วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ผมเคยเชื่อ วันนี้ความเชื่อเหล่านั้นอาจจะต้องสั่นคลอนเสียแล้ว ต่อ

จากกระทู้ (ในเวบนี้เค้าเรียกกันว่ากระทง) เรื่องราวลึกลับน่าฉงนหลายกระทู้ ได้กล่าวถึง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่บ่งชี้ว่า น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา เป็นผู้สอนให้มนุษย์รู้จักสร้างอารยธรรม รู้จักเทคโนโลยี เกษตรกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรมและ อื่นๆ
หากผู้อ่านท่านใด มีโอกาสชมสารคดีทางเคเบิ้ลชื่อดัง ก็คงจะผ่านหูผ่านตามาบ้าง กับสารคดีที่กล่าวถึงเรื่องราวของหินสลัก ในพีรามิดของอียิปต์ รูปสลักเหล่านั้น มีทั้งรูปเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำ จรวด ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันว่า เมื่อหลายพันปีมาแล้ว คนสมัยนั้นเคยเห็นและรู้จักยานพานะที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้งสูงสร้างขึ้น ได้อย่างไร ในบทความที่ผมได้อ่านจากเวบไซต์ที่ว่า ก็มีเรื่องนี้ รวมอยู่ด้วย
           แต่บทความเดียวกันที่ผมทึ่งมาก เป็นหลักฐานที่เป็นลูกโลหะหลอมทรงกลมสีดำ มีการสลักลายอักขระเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง ขนาดประมาณ ลูกปิงปองครับ ค้นพบในถ้ำแห่งนึงในแถบยุโรป จากการตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาตร์เพื่อจะหาอายุของลูกโลหะก้อนนี้ ทำให้ผมต้องตะลึง เพราะในบทความบทนี้บอกว่า มันมีอายุมากว่าแสนปี แสนปี ถูกแล้วครับ ผู้อ่าน อ่านไม่ผิดแน่นอน หนักกว่าที่อิยิปต์อีกครับ ใครจะมีเทคโนโลยีการหลอมโลหะ เมื่อแสนปีที่แล้วกันละครับ รึว่านักวิทยาศาสตร์เค้ามาโม้หลอกเราเล่นซะก็ไม่รู้
          ในบทความได้มีการกล่าวอ้างถึง สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเหล่านี้ว่า มิได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น เค้าอ้างถึงสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกนู้นแน่ะครับ มนุษย์ต่างดาวนั่นแหละครับว่ากันง่ายๆ
ว่ากันว่า มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ เข้ามายังเพื่อถ่ายทอดสิ่งต่างๆให้มนุษย์ และมนุษย์เรา ก็นับถือมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ในฐานะ เทพเจ้าผู้สูงส่งที่มาจากฟากฟ้า ว่ากันไปนู้น
          พอลองมานั่งพิจารณาดู จากหลักฐาน ทฤษฎี ที่นำมาอ้างอิง ก็พอจะเห็นความเชื่อมโยงกันอยู่ไม่น้อย จากที่ผมคิดและเชื่อมาตลอดว่ามนุษย์เเรา ผ่านการวิฒนาการ ฝ่าฟันบททดสอบการคัดเลือกของธรรมชาติ มาได้ตัวตัวของเราเอง ก็เริ่มเขวๆไปบ้างแล้วละ ในท้ายสุดก็อยู่ที่เราแล้วครับ ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ซึ่งก็ไม่มีผิดไม่มีถูกอยู่ดี ไหนๆก็ไหนๆ ติดตามไปอ่านต่อในลิ้งต่อไปนี้เลยครับ
http://atcloud.com/stories/85244
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ
      

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ผมเคยเชื่อ วันนี้ความเชื่อเหล่านั้นอาจจะต้องสั่นคลอนเสียแล้ว

ผมได้มีเวลาเข้าเยี่ยมชมเวบไซต์แห่งนึง เป็นเวบที่มีคลิปวีดีโอต่างๆมากมาย ทั้งบทความ ทั้งมีสาระ และไร้สาระ เป็นเวบไซต์ที่เป็นของคนไทย ส่วนชื่อเวบไซต์นั้น คงไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ผมพยายามบอกเล่ากับผู้อ่านตอนนี้ แต่ขอเกริ่นถึงภาพรวมของเวบไซต์แห่งนี้ซักเล็กน้อยเสียก่อน
เวบไซต์ที่ว่านี้ เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยที่เราอาจจะเคยรู้และไม่เคยคิดว่าจะมีจริง
 รวมทั้งคลิปวีดีโอต่างๆ ทั้งเรียลลิตี้ ทั้งทำขึ้น มีคละเคล้าหลากหลายเช่นเดียวกับยูทูป และคลิปวีดีโอส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมาก ได้มาจากยูทูปครับ ทุกคลิปทุกบทความจะมีการเกริ่นอธิบายเป็นภาษาไทย ซึ่งเข้าถึงง่ายกว่าภาษาอื่น ซึ่งเหมาะมากกับคนอ่อนภาษาอังกฤษอย่างผม
ผมได้ดูได้อ่านสิ่งที่คนในเวบไซต์นำเสนอ และมีหลายเรื่องที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษ อาจมีเรื่องที่ค่อนข้างจะติดเรทเอ็กซ์บ้าง หนึ่งในเรื่องราวที่หลากหลายนั้น คือเรื่องราวของความน่าฉงนสนเทห์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ที่เคยเกิดและดำรงอยู่ในโลกของเรานี้
ติดตามต่อในตอนหน้า เพราะตอนนี้ เมาแล้ว

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หายนะกับความบันเทิง

เวลาดูหนังแอ็คชั่นจากฮอลลีวูด ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็ขาดความฉิบหายวายป่วง ความวุ่นวายโกลหลไม่ได้ ภาพความหายนะเหล่านั้น เมื่อมันอยู่บนแผ่นฟิลม์ มันก็สร้างความบันเทิงให้คนดูได้ ยิ่งหายนะสมจริงสมจังมาก ยิ่งก็ยิ่งรู้สึกบันเทิงมาก รู้สึกทึ่งว่าเค้าทำกันอย่างไร หนังมันถึงออกมาได้โดนใจอย่างงี้  แต่หนังก็คือหนัง หนังจบก็จบ เมื่อเราตระหนักได้อย่างนั้น ความรู้สึกต่างๆกับหนังก็มลายหายไปกับเวลา
หากแต่เพียง เราอาจซึมซับเอาภาพเหล่านั้นไว้ บ่อยๆ เยอะๆ นานวันเข้า มันจะเกิดผลกระทบอย่างไรกับเราบ้างหรือไม่
สำหรับผม มีผลกระทบอย่างนี้ครับ มันค่อยเกิดขึ้นทีละน้อยตามปริมาณของหนังที่ได้ดูตามกาลเวลาที่ผ่านมา ผมเริ่มแยกแยะความจริงกับเรื่องมายาไม่ค่อยออก แล้วมันเสียหายตรงไหนนะเหรอครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยรู้สึกว่ามันจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผมเองหรือใครๆเลย แต่ผมรู้สึกชินชากับภาพเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นเสียแล้ว
เมื่อครึ่งแรกของปีนี้ มีข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้นในทุกๆมุมโลกให้ได้เห็นอยู่เสมอ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ ความหายนะได้เกิดขึ้นและกระจายวงกว้างออกไปสู่มนุษย์ทุกสีผิวในหลากหลากรูปแบบอย่างทั่วถึงกัน แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ น้ำท่วม พายุ ดินถล่ม แผ่นดินยุบ ภัยแล้ง นี่แค่ธรรมชาติทำยังบรรยายได้ไม่หมด ไหนจะมนุษย์ทำเองอีกเป็นพะเรอเกวียน ล่าสุดก็อุบัติเหตุที่บ่อน้ำมันของบีพี สร้างความเสียหายไปทั่วอ่าวเม็กซิโก  แม้ถึงวันนี้เองประเทศไทยก็ยังประสบปัญญหาภัยแล้งอย่างหนัก และผู้เขียนเองยังรู้สึกว่าปีนี้มันแล้งมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดจากท้องแม่มา ก็ปีนี้ละครับสุดๆเลย มิหนำซ้ำยังได้ยินข่าวแว่วๆว่าปีหน้าจะหนักกว่านี้ และจะหนักขึ้นเรื่อยๆในทุกๆปี ฟังแล้วเซ็งครับ ไม่บันเทิงเอาเสียเลย
พอฟังไปก็เซ็งแต่พอลืมผมก็กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ไม่ได้แก้ไขอะไร ผมก็แค่คนๆนึง จะมีปัญญาไปแก้ไขอะไรได้ ปัญหาเหล่านี้มันใหญ่เกินตัวผม
ลองนึกเล่นๆ ถ้ามีคนคิดอย่างผมเยอะๆนี่ ก็เริ่มไม่ดีแล้ว
ผมยังเคยคิดด้วยซ้ำ ว่าที่เราเห็นในข่าวน่ะ มันอาจเป็นแค่ฉากๆนึงที่จะไปโผล่ในหนังซักเรื่องของฮอลลีวูดก็เป็นได้ คิดอย่างงี้ได้ก็เริ่มหายเซ็ง เริ่มบันเทิงขึ้นมาหน่อยๆแล้ว
ในความเป็นจริงผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านั้นเค้าไม่บันเทิงกับผมแน่ๆ ผมโคตรจะแน่ใจเลย
สาเหตุและแนวทางการแก้ไข ผมคิดว่าทุกวันนี้เราก็น่าจะทราบๆกันดีอยู่แล้ว
แล้วผมทำอะไรบ้างนะเหรอ เหอๆๆ อย่างที่บอกไปข้างต้น ผมชินชากับมันเสียแล้ว มันขาดแรงกระตุ้นและแรงจูงใจสิ้นดี สำหรับวันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดนตรีศิลปะ และสุนทรียภาพ

โดยส่วนผมเอง ผมมองดนตรีและศิลปะในเชิงบวก เป็นแรงบันดาลใจ เป็นความงาม ความหวัง ความรุ่งโรจน์ของสติปัญญา หลายๆครั้งผมได้มีโอกาสสัมผัสกับงานศิลปะในอีกด้านนึง ซึ่งตรงกันข้ามมุมมองของผมอย่างสิ้นเชิง มันคือ ความมืดมน สิ้นหวัง เศร้าหมอง ความเคียดแค้น ชิงชัง
ผมจึงได้เรียนรู้อีกว่า การแสดงออกถึงความคิดในตอนที่มนุษย์ถ่ายทอดออกมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ดนตรีและศิลปะนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เกิดจากความสุขแต่เพียงด้านเดียว เช่นเดียวกับที่มนุษย์ได้ตระหนักว่าในชีวิตของคนหนึ่งคนนั้น มันเต็มไปด้วยความสุขสมหวังผสมกับความทุกข์เศร้าตรมในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ตามอัตลักษณ์ อัตตภาพ ตามความเป็นปัจเจกของแต่ละคน ความรู้สึกของผู้ที่ถ่ายทอดออกมาในช่วงเวลานั้น จึงเป็นตัวกำหนดทิศทางของสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาว่าจะเป็นด้านบวกหรือลบ   และยังไม่รวมถึงการตีความของผู้รับ ผู้เสพงาน ว่าจะตีความไปในทางใด นั้นยังไม่รวมถึงการไม่มีการตีความแปลความหมายใดๆเลย ใช้เพียงความรู้สึกจากรสสัมผัสในครั้งแรก เป็นตัวบ่งชี้ ว่ายอมรับหรือไม่เท่านั้นเอง หลายๆครั้งผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับงานด้านลบ ด้านมืด หรืดสุดแท้แต่จะเรียก ซึ่งก็เกิดขึ้นเสมอๆโดยไม่แพ้ความรู้สึกด้านบวก และไม่ใช้อาจเป็นมาตรฐานในการในการกำหนดรสนิยมในการเสพดนตรีและงานศิลปะของผู้อื่นได้เลย
หากตีความคำว่าสุนทรีภาพแล้ว หากจะให้ความสำคัญที่ความหมายด้านบวกแต่ด้านเดียว ออกจะไม่เป็นธรรมนัก เพราะในความเป็นจริง มีผู้คนบางคน ซึ่งอาจจะมีมากมายกว่าที่เราคาดไว้  ที่มีพึงพอใจที่จะได้เห็น ความหายนะ ความวุ่นวายโกลาหล ความไม่สงบ ทั้งภายนอกและภายในจิตใจคนอื่น ไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ผมได้กล่าว จะมีมูลความจริง แต่เมื่อใดที่ผมได้ลองนึกทบทวน ไปในบางสภาวะ บางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมา ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างง่ายและพอให้เห็นภาพชัดเจน ในตอนที่ดูหนัง อ่านนิยาย หรือแม้แต่ในบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์เรา เมื่อเราเห็นตัวโกงตัวร้ายในเรื่อง ศัตรูของคุณ เพลี่ยพล้ำให้กับพระเอกหรือตัวคุณ เมื่อจุดจบของตัวโกงเหล่านั้นใกล้มาถึง ผมเองอยากจะเห็นตัวโกงตัวร้ายเหล่านั้นมีจุดจบที่ทำให้ผมรู้สึก สาแก่ใจ กับสิ่งชั่วร้าย ที่ตัวละครเหล่านั้น เคยทำมา เคยทำกับคุณ หรือคนที่คุณรักเคารพ ใช่ครับ คำว่าสาแก่ใจหรือสะใจนี่เอง คือแรงกระตุ้นที่อยากให้ผมเห็นความรุนแรง ความหายนะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ขอให้มันเป็นสิ่งเลวร้ายมากๆ สำหรับตัวละคร หรือคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นนิยาย ละครหนัง หรือในชีวิตจริง ผมจะพึงพอใจมากๆ เมื่อหายนะเหล่านั้นมาถึงคนจำพวกนี้อย่างรวดเร็วทันใจและรุนแรง และอย่างสาสม        รึว่า มันก็คือสุนทรียภาพในอีกด้านนึงนั่นเอง        เอ ..รึผมจะตีความความหมายของสุนทรียภาพผิดไปซะก็ไม่รู้
ไว้ต่อตอนหน้าครับ แชร์ความคิดของผู้อ่านมาได้ครับ มุมมองของคุณ จะช่วยเปิดมุมองของผมครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ดนตรี และศิลปะ

สุนทรียภาพทางโสตประสาทของมนุษย์ งานศิลปะแขนงหนึ่ง ศาสตร์แห่งสำเนียงเสียงของสรรพสิ่ง สิ่งจรรโลงและยกระดับจิตใจ และสัญลักษณ์แห่งความศิวิไลซ์ของอารยชนคนทั่วโลกฯลฯ
ไม่มีคำนิยามใด จะมาบรรยายความหมายของ ดนตรี ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และตัวผมเอง ก็ไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานใดๆมายืนยันความเป็นมาของ ดนตรีกับมวลมนุษยชาติ ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคสมัยใดความเป็นมาของมันช่างคลุมเครือในสายตาผม สติปัญญา ภูมิปัญญา ความก้าวหน้าในพัฒนาการของมนุษย์นั้นก็นับเป็นเรื่องน่าทึ่ง กว่ามนุษย์ถ้ำจะรู้จักใช้เครื่องไม้เครื่องมือในการดำรงชีพ รู้จักการใช้อาวุธเพื่อการล่า การปกป้องตัวเองและพวกพ้อง ตลอดจนการทำสงครามเพื่อรักษาหรือขยายอาณาเขต การรู้จักการใช้ภาษาและสัญลักษณ์เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน จนมาถึงการรู้จักการปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารและแรงงาน  สู่การเดินทางไปในทุกที่ เพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนผลผลิตจากท้องถิ่น เหล่านี้ มนุษย์เราได้ใช้เวลายาวนานเป็นพันๆปีในการสั่งสม บ่มเพาะ งอกงาม เติบโตของสติปัญญา ภูมิปัญญา  และส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น
 แล้วดนตรีและศิลปะละ มันเกิดขึ้นตอนไหนของพัฒนาการเหล่านี้
สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดต่อไปนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นต่อคำถามข้างต้นนี้เท่านั้น หาใช่ข้อเท็จจริงที่สามารถกล่าวอ้างในทางวิชาการได้แต่อย่างใด
ดนตรี และศิลปะ การที่เราแยกคำสองคำนี้ออกจากกัน ก็เพื่อความหมายที่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว ดนตรีก็เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่งและยังเป็นศาสตร์ที่มีรูปแบบและหลักการที่ชัดเจนสำหรับการศึกษาค้นคว้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน ในความเข้าใจทั่วไป รวมทั้งผู้เขียนเอง คำว่าศิลปะ ยังถูกจำกัดความหมายไว้เพียงภาพเขียน ปฏิมากรรม และสถาปัตยกรรม ส่วนในความเป็นจริง ศิลปะกลับปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราหลายๆคนแทบทุกลมหายใจ แทบทุกฝีก้าว แทบในทุกด้านของชีวิต
เริ่มต้นที่ความคิดและการตัดสินใจที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ คนเรียนรู้สิ่งต่างจากบทเรียนจากทั้งนอกและในตำรา จากประสบการณ์ ในการใช้ชีวิต ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หรือคนแก่ เมื่อสมองเราจดจำสิ่งต่างๆไว้ ความคิดจะเริ่มเข้าสู่ระบบ การรับรู้ แปลความหมาย และแสดงพฤติกรรม จากขั้นตอนง่าย สู่ขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้น ประสบการณ์ ทำให้เรารู้ข้อจำกัด อุปสรรค และความเป็นไปได้ในการตัดสินใจกระทำหรือไม่ทำสิ่งใดๆ และประสบการณ์ก็ทำให้เราสามารถคิดข้ามขั้นตอนบางอย่าง  จากหน้ามาหลัง ซ้ายไปขวา บนลงล่าง เหนือไปใต้ พัฒนาจนถึงขั้นที่ ขั้นตอน กระบวนการ และรูปแบบนั้นไร้ความหมาย จากรูปแบบสู่ไร้รูปแบบ จากสูงสุดสู่สามัญ ไม่ยึดติดกับรูปแบบ และไม่ยึดติดกับความไร้รูปแบบเช่นเดียวกัน เรียกผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ได้ว่า เป็นผู้มีศิลปะในการคิด ทักษะเช่นนี้เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดไว้เพียงผู้ส่งอายุผู้ผ่านโลกมานาน หากแต่ผู้อ่อนวัย อาจตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำน้อยกว่า แล้วดนตรีเกิดขึ้นตอนไหน
การสื่อสาร การสื่อสารที่ดี ย่อมต้องอาศัยทักษะด้านความคิดที่ชัดเจน เพื่อผู้รับสารรับสิ่งที่เราต้องการสื่อสารได้ถูกต้องตรงตามที่เราต้องการสื่อ การสื่อสารทางเสียง การพูด เสียงเพลง จังหวะดนตรี ไม่ใช่คนทุกคนที่จะพูดให้เรารู้สึกคล้อยตามจนถึงขั้นชื่นชอบชื่นชม และศิลปินผู้สร้างานเพลงนั้นก็ไม่ต่างกัน
และผู้ที่เราชื่นชอบไม่จำเป็นที่คนอื่นต้องชื่นชอบเหมือนเรา ดังนั้นผู้สื่อสารนอกจากจะต้องมีศิลปะในการสื่อ แม้ผู้ฟังเองย่อมต้องมีทักษะด้านศิลปะในการรับสื่อด้วยเช่นเดียวกัน แล้วศิลปะในการรับสื่อได้มาอย่างไร พอจะตอบอย่างกำปั้นทุบดินได้ว่า มาจากทักษะด้านการคิดและตัดสินใจข้างต้นนั้นเอง แล้วดนตรีเกิดเมื่อไหร่ของกระบวนการเหล่านี้
การแสดงออกและไม่แสดงออก ต่อสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด พฤติกรรมทางด้านร่างกายต่อการตอบสนองหรือไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ใด เมื่อเราฟังเพลงๆนึง ร่างกายเรามีปฏิกิริยาอย่างไรหากเราชื่นชอบเพลงนั้น บางคนโยกตัว บางคนผงกหัว บางคนเคาะมือกับสิ่งใกล้ตัว ดีดนิ้ว กระทืบเท้าตามจังหวะเพลง บางคนเลือกที่จะนั่งฟังเฉยๆ สนุกและร้องตามอยู่ในใจ แต่ไม่แสดงออกว่าคล้อยตามบทเพลง  เมื่อความคิดกำหนดพฤติกรรม คำตอบของคำถามก็น่าจะพออนุมานได้ไม่ยากสำหรับสถานการณ์ตัวอย่างนี้ ดนตรีเกิดขึ้นมาแล้วใช่ไหมจากกระบวนการสื่อสาร
สำหรับตอนหน้า เราจะมาว่ากันต่อในเรื่อง ศิลปะและดนตรีในอีกหลายแง่มุมอื่นของชีวิตคนเรา

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

การแปรรูปและการถนอมอาหารด้วยวิธีการแช่อิ่ม

มีทั้งแช่อิ่มแห้งและไม่แห้งผลไม้ที่นิยมมาทำเป็นผลไม้แช่อิ่ม หรือตากแห้งมีอยู่เพียงไม่กี่ชนิด เช่น สับปะรด มะม่วง มะละกอ ขนุน กล้วย ฝรั่ง เป็นต้น ส่วนผักที่นิยมทำเป็นผักแช่อิ่ม ได้แก่ มะเขือเทศ ฟักเขียว มะเขือไข่เต่า เป็นต้น

การทำผลไม้แช่อิ่มแห้ง
ผลไม้ที่นิยมมาทำเป็นผลไม้ แช่อิ่ม หรือตากแห้งมีอยู่เพียงไม่กี่ชนิด เช่น สับปะรด มะม่วง มะละกอ ขนุน กล้วย และ ฝรั่ง เป็นต้น ส่วนผักที่นิยมทำเป็นผักแช่อิ่ม ได้แก่ มะเขือเทศ ฟักเขียว มะเขือไข่เต่า เป็นต้น
การเตรียมผลไม้เพื่อแช่อิ่ม
ผลไม้ ต้องเลือกผลไม้ที่เกือบสุก มีเนื้อแน่นแข็ง ไม่นุ่มเน่าเสียและอยู่ในกลางฤดูของมัน ซึ่งจะทำให้วัตถุดิบถูกและมีปริมาณมากพอที่จะทำการแปรรูปได้ ผลไม้ที่ผ่านการคัดเลือกควรล้างน้ำให้สะอาด เพื่อขจัด ดิน ทราย แล้วแช่น้ำปูนใสเข้มข้นร้อยละ 2 เพื่อให้เนื้อผลไม้กรอบ อนึ่ง ผลไม้บางชนิดอาจต้องปอกเปลือก หรือคว้านเมล็ดก่อนการแช่น้ำเชื่อม ขึ้นอยู่กับลักษณะผลไม้และการจัดการของแต่ละกระบวนการผลิต
การทำผลไม้แช่อิ่มมีอยู่ 2 วิธี คือ
การทำผลไม้แช่อิ่มแบบเร็ว วิธีนี้จะเตรียมน้ำเชื่อมปรุงรส ให้มีความหวานเริ่มต้นที่ น้ำตาลร้อยละ 30 ของน้ำหนัก น้ำเชื่อม แล้วเคี่ยวผลไม้ในน้ำเชื่อมดังกล่าวโดยใช้ไฟอ่อนๆ หรือความร้อนไม่สูงประมาณ 100 - 105 องศาเซลเซียส เคี่ยวจนน้ำเชื่อมงวด และได้ความหวานของน้ำเชื่อมประมาณ ร้อยละ 50 - 65 องศาเซลเซียส ของน้ำหนักน้ำเชื่อม การทำผลไม้แช่อิ่มแบบเร็วนี้ จะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ในการเคี่ยวน้ำ เชื่อมจนงวดและเนื้อผลไม้มีความหวานใกล้เคียงกับ น้ำเชื่อม การใช้อุณหภูมิในการเคี่ยวที่สูงเกินไปจะทำให้น้ำเชื่อม มีสีคล้ำและมีกลิ่นน้ำตาลไหม้ อีกทั้งทำให้เนื้อผลไม้นิ่มเละ ดังนั้น วิธีนี้ไม่เหมาะกับผลไม้ที่มีเนื้อนิ่มและเละได้ง่าย
อนึ่ง การแช่อิ่มแบบเร็วสามารถใช้เทคโนโลยีซึ่งต้องมีการลงทุนเครื่องจักร เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีสีสวยและเนื้อผลไม้ไม่เละมากไป คือการเคี่ยวผลไม้ในสุญญากาศ
การทำผลไม้แช่อิ่มแบบช้า เป็นวิธีการที่แช่ผลไม้ที่เตรียม ไว้แล้วในน้ำเชื่อมโดยจะเริ่มต้นที่น้ำเชื่อม ที่มีความเข้มข้นของน้ำตาลร้อยละ 30 นาน ประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วเพิ่มความเข้มข้นของน้ำเชื่อมทุกวัน เป็นน้ำตาลร้อยละ 40, 50, 60 และ 65 ของน้ำหนักน้ำเชื่อม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหวานเริ่มต้นของผลไม้แต่ละ ชนิดและความหวานของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ การแช่อิ่มผลไม้ด้วยวิธีนี้ใช้เวลานานจึงต้องรักษาความสะอาด และต้มน้ำเชื่อมทุกวันเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นหมักหรือเหม็นเปรี้ยว
ผลไม้แช่อิ่มที่ได้จากทั้งสองวิธี เมื่อนำขึ้นจากน้ำเชื่อม และทิ้งให้สะเด็ดน้ำเชื่อมแล้ว จะเป็นผลไม้แช่อิ่มแบบเปียก ซึ่งหากนำผลไม้แช่อิ่มนี้ไปอบให้แห้งก็จะเป็นผลไม้แช่อิ่มอบแห้ง ซึ่งจะมี 2 ลักษณะ คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลอบแห้ง ผลไม้อบแห้งที่ไม่เคลือบน้ำตาล ซึ่งได้จากการนำผลไม้แช่อิ่ม ที่สะเด็ดน้ำเชื่อมแล้ว มาล้างน้ำเชื่อมที่ผิวออกก่อนนำไปอบแห้ง



ข้อมูลจาก http://www.tistr-foodprocess.net/fruit_other.html

การหมักบ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์

การแปรรูปผลผลิตต่างเพื่อทำเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นั้น มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าสี่พันปี อาจกล่าวได้ว่า เป็นเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส  อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีบันทึกและหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งสิ้น
แอลกอฮอลล์ที่เราดื่มกันนั้นเรียกว่า เอธิลแอลกอฮอลล์ โดยการพืชผักผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตและมีรสหวานไปหมักกับยีสต์ และต่อไปนี้ผมมีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการหมักบ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มาฝาก(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)


เหล้า (รวมเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ทุกประเภท) แบ่งได้ตามวัตถุดิบที่มาทำและวิธีการดังนี้


วัตถุดิบ ผลิตผลที่ทำโดยการหมัก (เมรัย) ผลิตผลที่ทำโดยการกลั่น (สุรา)

บาร์เล่ย์ เบียร์ เอล ไวน์บาร์เล่ย์ สก๊อตวิสกี้ ไอริชวิสกี้

ข้าวไรย์ เบียร์ข้าวไรย์ วิสกี้ข้าวไรย์ Roggenkorn (เยอรมัน)

ข้าวโพด เบียร์ข้าวโพด เหล้าข้าวโพด

ข้าวสาลี เบียร์ข้าวสาลี วิสกี้, Weizenkorn (เยอรมัน)

ข้าว เหล้าสาเก, sonti, makkoli, tuak, thwon โชจู อะวะโมะริ (ญี่ปุ่น) , โชยุ (เกาหลี) , หวงจิ่ว เชาจิ่ว (จีน)

ผลไม้ที่ไม่ใช่แอปเปิ้ลและลูกแพร์ ไวน์ (ส่วนใหญ่ทำจากองุ่น) บรั่นดี, คอนหยัก (ฝรั่งเศส) , Branntwein (เยอรมัน) , Pisco (ชิลี)

แอปเปิ้ล ("hard") เหล้าแอปเปิ้ล, apfelwein (เยอรมัน) บรั่นดีแอปเปิ้ล (or apple brandy) , Calvados, cider, lambig

ลูกแพร์ perry, or pear cider pear brandy

อ้อย, หรือ กากน้ำตาล basi, betsa-betsa (regional) เหล้ารัม, cachaça, aguardiente, guaro, โชยุ (ญี่ปุ่น)

ว่านหางจระเข้ pulque เตกีลา, mezcal

ลูกพลัม ไวน์พลัม slivovitz, tzuica, palinca

กากผลไม้ pomace wine tsipouro, raki, tsikoudia (กรีก) , grappa (อิตาลี่) , Trester (เยอรมัน) , marc (ฝรั่งเศส) , zivania (ไซปรัส)

น้ำผึ้ง เหล้าน้ำผึ้ง น้ำผึ้งหมัก

มันฝรั่ง หรือ ธัญพืช เบียร์มันฝรั่ง วอดก้า(โปแลนด์และเยอรมัน) ส่วน aquavit หรือ brännvin (สวีเดน) , akvavit (เดนมาร์ค) , akevitt (นอร์เวย์) , brennivín (ไอซ์แลนด์) ทำจากมันฝรั่งของไอร์แลนด์ , Poitín , โชยุ (ญี่ปุ่น)

นม Kumis Araka

ในส่วนของกรรมวิธีในการผลิตของเครื่องดื่มชนิดต่างๆนั้น ผมคิดว่านั้นออกจะยืดยาวไปซักหน่อย และอาจจะยุ่งยากเกินไปสำหรับใครที่คิดจะทำไว้กินเอง อีกประการหนึ่งก็คือเขามีขายสำเร็จรูปอยู่แล้ว เราควรอุดหนุนจุนเจือเขาหน่อย หรือหากผู้อ่านอยากรู้จริงๆ ก็คงไม่ยากเย็นเกินที่ค้นคว้าข้อมูลได้เอง ในโลกไซเบอร์สเปสนี้
สำหรับวันนี้มีเพียงเท่านี้
จงดื่มแต่พอเหมาะ จงเลาะ(เที่ยวเตร่)อย่างพอควร เทอญ.

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตากแดดให้แห้ง

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เมื่อเราได้แปรรูปผลผลิตในรูปแบบการดอง เราจะมาว่ากันต่อ กับการแปรรูปผลผลิตที่สามารถทำได้ต่อเนื่องจากวิธีการใช้เกลือ ในการช่วยถนอมอาหาร นั้นก็คือการนำผลผลิตไปตากแห้ง
การตากแห้ง
วิธีการที่ง่ายดายไม่ซับซ้อน ใช้ทรัพยากรไม่มากไปกว่าเกลือและแสงแดด ทำกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เดี๋ยวนี้ก็ยังทำ และอนาตคข้างหน้าก็จะยังคงทำกันต่อไป
เมื่อผลผลิตมีมากเกินที่จะบรฺิโภคเองได้หมด การแปรรูปโดยการนำไปตากแห้งเพื่อเก็บไว้กินใช้เมื่อขาดแคลน แม้กระทั่งเพื่อการค้าก็สามารถทำได้ ซ้ำยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตอีกด้วย อาหารชนิดเดียวกันน้ำหนักเท่ากัน พวกที่ตากแห้งมักมีราคาสูงกว่าโดยปริยยาย
ผลไม้ที่มีรสหวาน ก็นิยมนำมาตากแห้งเช่นเดียวกัน เมื่อความชื้นและอุณหภูมิหลังตากแห้ง อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ จากสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีๆ
จะเห็นได้ว่า ไม่เฉพาะเสื้อผ้าที่เปียกน้ำเท่านั้นที่เราต้องตากแดดให้แห้ง  เนื้อแห้งทอด กินกับข้าวเหนียวร้อนๆก็อร่อยมากครับ ไหนจะหมึกย่างแถวบน ไหนจะลูกพลับตาก กล้วยตาก มะม่วงกวน อิทผาลัมอย่างงี้ สารพัดความอร่อยจากการนำไปตากแดด ช่างเรียบง่าย และสอดคล้องกับวิธีชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ชนชาติภาษาไหน ต่างก็ใช้วีธีบ้านๆนี้ในการเก็บสะสมเสบียงอาหารที่มากเกินจะบริโภคให้หมดในเวลาอันสั้นไว้ในยามขาดแคลนและเพื่อการค้า  แหม "โกลบอลไลซเซชั่น"อะไรอย่างนั้น

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การแปรรูปและการถนอมอาหาร(ต่อ)

มานั่งคิดดูแล้ว ถ้าผมตัดสินใจเขียนอย่างที่บอกตอนท้ายของตอนที่แล้ว เรื่องราวที่จะเขียนก็คงจะยืดยาวเป็นซีรี่ส์จนคนเขียนต้องเบื่อไปเองแน่ๆ ก็เลยเปลี่ยนใจ มาเป็นการพูดถึงชนิดของการแปรรูปและถนอมอาหารดีกว่า คิดว่าน่าจะได้เนื้อหาที่พอเหมาะกำลังดี ไม่เยิ้นเย้อมาก
การดอง
เป็นการถนอมอาหาร โดยการใช้ความเค็มของน้ำเกลือทำหน้าที่เป็นตัวยืดระยะเวลาการเน่าเปื่อยของผลผลิตไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายทำงานได้ เป็นการดูดน้ำออกจากเซลล์โดยมีโซเดียมเข้าไปแทนที่ ทำให้เซลล์เนื้อเยื้อของผลผลิตคงรูปได้ยาวนานขึ้น การแปรรูปและถนอมอาหารสามารถทำได้ทั้งพืช และสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น หัวผักกาด ผักกาด ต้นหอม กะเทียม ผักเสี้ยน กะหล่ำปลี หน่อไม้ ฯลฯ  เมื่อดองจนได้ที่ ก็จะมีรสเปรี้ยวด้วย ส่วนพวกผลไม้เช่น มะม่วง มะดัน มะนาว มะยม มะกอก องุ่น ฯลฯพวกนี้แม้ไม่ดองผลดิบมันก็เปรี้ยวอยู่แล้ว แต่พูดถึงว่า ที่กล่าวๆมานี้ มันของอร่อยๆทั้งนั้นเลยคุณผู้อ่าน  พูดแล้วน้ำลายไหล น่าแกล้มเหล้าจริงๆ ส่วนที่เป็นการดองสัตว์ ที่พบบ่อย ก็จะเป็นจำพวก สัตว์น้ำ อย่างปู ปลา กุ้ง หอย สัตว์ปีกก็มี ไข่เป็ดไข่ไก่ อย่างอื่นหรือเนื้อสัตว์ปีกรวมถึงเนื้อสัตว์ใหญ่ดองนั้น ยังไม่เคยเห็น แต่ไม่สรุปว่าไม่มี

พวกพืชผัก โดยส่วนใหญ่จะทำการคั้นให้น้ำในเนื้อผักที่มักมีรสขมและกลิ่นเหม็นเขียวออกก่อน แล้วจึงนำไปใส่เกลือหรือน้ำเกลือในปริมาณที่พอเหมาะ หมักบ่มด้วยระยะเวลาที่แตกต่างตามชนิดของพืช การดองผักในบ้านเรามักมีการนำข้าวเหนียวนึ่งสุกผสมลงในการคั้นผักด้วย เพื่อเป็นตัวเร่งให้ระยะเวลาการหมักสั้นลงและเพื่อให้ผักดองมีรสเปรี้ยว ส่วนการดองผลไม้ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากเลย เพียงเตรียมน้ำต้มเกลือให้พร้อม แล้วใส่ผลไม้ ที่ส่วนมากมีรสเปรี้ยว แกะเปลือก(มะขาม)แกะเมล็ดหรือเม็ดแล้ว ลงในน้ำเกลือต้มที่เตรียมไว้ ใส่ภาชนะแล้วปิดฝาให้สนิท หลังจากนั้นที่เราทำได้ก็คือ รอเวลาให้รสชาติได้ที่ เท่านั้นเอง
 ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อน เค้ารู้ได้ไงว่าเกลือถนอมอาหารได้ ไปทำอีท่าไหนกันก็ไม่รู้ แล้วภูมิปัญญาง่ายๆนี้ก็แพร่หลายทุกที่ทั่วโลก เป็นความรู้พื้นๆที่ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนที่ไหน และไม่มีใครไม่รู้ว่าเกลือสามารถชลอการเน่าเปื่อยได้ คิดไปคิดมาก็น่าทึ่งเหมือนกันแฮะ
ตอนหน้าจะเป็นเรื่องใดนั้นก็ โปรดติดตาม ก็แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การแปรรูปและการถนอมอาหาร

ผลผลิตทางการเกษตรต่างๆที่เก็บเกี่ยวมาได้ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้หรือผลผลิตจากสัตว์เลี้ยง เมื่อเหลือจากการใช้บริโภคเองหรือเหลือขาย เราก็สามารถแปรรูปและถนอมเอาไว้ บริโภคหรือขายได้อีก และเมื่อผลผลิตเหล่านี้ได้ถูกแปรรูปไป ก็มักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกระบวนการที่เพิ่มมาด้วยเช่นกัน
แม้ว่ามนุษย์เราอยู่ต่างพืนที่ ต่างวัฒนธรรมก็ตาม การแปรรูปผลผลิตกลับมีความคล้ายคลึงกัน หรือหากจะแตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น นั่นหมายความว่า ทุกชาติทุกวัฒนธรรม ใช้หลักในการแปรรูปหรือถนอมอาหารเดียวกัน คือ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับผลผลิตที่ได้มา เพื่อให้เก็บไว้บริโภคได้นานขึ้น รสชาติดีขึ้น และเมื่อถึงฤดูกาลที่ขาดแคลนอาหาร ก็จะนำออกมาบริโภคได้ทันที หากเป็นปัจจุบันก็คงทำกันเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการค้าเป็นหลัก
ผมเคยเดินตามห้างสรรพสินค้าแห่งนึง และบังเอิญไปเจอกับกิมจิบรรจุถุงสำเร็จวางสงบนิ่งอยู่ช่องเย็นแช่สินค้า สีสันหน้าตาชวนให้ลิ้มลองเหมือนในทีวีไม่มีผิด ด้วยความที่กระแสเกาหลีมาแรงและความอยากรู้อยากเห็น ว่า กิมจิ ของ ที่เค้าว่าอร่อยนักหนาแถมเป็นอาหารประจำชาติเกาหลีนั้น มันจะมีรสชาติยังไงกันหนอ ผมไม่รีรอที่จะจ่าย เพื่อแลกกับประสบการครั้งแรกของผมกับกิมจิที่แสนจะน่ากินถุงนั้น เมื่อได้กิมจิมาแล้ว ผมตรงไปที่ฟู้ดคอร์ทเพื่อที่จะลองชิมมันในทันที คำแรกที่ผมได้เอื้อนเอ่ยออกมา หลังจากกินเข้าไปคำแรก มันไม่สุภาพสักหน่อย แต่ได้อารมณ์มาก "บัดซบ"  ผมคำรามกับตัวเองเบาๆกิมจินี่ มันมีรสชาติไม่แตกต่างไปจากผักดองถุงละห้าบาทที่ขายในตลาดสดบ้านเราเลยซักกะนิด ผมรู้สึกเวทนาตัวเองเล็กน้อย และมันก็ทำให้ผมอยากระบายความรู้สึกเฮงซวยเช่นนี้กับใครซักคน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งเอสเอ็มเอสถึงเพื่อนคนหนึ่งใจความว่า "มึงรู้ไหมเพื่อน กิมจิน่ะ มันก็ส้มผักบ้านเราดีๆนี่เอง"  (ส้มผัก คือ ผักดอง ในภาษาอีสาน) ผมกดส่งไปหวังว่าจะได้รับข้อความตอบกลับหรือโทรกลับจากเพื่อน เพื่อที่จะรู้ว่า มันรู้สึกยังไงที่ได้รู้ความจริงอันน่าหัวร่อนี้ แต่ไม่มีการติดต่อกลับมา ผมคิดว่า มันคงไม่สนใจว่ากิมจิมันมีรสชาติเป็นยังไงเหมือนส้มผักหรือเปล่า ไม่ก็ มันอาจจะรู้มาตั้งนานแล้ว และคงขำกลิ้งไปกับความจริงนี้ไปตั้งนานแล้วก็เป็นไปได้
หัวข้อในวันนี้ อันเนื่องมาจากรายการสารคดีรวมพลคนรักชีส ของต่างประเทศครับ เห็นเค้าทำชีสแล้วมันน่ากินจริงๆ คิดว่าน่าจะอร่อยกว่ากิมจินะ
ตอนหน้า ผมจะมาต่อเรื่องนี้โดยเจาะจงไปที่ผลผลิตเป็นชนิดๆไป ผมคงมีอะไรๆเขียนได้อีกหลายตอน หวังว่าผู้อ่านจะไม่เบื่อซะก่อน นะขอรับกระผม

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเฝ้ามองการเจริญเติบโตของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

พื้นที่เล็กๆบริเวณหน้าบ้าน ประมาณหนึ่งคูณสองเมตร ถูกใช้เป็นที่เพาะปลูกพันธ์พืชหลากชนิด กล้วยหอม พริก พริกไทย มะละกอ มะเขือเทศ แมงลัก แก้วมังกร กุหลาบ ดาวเรือง และอื่นๆ ทั้งหมดนี้รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่อันจำกัดนี้ด้วยความตั้งใจบาง ไม่ตั้งใจบาง การได้เห็นชีวิตเล็กๆก่อกำเนิด จากต้นอ่อนค่อยๆเจริญเติบโต ทุกวันๆและการดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช งานง่ายๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมคุ้นชินและเต็มใจที่จะทำ เป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของผม
แน่นอนการปลูกพืชทุกชนิด ย่อมมีการหวังผล เรื่องการเก็บเกี่ยวมาบริโภคนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่พืชบางชนิด เราควาดหวังได้แต่เพียงการได้ชื่นชมความงามตามธรรมชาติของมัน
เคยได้ยินเรื่องคนปลูกต้นไม้หรือเลี้ยงสัตว์ก็ตาม ที่มีการได้พูดคุย สื่อสารกับต้นไม้ หรือสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลอันน่าอัศจรรย์ใจ กล่าวคือ เมื่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงเช่น คนเลี้ยงวัวนมเมื่อเขาได้เริ่มการสื่อสารกับวัวนมที่เขาเลี้ยงโดยการพูดคุยทักทาย สนทนาปราศรัย ประดุจหนึ่งวัวนมเหล่านั้นเป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกับเราๆ หรือมีการเปิดเพลงเพราะๆให้ฟังระว่างการให้อาหาร ยังผลให้วัวนมเหล่านั้นให้นมในปริมาณที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้มีการทดลองใช้วิธีการเดียวกันนี้กับการปลูกพืชบ้าง ก็ให้ผลสอดคล้องกัน กับในกรณีของการเลี้ยงสัตว์ น่าจะเป็นความสำเร็จที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่ง ของสิ่งมีชีวิต ที่ความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ หรือสปีชีส์ ไม่อาจกั้นกลางมิตรภาพระหว่างกันได้
พื้นที่เล็กๆหน้าบ้าน ทำให้ผมได้เห็นวัฏจักรสั้นๆของหลายชีวิต ต้นอ่อนบางต้นต้องตายไป เพราะไม่สามารถปรับตัว พัฒนา หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้มันไม่เติบโตสืบพันธุ์ได้ ในขณะที่บางต้นก็อยู่รอดปลอดภัย ออกลูกให้เราได้เก็บกินบ้าง บางชนิดทำให้ผมปลื้มอกปลื้มใจ เมื่อได้เห็มมันออกดอก ทำไมจะไม่ละ ในเมื่อมันเป็นผลมาจากความใส่ใจ ดูแลของผมด้วยนั้นไง นั่นแหละคือเหตุผล
หากเปรียบกับชีวิตมนุษย์ ความรู้สึกเหล่านั้นคงย่อมเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อชีวิตหนึ่งลืมตาออกมาดูโลก คำว่าแก้วตาดวงใจ คงมาจากการถือกำเนิดธรรมดาๆของคนหนึ่งคนที่เราเรียกว่า ลูก นั่นเอง มนุษย์เราส่งต่อความเป็นลูก สู่การเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นเช่นนี้ไปไม่มีสิ้นสุด และความรู้สึกอบอุ่นงดงาม ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังหลงเหลืออยู่
แม้ว่าผมเองจะยังไม่มีลูกก็ตามเถอะ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความอัปยศของวงการฟุตบอลไทย (อีกครั้ง)

การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก หรือฟุตบอลถ้วย ก ประจำปี 2553 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผู้อ่านคงได้เห็นเหตุการณ์ในสนามศุภภัชลาศรัยจากสื่อต่างๆพอสมควร ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น คิดว่าผู้อ่านคงรู้สึกไม่ต่างกับผู้เขียน และประชาชนไทยอีกหลายสิบล้านคน การทะเลาะวิวาทระหว่างแฟนบอล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในประเทศของเราเองหรือในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องผิดที่เรามีทีมรักทีมเชียร์ที่ต่างกัน ทำไมแฟนบอลของการท่าเรือฯบางคน จึงก่อเหตุอันน่าเศร้าสลด และน่าอัปยศอดสูเช่นนะหรือ ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยาก ผมเชื่อว่าคนเรามีสิทธิที่จะรักศรัทธาสิ่งใดก็ตาม ได้อย่างเป็นอิสระเสรี โดยความแตกต่างเฉพาะบุคคลไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด การแสดงออกต่อทีมรักของแฟนฟุตบอลทีมการท่าเรือแห่งประทศไทยบางคน ในวันนั้น เป็นการฉุดวงการฟุตบอลไทยให้ถอยหลังไปอีกหลายก้าว  ทั้งยังเป็นการดิสเครดิตของสโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทยไปโดยปริยาย สื่อมวลชนบางแห่งกล่าวไว้เช่นนั้น  แฟนฟุตบอลทีมการท่าเรือฯบางคน ที่แสดงออกถึงความรักและศรัทธามากจนเกินเหตุ มากจนถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลยก็ว่าได้
ผลของการตัดสินของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นสอบสวน มาตรการการลงโทษ รวมทั้งการดำเนินการทางกฏหมายต่อสโมสรการท่าเรือฯและแฟนบอลที่ก่อเหตุ ไม่ว่าบทลงโทษจะสาหัสสาสมเพียงไหน ก็ไม่ได้ทำให้ภาพความอัปยศ นั้นเลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนฟุตบอลไทยทั่วประเทศได้โดยง่าย ไม่เพียงนำความเสียหายต่อสโมสรและแฟนบอลของการท่าเรือฯทั้งหมดเองเท่านั้น ภาพลักษณ์โดยของวงการฟุตบอลไทย ที่กำลังดีวันดีคืน กลับต้องพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของแฟนฟุตบอลทั่วโลก มักจะมี แอลกอฮอลล์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ กรณีที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น คำถามคือ เหตุใดจึงปล่อยให้มีการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ของแฟนฟุตบอลของการท่าเรือฯโดยไม่มีการควบคุม ปล่อยให้มากินในสนามได้ยังไง และเมื่อเกิดเหตุ หน่วยรักษาความปลอดภัย ดูเหมือนจะไม่เต็มใจปฏิบัติงานให้เต็มที่ ผมว่า พวกเข้าพลาดตั้งแต่ปล่อยให้คนเอาเหล้าเข้ามาดื่มในสนามแล้ว อาจจะมีการดื่มมาก่อนนั้นควบคุมไม่ได้ พอเข้าใจ แต่ปล่อยให้นำเข้าไปในสนามด้วยนั้น เป็นเรื่องที่น่ากังขา
ระบบการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุเท่านั้น สปิริตของคนดูคนเชียร์ต่างหากเป็นสาเหตุใหญ่ ซึ่งไม่ว่าที่ไหนในโลก หากสำนึกรับผิดชอบหรือสปิริตนั้นไม่มี หรือมีไม่พอ เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอีกได้เสมอ
เสรีภาพของแฟนฟุตบอลบางคนของสโมสรการท่าเรือฯนั้น ปราศจากความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง อย่างหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย
เห็นแล้วสลดจริงๆ พลังของคนส่วนหมู่มาก รังแกคนส่วนน้อยนั้น เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากภาพข่าวที่ผู้อ่านทุกท่านได้เห็นกับตานั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตและความตาย

เมื่อวานนี้ ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง คิลบิล ภาคแรก อีกรอบนึง ความรู้สึกที่ได้ดูอีกครั้ง ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คือ มันดี เหมือนที่ดูครั้งแรก ผมชอบรสนิยมของผู้กำกับ ที่แกใส่อะไรๆไว้ในหนัง ไม่ว่าจะดนตรีประกอบ ที่ใช้ซาวด์ในหนังจีนยุคชอว์บราเดอร์ เสื้อผ้านักแสดง สีสันและสัญลักษณ์ต่างๆ ฉากแอ็คชั่นมันๆปนซาดิสซ์ การดำเนินเรื่องแบบแฟนตาซี โม้สะบัด การ์ตูนหน่อยๆ การรวมเอาวัฒนธรรมจากสองซีกโลกมาผสมกัน จนออกมาลงตัว หลายๆอย่างรวมๆแล้ว ผมชอบครับ
ในตอนท้ายๆของเรื่อง ตอนที่นางเอกตามมาเจอ บิล และ บีบี ลูกของเธอ บิลได้เล่าเรื่องการฆาตกรรมปลาทองอย่างเลือดเย็นของบีบีลูกสาว ให้นางเอกฟัง ผมประทับใจที่บิล ได้ใช้คำพูดถ่ายทอดเรื่องราวนั้นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแท้จริงแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่า นักฆ่าอย่างบิล ต้องมีคาแรคเตอร์อย่างไร เพราะในชีวิตผมเองโอกาสที่จะเจอนักฆ่าเหมือนในหนังนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะจินตนาการไปไม่ถึง บิลบอกว่า บีบี เอาปลาทองออกมาทิ้งลงบนพรม เมื่อปลามันดิ้นทุรนทุรายหาแหล่งน้ำ เธอไม่ได้คิดมาก จึงตัดสินใจเหยียบมัน บิลบอกอีกว่า นี่เป็นการเรียนรู้เรื่องชีวิตและความตายในแบบที่เข้าใจได้ง่าย ที่เด็กผู้หญิงวัยสี่ขวบจะเรียนรู้ได้
มองอย่างเป็นกลาง ในฉากนี่ไม่มีอะไรน่าประทับใจขนาดนั้น ผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วย แค่คนดูหนังประทับใจบทสนทนาของตัวละครเท่านั้นเอง ชีวิตและความตาย สั้นๆง่ายๆแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ร้อยพันหมื่นแสนล้านความหมายที่ผู้คนจะนิยามมัน
ไม่ว่าคนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็ย่อมผ่านประสบการณ์นี่อย่างแน่แท้ ความตาย มนุษย์เราโดยส่วนใหญ่มักจะโศกเศร้า เมื่อเราได้สูญเสียคนที่รัก ผูกพัน ไปกับความตาย แต่มีคนอีกไม่น้อยที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งนี้แม้แต่น้อย หากว่าเราเข้าใจวัฎจักรแห่งชีวิตอย่างถ่องแท้ ความตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หรือน่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด แต่เราก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาทนะ การมีชีวิตอยู่อย่างไรค่า กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่าเป็นไหนๆ แล้วคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ละ มันคืออะไร ทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร ควรเป็นอย่างไร คำตอบน่าจะอยู่กับทุกคนแล้ว เพียงแต่เราจะรู้คำตอบนี้เมื่อไหร่ เมื่อทุกอย่างสายไปสำหรับเราและคนอื่นนะหรือ
อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เครื่องตรวจวัตถุระเบิด

ที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ มันอะไรกันหนักหนากองทัพบอกอย่าง นักวิชาการบอกอีกอย่าง ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมมองว่ามีเบื้องลึกที่ไม่ควรรู้ แล้วส่วนใหญ่ผมว่า ประชาชนมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งคนวงในยิ่งพูดไม่ได้ และไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่สังคม ปิดหูปิดตา ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ยอมรับว่ามี ว่าเป็น และผมเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าทำไมจึงพูดความจริงไม่ได้ หรือทำไมจึงไม่ควรเผยความจริงออกมา สังคมไทยจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงค่านิยม การหลอกตัวเอง ปากว่าตาขยิบ มือถือสากปากถือศีล สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเลือนหาย สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเหมือนมรดกที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา ฟังดูแล้ว ช่างน่าสมเพช น่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี  ผมขอตั้งขอสังเกตต่อกรณีพิพาทนี้สักสองประเด็น
เครื่องตรวจที่กองทัพใช้อยู่ หากไม่ได้ผลตามกล่าวอ้าง ยังจะดึงดันใช้อยู่ทำไม แม้แต่กองทัพอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยังไม่ให้การรับรองเครื่องมือนี้ และผลการตรวจสอบล่าสุด ก็ออกมาแล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพดังคำกล่าวอ้างของผู้ผลิต
กรณีที่กองทัพชี้แจงเรื่องการนำสุนัขสงครามเข้าร่วมปฏิบัติการ แทนการใช้เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดว่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะข้อจำกัดด้านศาสนา นั้น อยากให้แถลงให้ประชาชนทราบเพื่อความเข้าใจ ว่าข้อห้ามทางศาสนานั้นมีรายละเอียดอย่างไร และมีทางเจรจาลดหย่อนข้อจำกัดเหล่านั้นได้หรือไม่ เพื่อแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อ
ดูเหมือนเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจะเป็นหนังเรื่องยาวที่ยังหาตอนจบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านผู้มีอำนาจและสติปัญญาที่ทำงานอยู่ในทุกภาคส่วน ขอคุณพระสยามเทวาธิราช จงดลบันดาลทุกท่านมีสติอันแจ่มใส ปัญญาที่เฉียบแหลม เพื่อการตัดสินใจใดๆก็ตาม ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเป็นเป้าหมายหลักเสมอ ดังอุดมคติอันสูงส่ง ที่เราพร่ำสอนกันตลอดมาด้วยเถิด
เรื่องนี้ผมไม่ต้องยุ่งก็ได้ครับ ขอพูดแค่นี้ล่ะ

ความทรงจำ

ความทรงจำ บางครั้งบางทีช่างน่าอภิรมย์เป็นหนักหนา อันว่าคิดถึงขึ้นมาคราใด ก็ทำให้ยิ้มได้ครึ้มใจได้เสมอๆ ความทรงจำที่ดีไม่เพียงแต่หมายถึงเรื่องดีๆที่เราจำได้ หากรวมหมายถึงความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆด้วย เคยสงสัยอยู่ว่าทำไมคนบางคน จดจำสิ่งต่างๆได้ดีกว่าคนอื่น ในขณะที่บางคนมีลักษณะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เราสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าเรา ต้องการจดจำสิ่งใด และลืมสิ่งใด เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังนัก สำหรับผมเองไม่รู้สึกว่ามันมีความสำคัญกับการใช้ชีวิตมากนักเพราะช่วงชีวิตที่จำเป็นต้องอาศัย ความจำเพื่อเอื้อต่อการเรียนนั้น ได้ผ่านมานานแล้ว หากว่าสิ่งที่เรียนมานั้นผมจดจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ ผมเดาเอาว่าคนที่เรียนเก่งนั้น มีความสามารถในการจดจำได้ดีกว่าคนที่เรียนไม่เก่งอย่างผม การจดจำสิ่งที่ครูสอนหรือสิ่งที่เราอ่านในหนังสือได้แม่นยำ ผมว่าย่อมได้เปรียบ บางคน ที่เคยเห็นมา สามารถจำเนื้อหาบทเรียนได้ด้วยการอ่านเพียงรอบเดียว บางคนกลับต้องการมากกว่านั้นอาจสอง สาม หรือสี่รอบ กว่าจะจำได้ ผมเลยสรุปเอาเองของผมอย่างที่บอกไป
หากพูดถึงความทรงจำที่เลวร้าย สำหรับตัวผมเองหากสามารถเลือกที่จะลืมได้ คงเลือกที่จะลืม ในขณะที่บางคน เลือกที่จดจำไว้ เพื่อเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนใจ หรืออะไรก็ตามแต่ นั้นก็เป็นสิ่งดี ในแบบฉบับของคนคนนั้น
ไม่ว่า ความทรงจำ จะดีหรือไม่ดี ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสุขสมหวังในชีวิตหรอก ประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์ที่เลวร้าย คนที่จำเก่งเรียนเก่งก็ไม่ได้สุขสมหวังในชีวิตกันทุกคน ช่างไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนเลยที่จะชี้ชัดลงไป ความทรงจำ ช่วยเราในการดำเนินชีวิตได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมไหนก็ตาม และมันก็ทำลายชีวิตเราได้เช่นกัน ผมเชื่อเช่นนั้น
อันเนื่องมาจากภาพยนต์ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว เป็นหนังไทยที่ผมประทับใจครับ รวมๆก็คือ ชอบครับ แม้เนื้อหาที่เขียนจะไม่เกี่ยวกับหนังก็ตามเถอะ

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความรื่นรมย์

ชีวิตมนุษย์เรานี้ มีหลากหลายแง่มุม วันนี้เราจะพูดถึงความสบายอกสบายใจของมนุษย์กันซักนิด อันว่าเกิดมาแล้วเติบโตมาแล้ว คนเราได้เรียนรู้ รับรู้สิ่งต่างๆมากมายจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ยังผลให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ความรู้สึก กับสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น บางครั้ง เรารู้สึกสบายใจกับวิวสวยๆ การได้คุยกับคนอื่นอย่างถูกคอ กินอาหารที่อยากกิน ได้ไปในที่ที่อยากไป นอนฟังเพลงที่ชอบ หรือแม้แต่การอยู่คนเดียวเงียบๆ หลากหลายมากมายที่มนุษย์เรา ได้หาความสุขให้กับตนเอง ความรื่นรมย์เล็กๆน้อยๆเหล่านี่ เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นกับเราทุกๆวัน อาจเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที เอาไว้ถ่วงดุลกับความเครียดและกดดัน จากสารพันปัญหา ให้เราได้มีเวลาผ่อนคลาย สบายๆกับทุกๆเรื่อง ปล่อยวางลงซักพัก ก็คงดี
 ยังมีความรื่นรมย์อีกหนึ่งชนิดที่ผู้เขียนอยากนำเสนอ เป็นความรื่นรมย์ที่ไม่พึงประสงค์ คืออย่างไร หาใช่สิ่งเดียวกับความรื่นรมย์ข้างต้นที่กล่าวมาไม่ แต่เป็นความรื่นรมย์บนความทุกข์ระทมของตัวเองและผู้อื่นนั่นเอง
หากเรามองแนวคิดนี้เป็นพลวัติ การกระทำสิ่งใดหรือไม่ทำสิ่งใดของเรานั้น ย่อมจะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นมากน้อยก็ให้พิจารณากันตามเหตุปัจจัย ในบางเวลา บางพื้นที่ ย่อมมีรายละเอียด มีบริบทที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงต่างกันสุดขั้ว เหล่านั้นนั่นเอง จึงอาจทำให้ความรื่นรมย์กับความขมขื่นกลายเป็นสิ่งๆเดียวกัน กล่าวคือ สิ่งรื่นรมย์ในวันนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปบริบท ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนไปการทำหรือไม่ทำในสิ่งเดียวกันนั้นอาจกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องทุกข์ทนขมขื่นก็เป็นได้ 
อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้เป็นแนวคิดส่วนตัว เป็นสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาแต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เพราะตัวแปรต่างๆที่จะนำมาสังเกตุศึกษานั้นเลือนลอยเกินที่จะควบคุม และวัดปริมาณได้ อาจจะเข้าใจยากซักหน่อย แต่ไม่แปลก เพราะผู้เขียนเอง บางครั้งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ฟังดูอาจจะวกวน ก็ผมน่ะคนนะครับ ขนาดกาแฟยังคนเลย
ไปน้ำขุ่นๆอย่างงี้ ก็ยังดีกว่าไม่มีไรเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสรีภาพและความรับผิดชอบ

เสรีภาพ เป็นสิ่งที่พึงปรารถณา ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ล้วนต้องการสิ่งนี้เฉกเช่นเดียวกัน เสรีภาพในการใช้ชีวิต การแสดงออก ความเชื่อมั่นศรัทธา การเรียนรู้ การเลี้ยงชีพ การพักผ่อนหย่อนใจฯลฯ เมื่อทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพกันอย่างเต็มที่ โดยขาดความรับผิดชอบ ย่อมก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นได้เสมอ เมื่อความต้องการในสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งนั้นกลับมีไม่พอต่อความต้องการ สภาวะเช่นนี้ หากมองจากภาพรวมๆของสังคมมนุษย์ จะสังเกตุได้ว่า ความพยายามในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าหน่วยสังคมนั้นจะมีขนาดเล็กสุดหรือระดับประเทศ นั้นในท้ายที่สุด จะมีทั้งผู้สมหวัง และผิดหวังจากการคาดหวังในเสรีภาพดังกล่าว ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร ทั้งหมดคือกระบวนการในการหาสมดุลของชีวิตซึ่งไม่มีจุดสิ้นสุด โดยแท้แล้วจริงผลการแข่งขัน ต่อสู้ที่ออกมาจะน่าพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่เราก็ควรเรียนรู้ที่จะรับความจริงอย่างกล้าหาญ ผู้ชนะไม่ได้อยู่บนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์ ผู้แพ้ใช่จะแพ้ตลอดกาล การฝึกฝนและพัฒนาตนเองจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอยู่เนืองนิจ  ถึงวันนั้นผู้ผิดหวังก็ควรสมหวังได้บ้าง
ผู้ที่ชนะในการต่อสู้ มักเป็นผู้มีต้นทุนทางสังคมมากกว่าคนอื่นเสมอ เช่น มีอำนาจ มีเงิน มีบารมี มีศรัทธาจากผู้คน น้อยนักที่ผู้มีความรู้ความสามารถโดยแท้จริง จะเข้าเส้นชัยได้เป็นที่หนึ่งเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่มีผลต่อการต่อสู้แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพนั้น มีมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ดวง หรือโชคชะตา  ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ผู้ที่อยู่ยอดบนสุดของพีรามิดชีวิต จะมีเสรีภาพมากว่าคนที่อยู่ต่ำลงมาไหม เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ชนะการแข่งขันมีสิทธิ อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ คำถามเหล่านี้อาจไม่ต้องการคำตอบ หากเราพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ การต่อสู้เรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมจึงแทบเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่หากว่าเราโดนละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยผู้ละเมิดอ้างคำว่า เสรีภาพ เช่นเดียวกัน อย่างงี้ถึงเวลาวุ่นวายแล้ว
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยเห็นคนระดับสูงละเมิดสิทธิคนระดับล่างมาก็เยอะ คนระดับล่างละเมิดคนระดับสูงมาก็ไม่น้อย ระดับเดียวกันละเมิดกันเองก็มี ดังนั้นพอจะมองเห็นว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิ การเอารัดเอาเปรียบกันนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่า ปัญหามาจากคนระดับไหน ฐานะทางสังคมการศึกษสูงต่ำ หรือเชื้อชาติศาสนาใดเลย ไม่มีข้อจำกัดใดๆเลย
สภาพวะอันตึงเครียดข้างต้นนี้ น่าจะบรรเทา เบาลงได้ด้วยคำพูดเท่ๆเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น หน้าที่และความรับผิดชอบ จิตสำนึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น  การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สุดท้ายน่าจะเป็นคำว่า "ให้อภัย" แต่ คนที่ ให้อภัย ก็คงไม่อยากให้บ่อยๆพร่ำเพรือหรอก จริงไหมครับ
เสรีภาพอันปราศจากความรับผิดชอบนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง มันจะนำความหายนะมาสู่สังคมมนุษย์ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักแต่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการ แต่มักไม่รู้จักหน้าที่ของตน "หน้าที่" อันที่จะมี "ความรับผิดชอบ" เป็นตัวกำกับในการทำหน้าที่ให้ได้เต็มประสิทธิภาพ ให้สมราคากับสิ่งที่ตนเรียกร้องต้องการ "เสรีภาพ" จึงควรมาพร้อมกับ "ความรับผิดชอบ" ด้วย จึงจะสมเหตุสมผล

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์

นับตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ผมครุ่นคิดถึงการใช้คอมฯเครื่องใหม่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และถ้าเป็นไปได้มันควรสร้างรายได้ ได้ด้วย ผมมองไปที่งานกราฟฟิกดีไซน์บ้าง งานเขียนโปรแกรมสำเร็จรูปบ้าง หรือแม้แต่งานด้านดูแลระบบเครือข่าย ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมมีทักษะด้านดังกล่าวน้อยจะถึงขั้นน้อยมากๆ กะเอาว่าจะมาเรียนรู้เอาทีหลัง ไปๆมาๆผมกลับมาวนเวียนอยู่กับวังวนเก่าๆที่เคยเป็นมา ไม่สามารถบังคับตัวเองให้แข็งใจไม่ให้เสียเวลากับการคุยกับคนหลายๆคน ที่แทบจะไม่เคยเห็นหรือพูดคุยกันได้เลยในชีวิตจริง ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ โกหกรึเปล่าก็ยากจะแยกแยะ หลายคำถามผุดขึ้นในห้วงความคิด กระตุ้นเตือนให้สำนึกรู้ว่าทำอะไรอยู่ ทำๆไม ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
แม้กระนั้น เวลาที่เสียไป มันก็ไม่ได้สูญเปล่าซะทีเดียว ผมได้เรียนรู้หลายอย่างเมื่อได้พูดคุยกับผู้คนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และสำคัญกว่าอย่างอื่น ผมได้กลับมาสู่จุดมุ่งหมายหลักได้อย่างไม่ยากเย็น ขุมทรัพย์ทางปัญญาอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้นี้ ไม่เคยมลายหายไปกับกาลเวลา มันยังรอผู้แสวงหาความหลุดพ้น จากความไม่รู้ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์หรือศิลป์ใดๆ ก็มีบันทึกอย่างมากมายไว้รอผู้มาศึกษา หาวิชาความรู้อยู่เสมอ ผมเองคงให้ความสำคัญกับเครือข่ายออนไลน์มากไปซักหน่อย แต่ก็ไม่ลืมสื่อความรู้แบบดังเดิมแต่อย่างใด บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน บันทึกต่างๆที่เขียนด้วยมือ สิ่งพิมพ์ต่างๆ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ก็ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ สื่อแขนงต่างๆทั้งหลายนั้นอาศัยพึ่งพิงกันอยู่ ดังระบบนิเวศอันหลากหลายด้วยสิ่งมีชีวิต ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นเช่นนี้เสมอมา และน่าจะคงสภาวะเช่นนี้ไปอีกนาน จนกว่า... จนกว่า... จะเปลี่ยน ละมั้ง

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อันความกรุณาปราณี

การแบ่งปันน้ำใจให้ผู้ที่ด้อยกว่า นับเป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วยใจบริสุทธิ์ ผู้ให้ น่าจะรู้สึกถึงความอิ่มเอมใจ จากการให้ ไม่ใช่สูญเสียไปเพราะการเสียสละ หรือให้ด้วยความจำใจ นั้นไม่น่าใช่เรื่องดี ทั้งต่อตัวผู้ให้และผู้รับ
ความรู้สึกดีๆที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือแม้แต่สัตว์โลกต่างสายพันธุ์ทั้งหลายนั้น นับเป็นกุศลจิตที่ควรสนับสนุนยกย่อง น่าเศร้าหากมีคนบางประเภท ที่ชอบหาประโยชน์จากคนที่มีจิตเป็นกุศลอยู่ร่ำไป หลายครั้งที่ผมทำบุญโดยที่ผมไม่ได้อยากทำ แต่ทำเพราะ"ต้องทำ"เพราะจำใจ นั้นคือผมทำบุญไปด้วยจิตอันไม่เป็นกุศลนั้นเอง ผมจึงมองเห็นคุณค่าในการทำบุญแบบนั้นด้อยลง จนคิดว่า ถ้าทำสิ่งที่เป็นเหตุแห่งความเดือดเนื้อร้อนใจแล้ว เราจะทำไปทำไมกัน พระท่านว่า ความตระหนี่ถี่เหนี่ยว บรรเทาได้ด้วยการแบ่งปัน ให้ทาน  ในจิตใจอันคับแคบของผม ความรักอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ รักแบบพระเจ้ารักมนุษย์ แบบพระพุทธองค์รักสรรพสัตว์ทั้งหลาย การจะทำให้ตนเองคิดอย่างนั้นได้จริง ต้องมีจิตใจที่สูงส่งเพียงไหน ผมเองก็จินตนาการไปไม่ถึง อย่างไรเสียผมไม่ได้กังวลกับมันมากนัก มีคนมากมายพร้อมที่จะให้คนอื่นโดยไม่มีข้อแม้ และแม้ไม่มีผมรวมอยู่ในนั้น โลกก็ยังคงหมุนไป ความรักยังมี ความดียังอยู่เหมือนเช่นเดิมที่มันเคยมีเคยเป็น หากสลับเปลี่ยนถ่ายเทไปสู่รูปแบบอื่น คนอื่นๆชีวิตอื่นๆ ให้ได้มีประสบการณ์ที่แช่มชื่นหัวใจบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร วันที่ผมจะรู้สึกอยาก "ให้" ด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมจะผ่านวนเวียนมาผมบ้างเป็นครั้งคราว หรือจะผ่านมาบ่อยๆเลย ก็อาจจะเป็นได้ น่าจะอย่างงั้นนะ

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความว่างเปล่ากับความเหงา

สองสิ่งข้างต้น มักมาคู่กัน เมื่อจิตใจมนุษย์ไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่กับความว่างเปล่าในจิตใจ ก็มักจะโหยหาสิ่งใดๆก็ตาม เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสภาวะนั้น บางครั้งผู้เขียนก็ประสบพบพานบ้าง เป็นครั้งคราว วิธีจัดการกับความเหงานั้น มนุษย์มักนึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ น้อยคนนักจะตระหนักว่า ในท้ายที่สุด ตัวเรานั้นเอง จะเป็นผู้กำหนดว่า เราต้องการผู้อื่นมาเติมเต็ม หรือว่าเราแค่รับรู้ว่า มันเป็นเพียงหนึ่งสภาวะของจิตใจ ที่จะวนเวียนมาสู่ชีวิตเรานับครั้งไม่ถ้วน และแน่นอนที่สุด เมื่อมันผ่านเข้าเอง มันย่อมไปได้เองเช่นเดียวกัน แต่การเข้าใจและยอมรับซึ่งนำไปสู่แนวทางจัดการกับสภาวะทางจิตใจที่ว่านี่ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย อาจต้องใช้เวลา และบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงทฤษฎี การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถแบบนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ต่างมีบรรพบุรุษที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค บททดสอบเพื่อให้ตนเองและเผ่าพันธุ์นั้นอยู่รอดกันแทบทั้งสิ้น หากมองในแง่หนึ่ง เราสามารถได้ประโยชน์จากความเหงาได้เช่นเดียวกัน ช่วงเวลาเหล่านี้ เราอาจจะมองเห็น คนที่ห่วงใยเรา ปรากฏตัวออกมา มักจะไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล และมักจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เรามองข้ามความสำคัญของเขาเสมอๆ และพวกเขาก็แวดล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกเมื่อเชื่อวัน คนในครอบครัวเรานี่เอง  น่าเศร้าหากเราไม่เคยมีคนเหล่านั้นอยู่เลยในชีวิต
เรากินอาหารเพื่ออยู่รอด มีมิตรภาพ ความผูกพัน มีสายสัมพันธ์เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ชีวิตในบางแง่มุมช่างเรียบง่าย ผ่อนคลาย ผมรู้สึกดีใจที่ผมได้ค้นพบมันด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าว ผมอยากมีความรู้สึกแบบนั้น ทุกๆวันมันคงจะวิเศษไปเลย

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กลับมาอีกครั้ง

เวลาผมมีมากมาย แต่ไม่มีอะไรจะถ่ายทอด คุณอาจเคยประสบปัญหาเช่นนี้ ผมไม่ได้เขียนนานมากเลย ถ้าทำงานบริษัท คงโดนไล่ออก จะว่าไป ไม่ใช่ว่าไม่มีไรเขียนหรอก มันมีมากมาย แต่ตามที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความก่อนๆ ว่าควรกลั่นกรองมากๆก่อน ออกมาสู่สายตาผู้อ่าน จะสัพเพเหระอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้ตนและผู้อื่นไม่เดือดร้อนว่างั้นเถอะ อันหลังนี้แหละคุณมันทำยากจริง ๆ การคิด พูดหรือทำอะไรโดยไม่มีผลกระทบต่อใครๆนั้น มันเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้แต่สื่อสารมวลชนมืออาชีพทุกแขนง ยังต้องเจอสภาวะเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
ผมบอกกับตัวเองเมื่อสักครู่ว่า ควรมีวินัยในการทำงานมากว่านี้ ผมเห็นด้วยทุกประการโดยไม่ตั้งข้อสงสัยมันควรเป็นเช่นนั้น บทความจะสั้นยาว (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่) ควรจะมีออกมาให้อ่านทุกวันนัยว่า มีดยิ่งหมั่นลับ นั้นย่อมยิ่งคมเช่นนั้นแล รู้วิธีการสู่ความสำเร็จทุกอย่าง แต่ทำตามอย่างที่รู้ไม่ได้ อุปมาดังเหมือนคนไม่รู้อะไรเลย อะไรทำนองนั้น  พูดไปพูดมา แก้ที่ไหนดี จบแค่นี้ดีกว่า

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

แป๊ะซะ

อาหารชนิดหนึ่ง ไม่ทราบสัญชาติที่แน่นอน ทำจากปลาช่อนตัวใหญ่  สับเป็นท่อน หมักกับเครื่องเทศ(รากผักชี พริกไทย กระเทียม ตะไคร้ ใบมะกรูด โขลกรวมกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ ซอส ซีอิ้วขาว คลุกเคล้ากัน)แล้วนำไปนึ่งจนสุกดี กินกับน้ำจิ้มหวาน(นำมะขาวเปียกมาละลายในน้ำร้อน ในกะทะ เติมน้ำตาลทราย น้ำตาลปิ๊บ เกลือ น้ำปลา จนได้รสหวาน เค็ม เปรี้ยวพอประมาณ เคี่ยวให้เข้ากันจนข้นเหนียว เติมถั่งลิสงป่นลงไป พริกแห้งทอด หอมแดงซอยเจียวพอเหลือง)และผักเครื่องเคียง ที่นิยมกันได้แก่ ผักกาดขาว ผักสลัด ผักชี สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง นิยมทำรับประทานกันหลังฤดูเกี่ยวข้าวเสร็จ อาหารชั้นดีที่น่าลองทำกินดูซักครั้ง
อาหารเย็นวันนี้นี่เองงงงงงงงง
อร่อยจริงๆครับคุณผู้อ่าน

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ผมประสบปัญหาการที่ไม่มีอะไรจะเขียนอย่างรุนแรง

โอ้ว ๆๆๆ   ๆๆๆๆ ๆๆๆๆ มันเกิดขึ้นแล้วมันเกิดขึ้นเสมอและมันจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป เช่นนั้นกะหรือออ  ชีวิตประจำวันผมมันน่าเบื่อสิ้นดี แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องราวที่อยู่ในหัวมันไม่น่านำเสนอแต่อย่างใด ปัญหามันอยู่ที่ผมส่วนหนึ่ง ปัจจัยแวดล้อมอีกหนึ่งส่วน ผมรับผิด แต่ปัจจัยแวดล้อมรับผิดกับผมหรือไม่ ท่านผู้อ่านคงไม่สนใจเรื่องนั้น นั้นน่ะมันบัดซบสิ้นดี นักเขียนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ผมไม่เคยเห็นพวกเขาเคยบ่นถึงเรื่องเฮงซวยๆ แบบนี้เหมือนผมเลย ผมเห็นแล้ว ยอมรับโดยดุษฎี ว่าแนวทางที่ผมปฎิบัติอยู่มันยากเหลือเกินที่จะนำพาความสำเร็จด้านงานเขียนมาสู่ตัวผม แต่ ถัาผมยังดื้อดึงที่ยืนหยัดในแนวทางนี้ละ (มีก็เขียน ไม่มีก็ไม่เขียน ซึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับที่ผมประกาศไว้ตอนต้นที่ทำบล็อกก็ตาม)ใช้เวลาอีกหน่อยรึเปล่า ดื้อไปอีกซักเท่าไหร่ จึงจะทำให้ผมเก่งและเป็นที่ยอมรับ โอ้วว แล้วถ้าเปลี่ยนแนวเป็น ขยันๆๆๆๆๆๆๆเขียนทุกวันๆๆๆเหมือนที่โม้ไว้ ผมเองก็มั่นใจได้เลยว่า สิ่งที่มุ่งหวังนั่น มันคงไม่ๆไกลนักหรอก ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผู้อ่านคงเห็นแล้วว่าระบบความคิดของผมนั้น มันสับสนแค่ไหน

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

หายไปนาน

ช่วงก่อนและปีใหม่ ผมได้ท่องไปในที่ต่างๆมากมาย ในเน็ตนี่แหละ มีโอกาสได้ดูบล็อกของคนอื่นมาบ้าง เห็นแล้วก็ใจหาย ซึ่งเอามาเปรียบกับงานของผมแล้วเนี่ย จะเห็นความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งเนื้อหาสาระ ความน่าสนใจ การนำเสนอ ข้อมูลเชิงลึก ฯลฯ แต่เปฺ็นการเปิดหูเปิดตาที่ดี ผมมองเห็นแนวทางการสร้างสรรของผู้อื่น แล้วมองเห็นข้อบกพร่องของตนเอง ถึงจะใจหาย แต่ก็ยังหายใจอยู่ ผมก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตนต่อไป

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...