงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยยอดจำหน่าย 24 ล้านแผ่น โดยอัลบั้มชุดแรกนี้ได้รับการรับรองระดับเพชรโดย อาร์ไอเอเอ ในปี พ.ศ. 2548 และในระดับทองคำขาวในอีกหลายประเทศ สตูดิโออัลบั้มชุดต่อมา เมทีโอรา ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการติดอันดับ 1 ในชาร์ต บิลบอร์ด 200 ในปี พ.ศ. 2546 และตามด้วยการออกงานแสดงคอนเสิร์ตทัวร์และการกุศลทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2546 เอ็มทีวี 2 ได้จัดให้ลิงคินพาร์กเป็นหนึ่งในหกวงดนตรีที่ดีที่สุดของยุคมิวสิกวิดีโอ และเป็นหนึ่งในสามวงดนตรียอดเยี่ยมแห่งสหัสวรรษใหม่ บิลบอร์ด จัดอันดับให้ลิงคินพาร์กอยู่ในอันดับที่ 19 ในชาร์ตศิลปินยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ลิงคินพาร์กได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินที่ดีที่สุดในยุคปี 2543 ของแบรกเกตแมดเนสโพลล์ในวีเอชวัน ในปี พ.ศ. 2557 ลิงคินพาร์กได้รับการประกาศโดย เคอร์แรง! ว่าเป็น วงดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้
ลิงคินพาร์กได้ทดลองแนวเพลงในแบบอื่นในสตูดิโออัลบั้มชุดถัดมา มินิตส์ทูมิดไนต์ ในปี พ.ศ. 2550 อัลบั้มนี้ได้อันดับหนึ่งในชาร์ต บิลบอร์ด และเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมที่เปิดตัวในสัปดาห์แรกในปีนั้น และได้ทดลองเปลี่ยนแปลงแนวเพลงในการสร้างเสียงรูปแบบใหม่ ๆ ในอัลบั้มชุดที่สี่ อะเทาซันด์ซันส์ ในปี พ.ศ. 2553 ด้วยเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่มากขึ้น ในอัลบั้มชุดที่ห้า ลิฟวิงทิงส์ ในปี พ.ศ. 2555 ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่างจากอัลบั้มที่ผ่านมาทั้งหมด และอัลบั้มชุดที่หก ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดล่าสุด เดอะฮันติงปาร์ตี ในปี พ.ศ. 2557 ได้กลับมาทำผลงานที่มีแนวเพลงแบบฮาร์ดร็อก และได้ทำงานร่วมกับศิลปินรับเชิญหลายท่าน ที่โดดเด่นที่สุดคือการทำผลงานกับนักร้องแร็ป เจย์-ซี เมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยการนำเพลงมาผสมกันในอีพี คอลลิชันคอร์ส และมีผลงานรีมิกซ์อัลบั้ม ได้แก่ รีแอนิเมชัน และ รีชาจด์ ลิงคินพาร์กได้คว้ารางวัลแกรมมีมาแล้วสองครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2545 และ พ.ศ. 2549 และทำยอดจำหน่ายอัลบั้มได้มากกว่า 68 ล้านชุดทั่วโลก รวมทั้งยังก่อตั้งองค์กรมิวสิกฟอร์รีลีฟ ร่วมกับสภากาชาดสากลเมื่อต้นปี พ.ศ. 2548 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 และต่อต้านภาวะโลกร้อน
ที่มาของข้อมูล *** วิกิพีเดีย
ลินคิ้นพาร์คมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากครับ อาจเรียกได้ว่าเป็นหัวหอกเบอร์แรกของนูเมทัล ที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ก็ว่าได้ ผู้อ่านท่านใดสนใจก็เข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันได้ในวิกิพีเดียครับ ไม่ก็เข้าไปพูดคุยกับพวกเขาโดยตรงที่ เฟสบุ๊คแฟนเพจของทางวงเลยก็ได้ครับ ถ้าภาษาปะกิตคุณโอเคนะ ส่วนผม อ่านมาแล้วครับ บอกได้คำเดียวว่า "ขนลุก" ขนลุกทำไม ปวดขี้เหรอ เปล่าครับ แหม่ ฮากริบเลยครับมุกนี้ ถ้าได้ อ่านแล้วจะรู้ว่า พวกเขาเป็นกลุ่มคนดนตรีที่มีความคิดอ่านไม่ธรรมดาจริงๆครับ คิดว่าผู้อ่านคงได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของศิลปินที่เขย่าวงการดนตรีของโลกวงนี้บ้างไม่มากก็น้อย นอกจากลินคิ้นพาร์คแล้ว ก็ยังมีวงอื่นๆเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายเลยครับ สำหรับดนตรีแนวนูเมทัล อย่าง ลิมบิสกิต คอร์น พีโอดี สลิปนอต มีอีกมากมายกว่ายี่สิบวงเชียวครับ ซึ่งก็ได้รับความนิยมและมีกลุ่มแฟนๆหนาแน่นไม่ยิ่งหย่อนกัน แต่ออกจะเฉพาะกลุ่มนิดนึง หากเทียบกับความนิยมของแฟนลินคิ้นพาร์ค ที่จะเป็นเมนสตรีมมากกว่า
ในปัจจุบันนี้(2017)กระแสของนูเมทัลก็เบาบางเจือจางและเสื่อมความนิยมลงไปตามกาลเวลา แม้ซิงเกิ้ลใหม่ของ แอลพี(ลินคิ้นพาร์ค)จะปล่อยซิงเกิ้ลอย่าง เฮฟวี่ ออกมาให้แฟนๆได้ฟังให้หายคิดถึงบ้าง ตั้งแต่เดือนกลางกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ในเมืองไทย กระแสก็ยังแผ่วๆอยู่ ไม่เหมือนงานในยุคแรกๆ หรือยุคต่อๆมา ที่ส่งซิงเกิ้ลออกมาทีไร ก็จะดังเปรี้ยงปร้างฮอตฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองทุกที แฟนๆอาจผิดหวังกับการรอฟังเพลงจังหวะมันๆการแผดเสียงว้ากของนักร้องนำในท่อนฮุคและการแร็ปอันพริ้วไหวของไมค์ อันเปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของทางวงไปแล้ว ซึ่งทั้งสองสิ่งไม่ปรากฏให้เห็นในซิงเกิ้ลใหม่นี้แต่อย่างใด จะว่าไปแล้ว วงนี้ก็อายุเยอะกันแล้วแหละ พลังหนุ่ม ความสด ความคะนอง อะไรๆจากที่เคยขมวดปม เครียดขึง ตึงเขม็ง ทั้งดนตรี แนวคิดโดยรวมก็คงจะคลี่คลายผ่อนปรนไปตามวัยที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นกระมัง อย่างไรก็ตามทางวงก็ประกาศจะวางจำหน่ายอัลบั้มเต็ม ในวันที่19 พฤษภาคม ปีนี้แน่นอน(นั้นก็คือพรุ่งนี้นั่นเอง)สิ้นสุดการรอคอยกันเสียที
สุดท้ายนี้ ผมมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่เป็นดังปรากฏการณ์สำคัญทางด้านดนตรีที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แม้จะเป็นเพียงการคิดคำนึงไปเองของผมคนเดียวก็ตามเถอะ แต่มันไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย ไม่มีใครเดือดร้อนซักหน่อย จริงไหมครับคุณผู้อ่าน เอิ้กๆๆๆ
แล้วเราค่อยมาร่วมรั่วกันใหม่ ในโอกาสต่อไป



วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ป้าขอโทษ นั่งไหมลูก

คุณผู้อ่านคิดว่า สาธุประดิษฐ์กับรังสิตมันไกลกันไหมครับ สำหรับผม มันไม่เคยไกลเลย


หลังจากสอบเอนทรานซ์ติดที่เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯได้อย่างเหนือความคาดหมาย ผมจำต้องย้ายนิวาสสถานจากชนบทอันห่างไกลของเมืองอุบลฯ เจ้ามาพำนักอาศัยในบางกอก ที่ถนนจันทร์ย่านสาธุประดิษฐ์ เป็นบ้านตึกสี่ชั้นในซอยเล็กๆใกล้กับศูนย์การค้าวรรัตน์ หากเดินทางโดยรถเมล์ ผมจะไปถึงโรงเรียนภายในครึ่งชั่งโมง แต่ถ้าเดินลัดตัดเข้าศูนย์การค้าวรรัตน์ มันก็จะถึงภายในครึ่งชั่วโมงเช่นกัน แฮ่! ใช่ครับ รถแม่มติดอิ๊บอ๋ายวายป่วงเลยครับ เอาเป็นว่า เดินเอาเวิร์คสุดแล้ว

หลังจากรายงานตัวและลงทะเบียนที่วิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่ก็พาผมไปฝากเนื้อฝากตัวกับป้าเจ้าของบ้านที่ผมจะไปอยู่ด้วย ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงดี สั่งเสียสั่งลากันสร็จสรรพท่านทั้งสองก็กลับอุบลฯในบ่ายวันนั้นเลย ส่วนผมก็เริ่มต้นใช้ชีวิตในเมืองหลวงเพียงลำพังตั้งแต่นั้นมา แบบเคว้งๆเหวงๆหวิวๆดีพิลึก




เคมีอุตสาหการ (เป็นคณะที่เลือกไว้เป็นลำดับที่สาม คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่178 จากคะแนนเต็ม500 ซึ่งอันที่จริง คิดว่าน่าจะสอบได้คณะที่อยู่ลำดับที่สี่มากกว่าคือ เทคโนโลยีชีวภาพ ม.วิทยาลัยศิลปากร คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้น อยู่ที่128คะแนนจากคะแนนเต็ม500 ส่วนลำดับหนึ่งที่เลือกไว้ คือ วาสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้น อยู่ที่สามร้อยยี่สิบกว่าๆ คณะนี้อยากเรียนมาก แต่ดูคะแนนกับศักยภาพตัวเองแล้วก็ปลงครับ ไม่หวังมาก แต่ก็หวังอยู่นะ ส่วนลำดับที่สองที่เลือกไว้คือ ออกแบบนิเทศศิลป์ ม.ศิลปากร คะแนนต่ำสุดปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่ สองร้อยสามสิบกว่าๆ คณะนี้ก็หวังครับ แต่ก็รู้ตัวเอง เหมือนลำดับที่หนึ่งนั่นแหละครับ)นั่นคือสาขาวิชาที่ผมเรียน เรียนสามปีได้วุฒิ ปวส.(ใช้เวลาเรียนปรับวุฒิฯการศึกษาหนึ่งปี) ใช่ครับ มันคือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาด้านสารเคมีทั่วๆไปตลอดจน เคมีภัณฑ์ต่างๆในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่ว่านั้น มักจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเลี่ยมเสียเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่ารุ่นพี่ที่จบไป มักวนเวียนเกี่ยวข้องอยูในสายงานด้านนี้ ส่วนนึงก็มักจะไปเรียนต่อปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี วิศวกรรมอุตสาหการที่เทคโนพระจอมเกล้าบางมดกัน ขณะที่อีกส่วนนึงก็สามารถเบนเข็มไปต่อปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่เทคโนโลยีมหานครได้ด้วย เพราะที่คณะเรา มีวิชาเขียนแบบเครื่องกล และวิชาอื่นที่เป็นวิชาพื้นฐานด้านวิศวกรรมด้วย ฮ่าๆ งงใช่ไหมครับ ผมยังงงเลย ดูเส้นทางดูอนาคตน่าจะสดใสสวยหรูปูด้วยกลีบกุหลาบใช่ไหมครับคุณผู้ชม เอ๊ย คุณผู้อ่าน แหม่ ถ้ามันง่ายอย่างงั้นมันก็ดีสิครับ




สิ่งแวดล้อมใหม่ๆอะไรๆก็ดูแปลกหูแปลกตาไปซะหมด ทำเอาใจผมเป๋ไม่เป็นท่าเหมือนกัน เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมเห็นตัวเองที่เป็นคนไม่มีความมั่นคงด้านความคิดและจิตใจเอามากๆทีเดียว มีอะไรหลายอย่าง ดึงความสนใจผมออกจากการเรียนหนังสือ มันดึงดูด เย้ายวนใจให้เคลิ้บเคลิ้มเพลิดเพลินไปกับทุกๆอย่างรอบตัว อะไรหลายๆอย่างนั้น รวมเอาตัวผมเองเข้าไปด้วย




กิจกรรมเชียร์รับน้อง ระบบโซตัส เหล้า บุหรี่ รุ่นพี่ เพื่อนใหม่ สาวๆ อิสระเต็มรูปแบบในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปด ผมสนใจใคร่รู้ไปแทบทุกอย่างทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเรียน วิชาอย่างแคลคูลัสเบื้องต้น เคมีอินทรีย์ เคมีวิเคราะห์ อะไรพวกนี้ ซึ่งมันจำเป็นต้องรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อยอดในระดับที่สูงขึ้น มันก็ช่างแสนยากเย็นเกินความเข้าใจของผมเสียเหลือเกินในขณะนั้น แถมความมุมานะบากบั่นของผมมันก็มีน้อยกว่าชาวบ้านเค้าอีกด้วยสิ(ยังเคยคิดว่า หากผมตั้งใจเอาจริงเอาจังเสียตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็ต้องผ่านมันไปได้เหมือนเพื่อนๆในคลาสนั่นแหละ หึๆ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงแล้วละ)อาจารย์ เพื่อนๆรุ่นพี่หลายๆคนพยายามบอกให้เฟรชชี่อย่างพวกเรา ระมัดระวังเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆว่ามันจะส่งผลเสียต่อการเรียน ไอ้เราก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไป พูดก็พูดเถอะ ถึงไม่มีใครบอกผมก็รู้แหละ ผมก็เชื่อว่าใครๆก็รู้ แต่มันห้ามใจไม่อยู่ครับ จิตใจมันไม่พร้อมที่จะเรียนจริงๆ ผมก็อธิบายไม่ถูก ลึกๆผมอาจจะกลัวก็ได้ ถึงได้เอาความมึนเมาเป็นเสาหลักของจิตใจ แต่ผมกลัวอะไรละ หรือมันอาจจะไม่ซับซ้อนลึกซึ้งอะไรอย่างงั้นก็ได้ อาจจะแค่ใจแตก อาจจะเป็นเพราะอยู่ต่างที่ต่างถิ่น รึอาจจะเป็นอะไรก็ไม่รู้สินะ แบบว่ามันไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจจะเรียนเอาซะเลย ใจมันเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ มันมีปัจจัยหลายๆอย่างครับ สุดท้ายมันก็คงเป็นใจผมเองนี้แหละ ที่ภูมิคุ้มกันมันอ่อนไปหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว




ผมกับเพื่อนอีกคนค่อนข้างสนิทกับรุ่นพี่ครับ ก็ไอ้เพื่อนคนนี้แหละที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่ามันเป็นคนเสนองานให้ผมที่ภูเก็ต เราสองคนชื่นชอบการดื่ม ชอบการสังสรรค์ไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่เป็นอย่างมาก ถึงกับตั้งฉายาให้ตัวเองว่าเป็น"คู่หูขวางนรก" กันเลยทีเดียว ใกล้เลิกเรียนจะต้องไปหาข่าวว่ารุ่นพี่เค้าจะไปกินเหล้าที่ไหนกันบ้าง พอรู้สถานที่แน่นอน เราทั้งคู่ก็จะทำเนียนเดินผ่านวงเหล้าโดยบังเอิญ แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามความประสงค์ของเรา สร้างความเบื่อหน่ายเอือมระอา เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น......... ไม่ใช่วงเวียนชีวิต ปัดโถ่ว เอิ้กๆๆๆ เพื่อนคนอื่นๆก็ใช่ว่าไม่ดื่มไม่ดูดหรอกนะ เพียงแต่พวกนั้นมันก็สนใจเรียนเอาใจใส่มากกว่าเท่านั้นเอง เรียนอะไรตรงไหนไม่เข้าใจ มันก็นั่งติวกัน ทำแล็ป(ทดลองปฏิบัติการเพื่อดูคุณสมบัติ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ของสารเคมี เคมีภัณฑ์ต่างๆ และผลที่ได้ มาเขียนรายงานในรูปแบบสมการที่มีส่วนผสมของคณิตศาสตร์และเคมี)มันก็ลอกๆกันนะ มีเก่งๆไม่กี่คนหรอก แต่คนไม่เก่ง มันก็เอาขยันเข้าว่า เข้าหาอาจารย์เข้าหารุ่นพี่ช่วยชี้ทางชี้แนะแตะติวไป ไอ้ผมนี่ เมาค้างทุกวันเรื่องวิชาความรู้ไม่มีเข้าหัว กินเหล้ากันเองเฉพาะในห้องในรุ่นเดียวกันก็ออกบ่อยไป แรกๆมีห้ามปรามตักเตือนเองกันบ้างทั้งเรื่องเรียนเรื่องเหล้า หลังๆนี่ไม่ค่อยห้ามกันแล้ว ไปนำกันอาดหลาด เอิ้กๆๆๆ แต่ไอ้คู่หูผมกับเพื่อนๆในห้องมันยังเอาตัวรอดได้นะ ผมมันก็คงแย่กว่าเขาจริงๆแหละครับ สำหรับเรื่องสำนึกและความรับผิดชอบเนี่ย ไม่ใช่คิดไม่ได้นะครับตอนนั้น เพียงแต่มันทำอย่างที่คิดไม่ได้แค่นั้นแหละ เอิ้กๆๆๆ




จัททร์ถึงศุกร์ผมก็จะมีอีเว้นท์ดื่มกินกับรุ่นพี่รุ่นเพื่อนที่ทุ่งมหาเมฆ ส่วนเสาร์อาทิตย์ ผมจะอุทิตเวลาให้ทุ่งรังสิตครับ เรียกว่าตอนนั้นถ้าขยันเรียนเหมือนขยันกินเหล้าแล้วละก็ ป่านนี้ผมคงกลายเป็นบุคคลากรผู้ทรงคุณค่าในสายงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไปแล้วสินะเนี่ย แหม่ ก็คิวกินเหล้านี่มันแน่นเอี้ยดซะขนาดนั้นนี่น่าคุณผู้อ่าน เอิ้กๆๆๆ


เพื่อนที่รังสิต ก็เป็นพวกกันตั้งแต่เรียนมัธยมนู้นแหละครับ สำหรับเพื่อนคนนี้ ก็เรียนศิลปะที่มหา'ลัยแถวๆนั้นครับ นอกจากเหล้า สิ่งมึนเมา กับศิลปะที่เพื่อนผมเรียนแล้ว สิ่งที่ดึงดูดผมไปที่นั่นทุกๆเสาร์อาทิตย์วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกลครับ นั่นก็คือหม้อ เอ๊ย สาวๆที่พักอยู่หอเดียวกันกับเพื่อนผมนั่นเองละคร้าบ ไม่ได้ติดการกินเหล้าอย่างเดียว ยังติดสัดอีกด้วย เอิ้กๆๆๆ ครับ ไอ้ที่มีอยู่ในสถาบันเราเองก็ดันไม่สนใจใส่ใจ ดันไปสนใจอะไรอื่นไกลอย่างงั้นก็ไม่รู้ เรียนสายวิทย์แต่ไปใกล้ชิดสนิทกับสายศิลป์ อยู่ในเมืองก็ไม่ค่อยชิน ใจมันไปอินแถวปริมณฑลนู้นแน่ะ
ผมก็ใช้ชีวิตแบบนี้ทำนองนี้ไปเรื่อยๆเอื่อยๆ แค่เพียงเทอมเดียวเท่านั้น รู้เรื่องครับ เพื่อนๆรุ่นพี่เค้าเรียนกันสามปี ส่วมผมเรียนเทอมเดียวจบ จบเห่เลยละ ทำไมละ เรียนเก่งไง ถุย เอิ้กๆๆๆ จากที่เคยเสียเวลาไปแล้วหนึ่งปีตอนมัธยม ผมก็ต้องมาเสียเวลาอีกหนึ่งปีที่นี่อีก คราวนี้น่าจะซึ้งแล้วละนะ ไอ้เฮิร์บเอ้ย




มีอยู่ครั้งนึง ที่ผมมากินเหล้ากับเพื่อนที่รังสิตเหมือนอย่างเคย มาร่ำสุรากันตั้งแต่เย็นวันศุกร์ แล้วยังไงไม่รู้ละ ดันติดลมลากยาวไปจนถึงคืนวันอาทิตย์ ซึ่งปกติแล้วเนี่ย ศุกร์เสาร์พวกเราก็จะซัดซะเต็มเหนี่ยว เอาให้หน่ำใจ ตื่นมาเย็นๆวันอาทิตย์ ก็สลายตัวแยกย้ายไปพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันจันทร์ แต่สัปดาห์นั้น วงเหล้ายืดเยื้อไปจนดึก ดื่น แล้วผมก็น็อคคาวง (อีกครั้งหนึ่ง) ตอนใกล้จะหลับจำได้ว่า กำลังจะตีสาม กะว่ากินจนสว่าง(นึกว่าจะไหวทีไรเป็นน็อคทุกทีสิน่า)แล้วค่อยออกไปรอรถเมล์ กินไปคุยไปเหมือนไม่เมา แต่ดันสลบเฉยเลย ตื่นมาอีกที เก้าโมงกว่า อิ๊บอ๋ายแล้ว ซึ่งผมมีเรียนวันจันทร์สิบโมงครึ่งนี่หว่า เอาละสิทีนี้ น้ำเนิ้มไม่อาบมันแล้วครับ ผมคว้ากระเป๋าแล้วรีบกลับอย่างไว แม้เรียนไม่ทันชั่วโมงแรก ขอไปทันชั่วโมงที่สองก็ยังดี ตอนนั้นคิดแบบนั้น


ผมกระโดดขึ้นรถเมล์ปอ.29ที่กำลังแน่นเอี้ยดเข้าไปเบียดเสียดเบียดร่างกับเพื่อนร่วมทางอีกหลายชีวิต นักเรียนนักศึกษา คนทำงานต่างก็แออัดยัดเยียดอยู่ในรถปอ.เก่าๆคันนั้น สภาพของผมตอนนั้น มันดูไม่จืดเลยครับ น้ำไม่ได้อาบ ชุดนักศึกษายับยู่ยี่(ตั้งแต่วันศุกร์) ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แถมแฮ้งค์คอแห้งสุดๆ ตานี่ก็แห้งเชียว สู้แสงไม่ค่อยได้ด้วย รถเคลื่อนตัวออกจากป้ายไปซักพักเดียวเท่านั้น ก็เริ่มติดแถวๆทางเข้ามหาวิทยาลัยรังสิต แล้วก็ติดลากยาวไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้น ผมปลงแล้วละ ว่ายังไงก็ไปไม่ทันเรียนแน่นอน แต่ทำไงได้ ยังไงๆก็ต้องกลับอยู่ดี รถเมล์ก็ค่อยๆกะดึ้บๆไปทีละศอกทีละวา ตอนนั้นเค้ายังก่อสร้างทางยกระดับอยู่เลยครับ ทำให้แถวดอนเมืองนี้รถติดอย่างมหาโหดไร้มนุษยธรรม ว่ากันอย่างงั้นเลยทีเดียว พอรถเคลื่อนเข้าสู่บริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ผมเริ่มหมดแรง ง่วงและเพลียสุดๆ มือขวาโหนราวจับ ยืนพิงเบาะที่นั่ง หัวก็โยกคลอนตามจังหวะรถออกตัว เบรค โคลงเคลงไปมา สัปหงกซ้ายทีขวาที จะหลับแหล่มิหลับแหล่แต่ยังพอมีสติอยู่ ป้าคนนึงแกนั่งอยู่ฝั่งในติดกับที่ผมยืนพิงพอดี แกมองผมแบบหวั่นใจตั้งแต่ตอนผมขึ้นมายืนข้างที่นั่งแกใหม่ๆแล้วละ ไม่หวั่นได้ไง ก็สภาพเยินออกอย่างงั้นนี่น่า เอิ้กๆๆๆ
รถเคลื่อนไปเกือบจะถึงหลักสี่อยู่แล้ว มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเผลอหลับสิ้นสติสมประดีไปกลางอากาศ มือขวาที่โหนราวอยู่หลุดออกมา น้ำหนักตัวของผมทิ้งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับข้อศอกขวาของผม ก็ทิ้งดิ่งสับลงกลางกบาลของคุณป้าท่านนั้นอย่างจังเช่นกัน ยังกะจาพนมในหนังองค์บากไม่มีผิด ไม่ใช้แสตนด์อิน เล่นจริงเจ็บจริง
...........หน้าผากก็ดูโหน๊กโหนก หน้าอกไม่รู้เอามาจากไหน ประเดี๋ยวก็ "ปั่ก" เข้าให้........
 ผมสะดุ้งตื่นขึ้นในทันที เกือบจะหงายหลังอยู่แล้ว ดีที่ในรถคนมันแน่นมาก ตัวผมก็พอจะยังยืนหลังพิงผู้โดยสารคนอื่นได้อยู่ และมีมืออีกสองมือคว้าผมแขนเอาไว้ได้ทันควัน ไม่งั้นละก้อ คงได้เกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นนั้นแหละ ส่วนคุณป้าคนนั้นน่ะเหรอ แกก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติพร้อมกับเอี้ยวตัวยื่นมือทั้งสองข้างมาคว้าแขนท่อนผมของผมไว้(ใช่ครับ สองมือที่ว่าไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็คือมือของคุณป้าคนนี้นี่แหละ) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วฉับพลันอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อนจากหญิงวัยชราอย่างคุณป้าท่านนี้เลยครับ รวดเร็วแข็งแรงอย่างจอมยุทธ์ผู้มีพลังลมปราณแข็งกล้า ช่างน่าทึ่งจริงๆ แล้วแกก็เอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ว่า "ป้าขอโทษ นั่งไหมลูก" ตอนนั้นผมทั้งอึ้งทั้งอายผสมไปด้วยความงงงวยเล็กน้อย ทั้งรู้สึกผิดที่ทำร้ายแกโดยไม่ตั้งใจ รีบยกมือไหว้แล้วขอโทษขอโพยแกเสียยกใหญ่ บอกแกว่าผมไม่ได้ตั้งใจเลยซักนิด(ป้าแกอาจนึกในใจว่า ขนาดมึงไม่ตั้งใจยังล่อซะกลางกบาลกูเลย ถ้ามึงตั้งใจนี่มันจะขนาดไหน) แกก็บอกไม่เป็นไรลูก คนนี่มองกันใหญ่เลยครับ ผมนี่อยากจะหายตัวได้จริงๆเลยวินาทีนั้น แล้วแกก็กล่อมให้ผมนั่งแทนแก (สงสัยแกคงกลัวโดนอีกดอก ถ้าขืนให้ผมยืนหลับอีก เอิ้กๆๆๆ) เพราะแกบอกเห็นสภาพผมตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ว่าท่าทางจะไม่ไหว ผมก็ไม่ไหวจริงๆด้วยแหละ ผมก็อิดออดครับเกรงใจแก มีอย่างที่ไหน เอาศอกไปสับกบาลหญิงแก่เอาที่นั่ง ไอ้บักห่าเฮิร์บเอ้ย คิดแล้วไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เอิ้กๆๆๆ สุดท้าย ผมก็ต้องยอมรับน้ำใจแกไว้ครับ ก่อนนั่งก็ขอบคุณแกอีกหลายๆทีเลยครับ มันเหมือนกับไปเบ่งเอาที่นั่งกับคนแก่เลยอะ สาวๆนักศึกษา สาวออฟฟิสที่ยืนๆอยู่นี่ถึงกับเบ้ปาก ทำหน้าเหม็นขี้ใส่ผมกันยกใหญ่เชียวครับ ผมนี่โคตรอาย อายจนไม่รู้จะอายยังไง นั่งอายได้ไม่นาน ผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


 มาตื่นอีกทีตอนใกล้จะถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว คุณป้าท่านนั้นไม่อยู่แล้ว แกเป็นใครหน้าตาเป็นอย่างไร ผมก็จำไม่ได้เลย รถดูว่างมากกว่าตอนที่ผมจะหลับเยอะทีเดียว เวลาตอนนั้นน่าจะสักสิบเอ็ดโมง แดดตอนนี่แรงราวกับจะย่างไก่ให้สุกได้เลยก็ปานนั้น มันร้อนทะลุรถแอร์เข้ามาเลยครับ ได้หลับได้พักบ้างก็สดชื่นขึ้นมานิดหน่อย นี่ยังต้องต่อรถเมล์62ไปอีกไม่น้อยกว่าครึ่งชั่งโมง กว่าจะถึงที่พัก ต้องขอกลับไปซักล้างตัวเองซะหน่อย ก่อนจะย้อนกลับเข้ามาเรียนคาบบ่าย วิชาที่เรียนเช้า ผมก็ขาดไป ส่วนคาบบ่ายก็เรียนๆแบบง่วงๆเบลอๆไป พอตกเย็นก็เริ่มเงี่ยหู คอยฟังข่าว ว่าวงเหล้าของชาวคณะ เค้าจะสัญจรไปที่ไหน เพื่อจะได้ทำเนียนไปแจมเหมือนอย่างเคย แล้ววงจรอุบาทว์ก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้นอีกครั้ง ชีวิตมันช่างลั๊นลาดีแท้ ชีวิตของ*เอกอัครราชตู้ด


 สุดสัปดาห์นั้น ผมได้บทเรียนสำคัญหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมเข็ดหลาบอยู่ดี มีอีกหลายครั้งที่ความเมา(จากรังสิต) นำผมไปสู่สถานการณ์อันยากลำบากและวิกฤต ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าเพียงผมดื่มกินแต่พอประมาณ และประมาณตนเอง






แม้จะผ่านไปเกือบ20ปีแล้ว ผมก็ยังรู้สึกผิดกับคุณป้าท่านนั้นอยู่ครับ แล้วผมก็กราบขอโทษคุณป้าจากใจจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้งมา ณ ที่นี้ด้วย ขอให้คุณป้าท่านนั้นจงมีความสุขความเจริญ จากอภัยทานที่คุณป้าทานให้ผมตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนด้วยเถิด


ขอบคุณคุณผู้อ่านที่ติดตาม แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า


หมายเหตุ*เอกอัครราชตู้ด เป็นคำศัพท์ที่ไอ้เพื่อนยากผู้จากไปของผมได้บัญญัติขึ้นเมื่อสมัยที่เรายังเป็นหนุ่มกระทง มีความหมายคร่าวๆว่า " คอสุราที่ขัดสนทุนทรัพย์ มักจะไปนั่งร่วมวงดื่มกินกับผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือลัทธิทางการเมือง โดยมอบบริการในรูปแบบอารมณ์ขันและความบันเทิงเริงใจ สร้างบรรยากาศ อันน่ารื่นรมย์ให้เหมาะสมแก่การดื่มกินเป็นสิ่งตอบแทน" ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่า" ตลกแ-ก "ครับ เอิ้กๆๆๆ
อ๊ะๆ คุณผู้อ่านอย่าทำหน้าเหม็นขี้อย่างงั้นสิครับ ผมอายนะครับเนี่ย เอิ้กๆๆๆ

วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไม่มีชื่อเรื่อง

สามสี่วันมานี้ ผมมีอาการบาดเจ็บจาก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทครับ วันแรกที่เกิดอาการ เจ็บมากๆจะลุกจะนั่งจะนอนจะเปลี่ยนอิริยาบททีนี่ มันช่างเป็นเรื่องยากลำบาก ในตอนที่เริ่มเจ็บสันหลัง บริเวณเอวจนถึงเกือบกระดูกก้นกบ ก็เป็นช่วงเวลาที่เลิกงานตอนเย็นพอดี นับว่าเป็นโชคดีชั้นแรก เพราะแม้จะเริ่มมีอาการเจ็บปวดที่ไม่ประณีประนอมและเฉียบพลัน มันก็ยังพอมีเวลาพักอยู่บ้าง โชคชั้นที่สองวันรุ่งขึ้นก็ได้หยุดงาน(โดยที่ยังไม่ได้แจ้งที่ทำงานว่ามีอาการบาดเจ็บ)ก็ประจวบเหมาะครับ ตอนแรกที่ไม่บอกทางนั้นไปเพราะคิดว่าพรุ่งนี้มันคงหาย แต่มันไม่อย่างนั้นสิครับ เช้าตื่นขึ้นมาผมลุกแทบไม่ขึ้น บิดตัวที่นี่มันเจ็บสะท้านไปทั้งตัว ต้องค่อยๆขยับทีละนิดๆ คุณผู้อ่านลองนึกภาพคนแก่ๆหลังโก่ง (ยืดตัวตรงไม่ได้ครับตอนแรกๆ เพราะเจ็บมาก ต้องค่อยหาอะไรเกาะ แล้วค่อยๆดึงตัวยืดขึ้น กว่าจะตรงก็เจ็บและใช้เวลาก็มากโขอยู่)ยักแย่ยักยัน โยงโย้ เชื่องช้าน่ารำคาญ นั่นละ ผมเลยครับ ผมเลยลองปิดกูเกิ้ลโดยใช้คีย์เวิร์ดว่า หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท(สันนิฐาน) อากู๋ก็ลิสต์ข้อมูลมายาวเฟื้อย อ่านบทความทางการแพทย์อยู่สามสี่ฉบับ ก็แน่ใจโดยไม่ต้องปรึกษาหมอเลย ว่า ใช่แน่ๆ ทั้งพฤติกรรมการนั่งที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน อุบัติเหตุล้มหงายหลังตอนไปเที่ยวน้ำตกก่อนหน้าที่เกิดอาการหนึ่งวัน และการจามที่ไม่สมบูรณ์ คือยังไงไม่สมบูรณ์ คือตอนคนเราจามเนี่ย ลมมันจะดันออกทั้งทางปาก จมูกหรือแม้แต่หูหรือทวารหนักใช่ไหมครับ แต่นี่ มันยังไงไม่รู้ ผมจามวันนั้นลมมันดันไม่ออกจากร่างกาย มันเหมือนโดนกั๊กๆ แล้วลมมันก็ดันกลับเข้าช่องท้องเฉยเลย ทำให้ไอ้หมอนรองกระดูกสันหลังของผมมันเลยแลบออกมาดันเส้นประสาทซะ ซึ่งมันตรงกับพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหมดที่บทความได้เขียนไว้เป๊ะ อ่านถึงตรงนั้นก็ซีดเลยครับ ยังไงดีวะกู ใจมันคิดไปถึงอัมพฤกอัมพาตเดินไม่ได้ไปนู้นแน่ะ พออ่านไปเรื่อย เค้าก็บอกแนวทางการบำบัดรักษามาเป็นข้อๆ ก็สรุปได้ว่า อาการอย่างผมนี่ ยังไม่ต้องต้องขั้นไปขึ้นเขียงให้คุณหมอผ่าตัดแต่อย่างใด เพียงแต่ให้ระมัดระวัง ไม่ให้เราทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ เพิ่มเติมด้วยกายภาพบำบัด ยืดกระดูกสันหลัง (ด้วยการโหนบาร์ แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงพื้น ขอบอกว่าช่วยได้จริงครับ)ส่วนอาการเจ็บปวด ก็ให้กินยาบรรเทาไป ออ ผมเปิดยูทูปดูท่ากายบริหารโยคะบำบัดอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทดูด้วยครับ ดูไปก็ทำตามไป มันก็ช่วยได้อีกเหมือนกัน แต่ผมไม่แนะนำให้คุณผู้อ่านทำแบบผมนะครับ เจ็บป่วยอะไรปรึกษาคุณหมอนั่นน่ะถูกต้องที่สุด ผมไม่ได้กลัวหมอ แต่กลัวไม่มีตังค์จ่ายค่าหมอต่างหาก เอิ้กๆๆๆ ถึงวันนี้ก็ดีขึ้นมากครับ จากวันแรกที่เกิดอาการ ถึงจะยังมีอาการเจ็บอยู่เรื่อยก็ตาม แต่ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในทางบวก



คิดอยู่หลายวันเหมือนกันครับ ว่าจะหาเรื่องราวอันใดที่มันมีประโยชน์มานำเสนอคุณผู้อ่านดี สรุปได้ความสั้นๆว่า คิดไม่ออกครับ ก็เลยจะเอาของเก่ามาขายไปพลางๆก่อน แหะๆ เริ่มหมดมุขตั้งแต่เดือนที่แล้วๆละครับ เอิ้กๆๆๆ จริงๆก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยหรอกครับ มีเยอะเลยแหละ ผมไปอ่านเจออะไรที่น่าสนใจมาเยอะนะ เพียงแต่ผมต้องขอเวลากลั่นกรองอีกหน่อย ในตอนนี้จึงขอนำเสนอของเก่าที่มีอยู่แล้วแก้ขัดไปก่อน แต่หยิบมาเล่าใหม่อีกครั้ง อีกแล้วครับท่าน เป็นเพลงที่เขียนเมื่อประมาณปี54 ถ้าจำไม่ผิดนะครับ เนื้อหาก็จะพูดถึงเรื่องการรักษาคำพูด ซึ่งคนเรา บางทีก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ว่ากันไป เป็นเพลงจังหวะกลางๆ ไม่ช้าไม่เร็ว ผมอยากทำให้มันเสร็จเป็นเพลงให้คุณผู้อ่านได้ฟังเร็วๆจริงๆนะครับ แต่ก็ด้วยข้อจำกัดที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ ก็เอาเท่าที่ได้ไปก่อนแล้วกัน เพลงนี้ผมตั้งชื่อว่า ผิดสัญญา ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง สัญญา ของชาวคณะ แบล็คเฮด ในอัลบั้มชุด full flavor เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน กล่าวคือ มีแนวทางเดินคอร์ดเหมือน นิดนึง เนื้อหา จะพูดเรื่องสัญญาเหมือนกัน เพียงแต่ เนื้อหาเพลงของผมมันทำตามคำพูดไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ในเมื่อทำอย่างที่พูดไม่ได้ มันก็เหมือนคนไร้สัจจะดีๆนี่เอง ส่วนเมโลดี้ จะฟังสบายๆครับ ไม่ซีรีอัสจริงจังเหมือนเนื้อหาสักเท่าไหร่ ไปดูกันเลยครับ


ผิดสัญญา


intro:Dmaj7 Amaj7 Dmaj7 Amaj7








Dmaj7คำที่เคยบอกกันว่ารัก ที่เคยบอกกันว่าAmaj7จะอยู่ ด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไร
Dmaj7แม้ว่าวันนี้อาจไม่เป็นเช่น ดังที่เคยได้Amaj7พูดไป แต่ในใจก็ยังคงBm7หวัง
ว่าC#m7สักวันนึงCm7 จะBm7มา เริ่มC#m7ต้นกันใหม่ Cm7แห่งBm7ไหน สักC#m7ที่หนึ่ง Cm7ในBm7ห้วงแห่งวันเวEลา


Dmaj7คำที่ฉันบอกฉันยังหวัง ที่อาจฟังดูแล้ว Amaj7เพ้อเจอ แต่ว่ามันไม่เคยทำร้ายใคร
Dmaj7รู้ว่าในความเป็นจริงนั้น วันเวลาไม่เคยย้อนAmaj7คืนกลับ อาจกลับมาได้แค่เพียง
ความBm7ทรง C#m7จำ Cm7ภาพBm7ฝัน ในวันC#m7วาน Cm7ไม่Bm7จาง ยังC#m7รู้สึก Cm7ยัง Bm7คงชัดเจนในEใจ
และAmaj7ในโลกแห่งความจริงนี้ บางทีทำได้แค่Dmaj7เพียงบางอย่าง บางอย่างทำได้แค่เฝ้าดู Amaj7กาลเวลาจะบอกให้รู้ ว่าสิ่งที่เราDmaj7นั้นมีอยู่ในวันC#m7นี้ เราCm7 Bm7อาจรู้ค่าก็ต่อเมื่อEเรา ได้เสียมันDmaj7ไป


อยากให้เธอเข้าAmaj7ใจ ถ้าหาก ว่าฉัน ไม่อาจทำDmaj7ตามที่พูดเอาไว้ คำสัญญาใดAmaj7ใด ไม่เพียงจะทำร้ายใจของเธอเท่าDmaj7นั้น ยังทำร้ายใจของฉันเช่นAmaj7กัน Dmaj7ทุกคราวที่คิดถึงมันเจ็บปวด ทุกคราวที่คิดถึงคำ Amaj7สัญญา


มันออกจะเทาๆหม่นๆหน่อย พร่ำเพ้อหาอดีตความทรงจำอันแสนงดงาม อะไรทำนองนั้นละครับ ปี54 ผมก็อายุ 34 มันก็เริ่มหวนคิดถึงวันเก่าบ้างแล้ว ผมว่าคนช่วงวัยเดียวกับผมนี่ก็เริ่มเป็นอย่างงี้บ้างละน่า ช่วงปี53 54นี่เองที่ผมเริ่มทำบล็อกที่ชอบๆ เริ่มทำอะไรที่อยากทำหลายๆอย่าง ที่ตอนสมัยเรียน และตอนที่มีเพื่อนฝูงมากมายรายล้อม มันก็ไม่เอื้อให้มีสมาธิที่จะทำอะไรที่อยากจะทำเท่าไหร่ การกลับไปอยู่บ้านนั่งๆนอนๆของผมเมื่อหกเจ็ดปีก่อน ก็ไม่ได้ถือว่าสูญเปล่า เพียงแต่ไอ้สิ่งที่ผมทำและอยากทำเนี่ย มันเปลี่ยนไปเป็นเงินทองสำหรับเลี้ยงชีพไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหากผมเอาเรื่องเงินทองมาเป็นตัวตั้ง ทิศทาง ปริมาณของงานผมมันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้ ไม่รู้สินะ มันควรจะออกมาในแนวทางไหนผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แหม่ พูดเหมือนมึงรวยแล้วอย่างงั้นเลย ไอ้เฮิร์บ ความจริงมันตรงกันข้ามมากเลยละครับ เอิ้กๆๆๆ แปปๆผ่านไปหกเจ็ดปีแล้ว อายุสี่สิบแบบไม่ทันตั้งตัวเลยครับ ผมเคยอ่านมาว่าคนเรา พอถึงช่วงอายุสามสิบกลางๆ เค้าว่ากันว่า วันเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งอายุเยอะขึ้นๆ ก็จะยิ่งรู้สึกเร็วขึ้นเรื่อยๆแปรผันตามอายุเลยว่างั้น พอถึงวันนี้ ผมก็รู้สึกอย่างที่เขาว่ามาจริงๆ มันจะเหลือเวลาให้เราได้คิดได้ทำอะไรอีกสักเท่าไหร่กัน น่าใจหายจริงๆ ภาวนาให้ไฟแห่งการสร้างสรรค์ของผมมันไม่มอดไหม้ดับไปตามวันเวลาก็พอ


หวังว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่าน จะยังคงเข้ามาให้กำลังใจกันอยู่เรื่อยๆนะครับ อยากให้คุณผู้อ่านมีไฟไปด้วยกันครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดีวันวิสาขบูชา สาธุครับ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...