วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บึงน้ำจืดและเหมืองแร่ดีบุก

ใครที่อยู่ภูเก็ตหรือผ่านไปผ่านมาอาจจะมาเที่ยวมาทำงาน หรืออะไรก็ตามแต่ ย่อมต้องเคยเห็นสภาพภูมิประเทศ ที่เป็นบึงน้ำน้อยใหญ่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะอยู่เป็นแน่ บึงน้ำเหล่านี้มีที่มาอย่างไรนั้น คุณผู้อ่านก็คงจะเดาได้ไม่ยาก และนี่คือที่มาที่ผมจะมาบอกกล่าวเรื่องราวในตอนนี้ ให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นอีกสักเล็กน้อยครับ


กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง อย่างที่เกริ่นไปในย่อหน้าแรก วันนี้ผมจะมาพูดถึงที่มาและรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับบึงน้ำต่างๆที่มีอยู่ในเกาะภูเก็ตครับ
สมัยเรียนประถม จะมีวิชาส.ป.ช.(วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต)ถ้าไม่ป.2ก็ป.3นี่แหละเนื้อหาวิชาบางส่วน จะพูดถึงสภาพภูมิศาตร์ของประเทศ เช่น ประเทศไทยแบ่งออกเป็นสี่ภาค เหนือใต้ ออก ตก อีสาน มีสภาพภูมิเทศเป็นอย่างไร มีทรัพยากรอะไรบ้าง มีพืชเศรษฐกิจอะไรบ้าง ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่างๆประกอบอาชีพและดำรงชีพกันอย่างไร ผมจำได้ว่าภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต มีทรัพยากรธรรมชาติและพืชเศรษฐกิจดังนี้ครับ แร่ดีบุก ยางพารา มะพร้าว ความรู้เล็กๆน้อยๆนี้ติดตัวผมมาตั้งแต่นั้น


จากการหาข้อมูลเพิ่มจากเสิร์จเอ็นจิ้นอย่างกูเกิ้ลมา เปิดประตูสู่หน้าต่างเวบเพจอันหลากหลาย ที่ว่าด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของเหมืองแร่ดีบุกและภูเก็ต ผมถึงได้รู้ว่าความรู้เกี่ยวแร่ดีบุกกับเมืองภูเก็ตนั้น มีประวัติศาสตร์ย้อนไปไกลกว่าที่ผมหรือใครอีกหลายๆคนเคยรู้ และมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างที่ผมจะนำมา เรียงร้อยมาให้ทุกท่านได้ทัศนากัน ณ บัดนี้


พ.ศ.643 จากบันทึกของนักเดินเรือชาวกรีก ผู้มีนามว่า คลอติส ปโตเลมี เขาเดินเรือมา ผ่านช่องแคบมะละกา จนมาพบเกาะๆหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเกาะที่ว่านี้ได้รับการยืนยันจากนักประวัติศาสตร์แล้วว่า เป็นเกาะภูเก็ตในปัจจุบันนี้ ซึ่งในขณะนั้น เขาได้เรียกเกาะสวรรค์แห่งนี้ว่า จังซีลอน ฮึ คุ้นๆเนาะคุณผู้อ่าน ชื่อเหมือนห้างๆนึงในหาดป่าตองเลยอะ เอิ้กๆๆๆ


กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเอกสารหลักฐานที่สามมารถยืนยันได้ ว่าเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสแห่งสยามประเทศ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ผูกขาดการค้าแร่ดีบุกที่เมืองถลางแต่เพียงผู้เดียว โดยมีเรือชื่อ คลอรามันเรล แล่นมารับสินค้าที่เมืองถลางทุกๆหนึ่งปี ฮืม พอเริ่มค้าขายก็โดนผูกขาดการค้าเสียแล้ว เอ้าแล้วไงต่อ


ครับ แล้วก็มีพ่อค้าชาวฝรั่งเศสคนนึง แกชื่อว่า วาเรต์ แกทำนายไว้ว่า แร่ดีบุก จะนำพาให้เกาะแห่งนี้ ตลอดจนผู้คนที่อาศัยอยู่ จะมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปในอนาคต จากที่เห็นในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่แกพูดไว้นักหรอกครับ แต่... ช่างมันเถ๊อะ


ต่อมาเมื่อถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช การค้ากับต่างประเทศยังซบเซาเพราะประเทศเพิ่งฟื้นตัวจากการศึกสงครามกับพม่า ช่วงเวลาเดียวกันนี้ มีชาวจีนอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำมาหากินในสยามประเทศเป็นจำนวนมาก รวมถึงเมืองถลางด้วย ชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านี้แหละครับ ที่เป็นแรงงานหลักในภาคธุรกิจการค้าต่างๆภายในประเทศสยามและการทำเหมืองแร่ดีบุกในภาคใต้ การสัมปทานเหมืองดีบุกนั้น มีเพียง พ่อค้าชาวต่างชาติกับคนใกล้ชิดเจ้าเมืองเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์อันชอบธรรมนี้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีแรงงานชาวจีนบางส่วน อาศัยความสามารถและสติปัญญาของตน จนสามารถผันตัวจากกุลีใช้แรงงาน มาเป็นเจ้าของกิจการได้สำเร็จ แต่เจ้าเมืองถลางสมัยนั้นก็กีดกันผู้ประกอบการหน้าใหม่ออกไปให้พ้นทางอยู่ดี แล้วกลายเป็นผู้ผูกขาดการทำเหมืองดีบุกเสียเอง แหม่ น่าตีจริงๆท่านเจ้าเมืองนี่ละก็ แน่นอนครับ นั้นก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการชาวจีน จนทำให้เกิดการจลาจร ลักวิ่งชิงปล้นอยู่เนืองๆ กลุ่มก่อความไม่สงบนี้ เราจะรู้จักกันดีในนาม อั้งยี่ ครับ ซึ่งในพระนครก็มีพวกอั้งยี่เหมือนกันครับ แต่ต่างกรรมต่างวาระกันเท่านั้นเอง


ล่วงเลยจนมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ห้า พระองค์ทรงปรับเปลี่ยนแบบแผนการปกครองของหัวเมืองทางใต้เสียใหม่ครับ โดยให้เมืองภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง ตะกั่วป่า และระนองรวมกันเป็นมณฑลภูเก็ตครับ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีอากรต่างๆรวมถึงภาษีเหมืองดีบุก ได้เป็นไปตามระบบระเบียบใหม่ของกองคลังส่วนกลาง เมื่อปี2418 นี่เองละครับ


หลังจากนั้นไม่นาน ราคาดีบุกในตลาดโลกตกต่ำครับ คนว่างงาน อาชญากรรมสูงขึ้น และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนถึงปี2437 ได้มีการตราพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดีบุกขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการผู้ขาดการสัมปทาน และการค้าแร่ดีบุกครับ โดยเริ่มเปิดโอกาสให้พ่อค้าชาวอังกฤษ และชาติอื่นเข้ามาประกอบกิจการเหมืองและการค้าแร่ดีบุกได้อย่างเสรี


สมัยนั้นสยามยังไม่มีโรงงานถลุงดีบุกเป็นของตัวเองครับ ต้อง ส่งไปถลุงที่โรงงานในสิงคโปร์ และเกาะปีนัง ส่วนที่น่าเจ็บใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดราคาแร่ดีบุกหน้าโรงงานของสิงคโปร์นี่ละครับ ทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางแล้วก็มาตั้งราคาเองตามใจชอบ ที่เค้าสร้างชาติให้เป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจของอาเซียนได้นี่ ผมว่าเรื่องการตั้งราคาแร่ดีบุกนี่น่าจะมีส่วนมากๆเลยละ ดูอย่างราคาน้ำมันในปัจจุบันสิครับ ทำไมราคาน้ำมันบ้านเราต้องไปอิงกับตลาดสิงคโปร์ด้วย ไม่เข้าใจจริงๆให้ตายเถอะ ใครรู้อธิบายให้ผมฟังที ผมไม่เก็ทจริงๆ


ปี2449 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวออสเตรเลียนามว่าเอ็ดเวิร์ด ที ไมลส์ เริ่มนำเทคโนโลยีเรือขุดมาใช้เป็นครั้งแรกในภูเก็ตทางชายฝั่งตะวันออกบริเวณอ่าวทุ่งคาและอ่าวมะขาม ซึ่งเจ้าเรือขุดที่ว่านี้ สามารถทำงานได้ทั้งบนบกและในทะเลครับ ในสารคดี ฝรั่งเค้าเรียกเครื่องจักรใหญ่ยักษ์สำหรับทำเหมืองขุดพวกนี้ว่า เจ้าสัตว์ร้ายครับ ฟังดูมันก็น่าจะใช่อยู่หรอก มันน่าจะสร้างความชิ-หายวายป่วงของทรัพยากรได้มากมายมหาศาลสมชื่อมันนั้นละครับ


พอสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงได้ประมาณ20-30ปี เหมือนกับว่ามีการปั่นราคาแร่ดีบุกในตลาดโลก ให้สูงขึ้นจนเกินจริงเป็นประวัติการณ์ ว่ากันว่าแร่ดีบุกตอนนั้น มีค่าราวกับทองคำ ปั่นราคากันขนาดไหนก็ลองนึกดูนะครับคุณผู้อ่าน กิจการเหมืองดีบุกขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการ(ลวงๆ)ของตลาดโลก แม้แต่รัฐบาลไทย ยังจัดตั้งองค์กรเหมืองแร่ในทะเล(อ.ม.ท.)ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อไปแข่งขันกับเอกชนอีกด้วยครับ มันทะแม่งๆนะครับคุณผู้อ่าน แถมอ.ม.ท. ของเรานี่ยังรับซื้อแร่จากบริษัทเอกชนอีกด้วย บ๊ะ เอาทุกทางจริงๆ การจัดตั้งองค์กรและการเปิดเสรีกิจการเหมืองดีบุก ทำให้เกิดผลกระทบจนเกิดความเสียหายจากคอรัปชั่น การขายแร่หนีภาษีอย่างกว้างขวางและเปิดเผย โดยที่หน่วยงานรัฐเองไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ (เป็นมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงทุกวันนี้ เรียกว่า สม่ำเสมอคงเส้นคงวาจริงๆ เอิ้กๆๆ)


7 ปีหลังจากปีพ.ศ.2530 แร่ดีบุกเริ่มล้นตลาด ราคาตกต่ำลงเรื่อยๆ เหมืองแร่ต่างๆ ในเขตสัปทานของ อ.ม.ท. ทยอยปิดตัวลงในปี2536 และรัฐบาลก็มีมติให้ยุบองค์กรเหมืองในทะเลในปี2539 ส่วนบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินการกิจเหมืองแร่มากกว่า60ปี ในอ่าวทุ่งคา อ่าวมะขาม ก็ปิดตัวลงในเวลาไล่เลี่ยกัน บ๊ายบายดีบุก แล้วเจอกันใหม่นะ เอิ้กๆๆ



นี่คือภาพด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ภูเก็ตไทยหัวครับ แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองภูเก็ตที่น่าสนใจอีกแห่งนึง ภาพนี้ถ่ายในงานตรุษจีนเมื่อสองปีที่แล้วครับ งดงามโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม



เรื่องราวเกี่ยวกับเหมืองแร่ในภูเก็ตและอีกหลายๆแห่งในภาคใต้มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจไม่น้อยเลยว่าไหมครับ ที่ผมรวบรวมมาเรียบเรียงใหม่อาจมีขาดตกบกพร่องไปบ้าง คุณผู้อ่านเห็นข้อผิดพลาด ความไม่ครบถ้วนของข้อมูลประการใด ก็สามารถท้วงติงแนะนำติชมชี้แนะกันมาได้ครับ
ขอบคุณเวบผู้จัดการออนไลน์ครับ ที่เป็นที่มาของข้อมูลที่ผมนำมาเสนอในตอนนี้ คุณผู้อ่านตามไปอ่านได้ครับ ตามสะดวกเลย เนื่องจากพิมจากมือถือ ผมเลยไม่รู้วิธีแปะลิงค์ครับ ขออภัยจริงๆ เอาเป็นว่าพิมคำค้นหาว่า สินแร่ในภูเก็ต ในกูเกิ้ล แล้วก็จะเจอเองครับ ออ สำหรับท่านใดสนใจอยากชมวิถีชีวิตของคนภูเก็ตยุคเหมืองเฟื่องฟู ของแนะนำพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวครับ อยู่ในตัวเมืองเก่าของภูเก็ตเลยครับ หาไม่ยาก มีค่าเข้าชมนิดหน่อย ส่วนพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ตที่อยู่บนถนน กะทู้เกาะแก้วก็น่าสนใจไม่น้อยครับ ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา กว้างขวาง ที่จอดรถสะดวกสบายกว่าในตัวเมืองเยอะครับ แต่ผมไม่เคยเข้าชมด้านใน เลยไม่รู้จะแนะนำอย่างไร แต่ก็แนะนำให้ไปดูครับ แล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้าง ก็คงดีไม่น้อยครับ









บรรยากาศในอาณาบริเวณทั้งภายนอกและภายในพิพิธภัณฑ์


ส่วนหนึ่งของภาพชุดของพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว ก็มีการตกหล่นสูญหายไปตามเหตุที่เคยเล่าให้ฟังในตอนก่อนๆหน้านี้เหมือนกันครับ เหลือมาให้ดูกันเท่าที่เห็นนี่ละครับ


สำหรับตอนนี้ ผมคงต้องลาคุณผู้อ่านไปแต่เพียงเท่านี้ก่อน ก็คงพอให้คุณผู้อ่านหลายคน คงนึกภาพออกแล้วว่า เหตุไฉน เมืองภูเก็ตจึงเต็มไปด้วยบึงน้ำมากมายถึงเพียงนี้


 มีเรื่องราวที่น่าประทับใจอีกเรื่องที่ผมอยากแบ่งปันให้คุณผู้อ่านได้ชุ่มชื่นหัวใจแบบผมอีกเรื่องนึงครับ คือเมื่อวันนี้ ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความที่คุณผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้ ที่บริเวณริมชายหาดในอุทยานแห่งชาติสินีนาถ ผมเหลือบไปเห็นสาวสวยขาวหมวยรายหนึ่ง เดินนวยนาดมาตามชายหาด พร้อมกับเก็บอะไรบางอย่างใส่ถุงพลาสติกที่เธอถือมาด้วย เดินพลางเก็บไปพลาง แวบแรกผมคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจีนเก็บเปลือกหอย เลยดึงความสนใจกลับมาที่งานของผม แล้วก็ก้มลงพิมเรื่องราวข้างต้นนี่ต่อ แต่พอเธอเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมก็พบว่า เธอเป็นคนสวยมาก มากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เมื่อมองเธอจากระยะไกล แล้วเธอคนนี้ก็ยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก เมื่อผมมองเห็นบางอย่างในถุงพลาสติก ที่เธอถือมา มันคือเศษขยะ ถุงพลาสติกขวดน้ำ กระดาษทิชชู่ และอื่นๆ ผมอดรนทนไม่ไหว เพราะอยากจะรู้จักกับเธอคนนี้เหลือเกิน รวบรวมความกล้าสักเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไปทักทายสาวสวยผู้นี้ จริงๆนะ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อเข้าไปถามไถ่เธอ ก็ได้ทราบว่า เธอเป็นคน ก.ท.ม. มาทำงานภูเก็ตขณะที่คุยกัน เธอก็ไม่ได้หยุดเก็บขยะนะ อาจจะเขินผมก็ได้ ผมก็เขินเธอเหมือนกัน ก็เลยถามว่า ทำไมถึงมาเก็บขยะแบบนี้ รู้ไหมว่าผมเคยคิดจะทำแบบที่เธอทำนี่แหละ แต่ก็ได้แต่คิด เธอบอกสั้นๆว่า ทำเลยพี่ เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท ผมพยายามจะขอช่องทางติดต่อเธอ และขอถ่ายรูป แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ แถมแย้มให้รู้หน่อยๆด้วยว่าเธอมีแฟนแล้ว แหม่ น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากให้มันมีปาฏิหารย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป จะไม่ยอมให้เราคลาดกันฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร พบกันสายไป มันน่า เสียดาย ปาฏิหารย์ไม่มีจริง ปัดโถ่ววว เอิ้กๆๆๆ เธอและผมกล่าวลากันไป เธอบอกว่าเดี๋ยวจะเอาขยะออกไปทิ้งข้างนอก ผมมองดูเธอเดินจากไปจนลับตา ผมอาจเป็นเหมือนผู้ชายมากมายทั่วไปที่พยายามเข้าหาผู้หญิงที่สวยๆอย่างเธอ เธอคงจะชินชาและไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ริมชายหาดอันงดงามดังภาพวาดนั้น มันจะงดงามขึ้นอีกมากมายแค่ไหนเมื่อมีเธออยู่ในภาพนั้น ก่อนที่เธอจะเดินลับไป ผมได้ละเมิดข้อตกลงที่จะไม่ถ่ายรูปเธออย่างที่เธอขอไว้ เพราะผมคิดว่า ผมอาจจะไม่มีโอกาสพบเธออีก คิดได้ดังนั้น จึงเปลี่ยนโหมดมือถือจากพิมงานเป็นโหมดถ่ายภาพ และกดชัตเตอร์ทันที เธอจะอยู่ในใจผมตลอดไป ขอบคุณเธอคนนี้ สำหรับวันดีๆอีกวันหนึ่ง ลาคุณผู้อ่านไปกับภาพที่สวยที่สุดในชีวิตผมอีกหนึ่งภาพ สวัสดีครับ






วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แด่เพื่อนผู้จากไป

สวัสดีครับคุณผู้อ่าน วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวเพื่อนของผมคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน เขาได้เสียชีวิตไปแล้วกว่าหกปี สาเหตุของการเสียชีวิตนั้น มาจากการดื่มสุรามากเกินจนตับพังนั้นเอง ผมว่าเรื่องราวของเพื่อนผู้นี้ของผม คงจะเป็นอุทาบรู๊ววว เอ้ย อุทาหรณ์ให้กับผู้ที่ชอบดื่มสุรามากเกินพอดีสำหรับผู้อ่านทุกท่านได้เป็นอย่างดี เรียกว่าหักดิบเอาจากตอนที่แล้วก็ว่าได้ ฮ่าๆ
ย้อนหลังไปเมื่อซักประมาณ ปี2533 เป็นปีที่ผมเริ่มเข้ามาเรียนในระดับมัธยมต้นในตัวจังหวัด ซึ่งห่างจากบ้านที่อยู่ต่างอำเภอของผมประมาณ 45กิโลเมตรโดยประมาณ ก็ไปเช้าเย็นกลับครับ นั่งรถประจำทางไปกลับก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงโดยเฉลี่ยต่อเที่ยว ผมรู้สึกตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ของผมมาก โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อม บทเรียนชีวิตใหม่ๆ และผมเองก็กำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยรุ่นพอดิบพอดี
ม.1รุ่นผมมีแปดห้องครับ ผมเรียนห้องม.1/7 ในห้องมีห้าสิบคน (ห้องอื่นๆก็ประมาณนี้ บวกลบประมาณสามคน)และผมก็ได้รู้จักกับไอ้เพื่อนรักของผมนี้ ที่ชั้นม.1/7แห่งนี้ นี่เอง
พวกเรานักเรียนห้อง7นั้น มีทั้งเด็กเรียนเก่งเรียนอ่อนคละกันไป ออ โดยส่วนมากนักเรียนของที่นี่จะจบป.6 ที่โรงเรียนในตัวเมืองน่าจะสักเจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นเห็นจะได้ ที่เหลือก็ดุ่มๆมาจากต่างอำเภอต่างจังหวัดบ้างเหมือนผมนี่แหละครับก็ว่ากันไป อาจารย์บางท่านชอบแซวเด็กต่างอำเภอว่า มาจากบ้านโคกอีโด่ย เป็นอันรู้กันว่าเป็นเด็กมาจากบ้านนอกไม่ประสีประสา อะไรทำนองนั้น
ช่วงชีวิตที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นนั้น นำพาให้ผมและเพื่อนหลายคนสนิทชิดเชื้อกันไปตามธรรมชาติของวัยโดยมีฉากหลังเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดมีชื่อเสียง นักเรียนที่นี่มีเปอร์เซ็นสอบเอ็นทรานซ์ติดสูงกว่าโรงเรียนไหนๆในจังหวัด ศิษย์เก่าของที่นี่ ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไป จากการที่มีพวกเขาเข้าไปอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพ มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในแวดวงสังคม พวกเราเรียนรู้ วัฒธรรมหลายๆอย่าง และซึมซับเอาความภาคภูมิใจนี้จากรุ่นสู่รุ่น ถามว่าทุกคนที่เรียนที่นี่ประสบความสำเร็จอย่างที่ว่ามาทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นหรือ ครับ ไม่แน่นอน มีไปได้สวยก็ต้องมีไปได้เสีย และอย่างที่รู้กัน ชื่อเสียงสถาบันการศึกษาไม่ได้การันตีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวบุคคลเท่านั้นเอง ผมกับไอ้เพื่อนยาก และเพื่อนๆอีกจำนวนหนึ่ง ก็ไม่ได้มีชีวิตเป็นอย่างที่เราได้ยินและเคยภาคภูมิใจแต่อย่างใด ใช่ครับ เราห่วยแตก เอิ้กๆๆ
ห้องผมมีเรื่องขึ้นชื่อเรื่องนึงครับ คือเรื่องทะเลาะวิวาท เกือบครึ่งของจำนวนนักเรียนทั้งห้องเคยตีกันมาแล้วทั้งสิ้น เกือบทั้งหมดของต้นเรื่อง เป็นเรื่องขี้หมูขี้หมาหาสาระมิได้
และตีกันก็ไม่ได้เลือดตกยางออกอะไร ต่อยกันไม่มีคนห้ามซักพักก็เหนื่อยแล้วก็เลิกกันไปเอง แต่เอาไปคุยได้ ว่าห้องกูแม่งตีกันอีกแล้ว เอิ้กๆๆ มีอีกหลายกรณี มีผู้อยู่เบื้องหลัง ครับ ห้องผมนอกจากนักมวยแล้ว ยังมีโปรโมเตอร์มือทอง มันชอบจัดมวยเด็ดๆได้ไม่แพ้โปรโมเตอร์มวยอาชีพทีเดียว เอิ้กๆๆมันจะชอบยุคนนั้นให้เกลียดนี้ ยุคนนี้ให้หักกับคนนั้น ไปบอกคนนู้นว่าไอ้คนนี้มันบอกมันเจ๋ง อย่างมึงตีสู้มันไม่ได้หรอก อะไรทำนองนี้ สารพัดคารมที่มันยกมากล่อมให้เพื่อนมาตีกันให้ดู พอนึกนึกถึงถึงตอนนั้นแล้วอยากย้อนเวลาไปตบกบาลไอ้หมอนี้สักที เอิ้กๆๆ แหมมันแสบจริง ๆ แต่ไม่ใช่ไอ้เพื่อนเกลอเจ้าของเรื่องๆนี้หรอก เกริ่นให้ฟังบรรยากาศรวมๆตอนเข้าเรียนใหม่ๆให้เห็นภาพครับ ว่า ออ ลืมบอกไป สมัยผมเรียนนั้น ม.ต้นจะเป็นชายล้วนครับเพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็นสหวิทยาตอนผมขึ้นม.6นู้นครับ ไอ้ตอนผมเรียนม.ต้นมันเลยมีแต่ตัวผู้ ห่ามๆแสบๆเจ็บๆกันทั้งนั้น ยิ่งร้อยพ่อพันธ์แม่มาเจอกันนี้ โห่ ฝนตกขี้หมูไหลกันเลยทีเดียว นี่ยังไม่พูดถึงการไปยูเนี่ยนกับจอมแสบห้องอื่นนะครับเนี่ย
ครับผมและไอ้เพื่อนยากก็เคยผ่านสังเวียนกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องมาแล้วเช่นกัน และเราก็แพ้ยับเยินทั้งคู่ เอิ้กๆๆ
ออ ผมลืมอธิบายบุคคลิกภาพโดยรวมของเจ้าของเรื่องเลย
เรื่องชื่อของมันผมขออนุญาติไม่เอ่ยถึงนะครับ เพราะผมยังไม่ได้ขออนุญาติพ่อแม่ของเพื่อนว่าจะนำมาบอกเล่าสู่คุณผู้อ่านได้ฟังกัน คืออยากเขียนก็เขียนเลย เลยขอสงวนนามไว้นะครับผม
ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันสูงซักร้อยหกสิบนิดๆถึงตอนอายุสามสิบกลางก็ประมาณนี้ เตี้ยว่างั้นเถอะ(บอกแต่แรกว่าเตี้ยก็จบ เอิ้กๆๆ) คือตัวเล็ก ผิวขาวละเอียด หน้าตาหล่อเหลาทีเดียว เสียงแหบต่ำ จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับ คิ้วหนาเรียวเชิดขึ้นด้านข้าง รับกับใบหน้ารูปไข่ของมันได้อย่างลงตัวที่สุด มีปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม ภาษาวัยรุ่นเค้าเรียด สด ใช่ปะ(บอกตรงๆไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนกับมันเท่าไหร่ แหะๆสาวๆสนใจแต่มันตลอด น้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน เอิ้กๆๆ)ที่สำคัญ มันมีเซ้นต์ทางด้านศิลปะไทยครับ ฝีมือมันไม่เบาเลย โดยเฉพาะงานจิตรกรรมและแกะสลัก ยังอายุน้อย ยังพัฒนาได้อีกไกล อันนี้ผมเสียดายปนอิจฉาครับ อยากเขียนรูปเขียนโบถ์เหมือนมันบ้าง(มันเคยบอกผมว่า เคยไปเขียนรูปในโบถ์ให้ชาวบ้านโดยไม่คิดเงินสักบาท ขอแค่มีข้าวกับเหล้ากินก็พอ แหม่ มึงจะหล่อไปไหน) มันเท่นะคุณ อะไรที่มันเป็นรากเหง้าของชนชาติเราเอง แล้วเรามีความสามารถทางนี้ด้วย มันเจ๋งอะ (ศิลปะของชาติอะ มรดกของชาติอะคุณผู้อ่านคิดดู)ถ้ามันจะเอาจริงเอาจังทางนี้ มันต้องรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นแน่แท้เทียวครับ นอกจากนั้นมันยังมีอารมณ์ขันล้นเหลือครับ กินเหล้ากะมันนี่ไม่มีเครียด นอกจากมันจะเครียดของมันเอง บทความที่แล้วที่ผมเอาวลีเด็ดมาแถที่ว่า "ก็ผมไม่ได้เป็นใบ้นี่" ผมก็ลอกไอ้หมอนี่มาละครับ มีอีกหลายมุกเลยที่ผมจำของมันไปใช้หากินเวลาป้อสาว เอิ้กๆๆ แต่ชีวิตช่วงก่อนที่มันจะจากไป มันกลับกลายเป็นไอ้ตลกฝืดไปเสียนั่น ความเฉลียวฉลาดคมคายความพริ้วของมัน หายไปไหนหมดไม่รู้ จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเหล้าอีกนั่นแหละ ผมได้แต่เสียดาย เสียดายที่ประเทศเราสูญเสียบุคคลากรที่มีความสามารถไปทางศิลปะไปก่อนวัยอันควร ถ้ามันยังอยู่ มันคงมีโอกาสสร้างสรรค์งานศิลป์ให้กับประเทศชาติได้อีกเยอะ ลืมบอกอีกเรื่องนึงครับ หลังจากที่มันไม่ได้เรียนกับพวกผมแล้ว มันก็ไปเรียนก.ศ.น.จนจบม.3 แล้วพ่อมันก็ส่งไปเรียนช่างยนต์ที่นครพนมก็เหลวเหมือนเดิมครับ ก่อนจะถูกส่งตัวไปเรียนช่างสิบหมู่ที่วิทยาลัยในวังในพระบรมราชูปถัมป์ อยุธยาและมาต่อที่ศิลปกรรมที่ราชภัฏอุบลฯ เห็นได้ชัดว่าเพื่อนผมมันชอบศิลปะมากว่าอย่างอื่น
มิตรภาพของผมและเพื่อนๆมีเหล้า บุหรี่ เสียงเพลง เป็นตัวเชื่อม ประสาน พวกเราเริ่มหัดดูดหัดดื่มกันตั้งแต่ตอนนั้น(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ)การดูดนี่จะไปดูดกันตอนเช้าก่อนเข้าแถวหรือก่อนเข้าเรียนคาบแรก และแน่นอน หลังมื้อเที่ยงด้วย ส่วนการดื่มนั้น เราก็จะหาโอกาสพิเศษอย่าง ทุกครั้งที่มีกิจกรรม นอกหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นกีฬาสี กีฬาจังหวัด การเดินทางไกล(ลูกเสือ)กิจกรรมออกร้านของนักเรียน(เกษตรแฟร์) การจัดการแข่งขันด้านวิชาการจากโรงเรียนต่างๆ เราก็ไม่เว้น เราก็จะต้องออกไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียน ด้วยการดื่มและดูดแทบจะทุกครั้งไป นี่ยังไม่นับวันเกิด วันอยากเกิด วันนู้นนี่นั่น อะไรก็ตามที่เราพอจะคิดออก และที่พอจะบอกและอ้างเหตุผลกับพ่อแม่ได้ เพื่อจะรวมตัวกัน ทำกิจกรรมอันไร้สาระนี้
นึกย้อนไปอีก ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ ก็ได้คำตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากสนุกสนาน อยากเฮฮา อยากมีตัวตน อยากทำอะไรห่ามๆหลุดโลก อยากได้การยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ก็ประมาณนี้ครับ วัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยก็คงประมาณนี้กระมังครับ อยู่ที่จะประคับประคองตัวเองได้แค่ไหน  คงเป็นเพราะความไม่คิดอะไรมากนี้เอง ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่างๆของวัยรุ่น
มีครั้งนึง เมื่อกลุ่มเพื่อนของเราสนิทแนบแน่นกันพอสมควรแล้ว พวกเราอาจหาญทำการใหญ่โดยการโดดเรียนออกไปเฉลิมฉลองวันเกิดของเพื่อนในกลุ่มกลางวันแสกๆ ที่บ้านของเพื่อนยากของผมคนนี้ อยู่นอกเมืองออกไปไม่ไกลนัก บรรยากาศเงียบสงบ หลังบ้านติดกับบึงน้ำขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยพืชพรรณ อย่างกก จอกแหน เฟิร์น หม้อข้าวหม้อแกงลิง และพืชพรรณในบึงน้ำชนิดอื่นๆอีกเยอะเลยที่ผมไม่รู้จักชื่อ นอกจากนี่ยังเต็มไปด้วยนกกินปลาหลายสายพันธุ์ที่ทำรังและหากินอยู่ระบบนิเวศอันหลากหลายนี้อีกด้วย ไงครับ บรรยากาศน่านั่งกินเหล้ามากเลยว่าไหมครับ เอิ้กๆๆๆ
ด้วยความผิดปกติของจำนวนนักเรียนที่หายไปจากชั้นเรียน เท่าที่จำได้ น่าจะแปดคน เป็นวิชาอังกฤษด้วย ผมยังจำได้แม่น จึงทำให้อาจารย์ประจำวิชาต้องร้องเรียนไปยังอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องเรา จนเกิดปฏิบัติการตามล่านักดื่มสุราวัยละอ่อนขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ในขณะที่จอห์นนี่วอลเกอร์แบล็คเลเบิ้ลพร่องลงไปยังไม่ถึงครึ่งขวด เพราะเพิ่งเวียนแก้วไปรอบเดียว และเสียงเพลงฮิตของวงอินคาจากเครื่องเสียงสเตอริโอค่ายโซนี่
ดังคลอไปกับเสียงพูดคุยเฮฮาของผองเพื่อนที่นั่งล้อมวงอยู่บนเสื่อผืนใหญ่ ทันใดนั้นเองที่มุมทางเดินห่างออกไปสักประมาณสิบหลาเห็นจะได้ อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพ่อของไอ้เพื่อนยากของผมซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ทั้งสองย่างสามขุมตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเราอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของพวกเราอยู่ดี หนึ่งในวงเหล้าละล่ำละลักตะโกนเสียงดังลั่น "เฮ้ย (ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง) มา" สิ้นเสียงตะโกนเท่านั้น ทุกคนยกเว้นไอ้เพื่อนยากของเรา ก็พุ่งทะยานออกไปจากวงเหล้าแบบจอมยุทธ์ในหนังจีนทันที (นึกสงสัยตัวเองหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวลนลานกันขนาดนั้น) ที่ตลกคือ ทางที่วิ่งหนีมันเป็นขอบคันดินแคบๆที่ทำขึ้นเพื่อกั้นบึงน้ำกับตัวบริเวณบ้าน มันทำให้วิ่งไปได้ทีละคนแบบแถวตอนเรียงเดี่ยว แล้วมีเพื่อนบางคน กลัวมากจนสติแตกเลยอยากจะวิ่งแซงไอ้คนอยู่ข้างหน้าจนวิ่งตกคันดินหัวทิ่มไปเลย ทุลักทุเล ขำไปวิ่งไป วิ่งหนีไปได้สักร้อยเมตรเศษ ก็หยุดปรึกษากันแบบหอบๆว่าเอาไงกันดี ส่วนไอ้รูปหล่อของเรามันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แถมนั่งคุยกับคุณครูและพ่อมันอย่างอารมณ์ดีไม่สะทกสะท้าน นี่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของมันอีกหนึ่งอย่าง ในยามคับขันไม่ลนลานแตกตื่น สมเป็นจอมยุทธ์ผู้ท่องมาแล้วทั่วยุทธจักร เอิ้กๆๆแล้วผู้ต้องหาทั้งหมดก็ยอมมอบตัว เพราะคิดว่า โทษหนักจะได้เป็นเบา อีกอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาของเราท่านไม่ได้เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนนักรบนอกด่านซักกะหน่อย เอิ้กๆๆและพวกเราก็คิดถูก สรุป พวกเราทุกคนก็ถูกเรียกผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของบุตรหลานของท่านที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งเรากลัวกันจริงๆ เพราะถึงเราจะเกเร แต่เราก็ไม่อยากให้พ่อแม่เราหนักใจน่ะ คือเราทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของพ่อแม่เราลงไปแล้วไง คุณผู้อ่านนึกออกไหม


เพื่อนผมคนนี้มีเพื่อนอีกกลุ่มครับ ก็ไม่เชิงเท่าไหร่ คือเขาก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมนู้นแน่ะครับ กลุ่มนี้นอกจากกิจกรรมดื่มดูด เที่ยวกลางคืนแล้วพวกเขายังชอบกิจกรรมการดมอีกด้วยครับ ไม่ใช่ดมเกงในนะคร้าบบ เอิ้กๆๆ เท่าที่ไปคลุกคลีตีโมงด้วย ผมก็ไม่คิดว่ากลุ่มนี้เค้าจะมีปัญหาชีวิตอะไรนักหนาหรอกครับ ที่ต้องหาทางออกด้วยการดมเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะถูกจริตกับความเมาด้วยการดม เท่านั้นเองก็เป็นได้ ผมก็เคยลองกับเขาบ้างเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้จริงๆครับ ทางนี้ไม่ไหวจริงๆ ผมก็เลยห่างๆออกมา วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนไปเป็นปี แล้วพฤติกรรม ความชื่นชอบก็เริ่มคัดกรองคนในกลุ่มให้เหลือแต่พวกที่ชอบอะไรเหมือนๆกันเท่านั้น ช่วงนั้นเพื่อนผมคนนี้ก็เริ่มรู้แน่แล้วว่ามันชอบความเมาแบบไหน ส่วนผมชอบเหมือนเดิม ไม่เพิ่มการดม จากมอหนึ่งขึ้นมอสอง เริ่มมีความชัดเจนว่า เพื่อนผมคนนี้ ไม่อยากมาเรียนหนังสืออีกต่อไป และออกนอกลู่นอกทางไปจนแทบจะหาทางกลับไม่เจออยู่แล้ว ไอ้ผมก็ได้แต่เฝ้าดู ฟังข่าวมันจากเพื่อนคนอื่นๆ เพราะผมเองไม่ได้อยู่ในกลุ่มของมันอีกแล้ว แล้วไอ้ผมเองก็ใช่ว่าการเรียนจะดีนักหนา จะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่ใจมันอยากรอด ก็เลยดิ้นรนถูไถจนจบม.3จนได้ ผมได้ข่าวว่ามันหนีออกจากบ้านไปกรุงเทพฯกับเพื่อนกลุ่มดมของมันตั้งแต่ม.2เทอมปลายเสียแล้ว


เป็นช่วงปิดเทอมช่วงนั้นเอง ผมมีโอกาสแวะไปถามไถ่ข่าวคราวจากพ่อแม่ของมันบ้าง ครั้งสองครั้ง ก็ทราบว่ามันยังคงใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯและยังไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วอีกสองปีต่อมา


ที่วัดเลียบ ไอ้เพื่อนยากของผมมันก็ฉายแววด้านศิลปะไทยออกมาให้ผมได้เห็นเป็นครั้งแรก เมื่อผมมีโอกาสไปนั่งดื่มและดูมันทำงาน เป็นงานแกะต้นเทียนพรรษา สำหรับงานประเพณีแห่เทียนพรรษาครับ นั่นมันน่าทึ่งมากทีเดียวกับฝีมือแกะเทียนของมัน
ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมายาวนาน และมีคนหนุ่มสาวมาสืบสานต่อ ช่างเป็นวิถีที่งดงามยิ่ง


"กูอยากตาย"มากกว่าสองครั้งที่มันได้เอ่ยขึ้นมาในวงสนทนาขณะที่นั่งดื่มกัน หลายเดือนก่อนหน้าที่มันจากจากไป ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะผมไม่คิดว่ามันจะอยากมากขนาดนั้น ช่วงนั้นผมไม่ค่อยอยากให้มันมาร่วมสังสรรเท่าไหร่ เหตุเพราะร่างกายของมันทรุดโทรมมาก ก่อนหน้าที่พวกเพื่อนๆจะค่อยๆกลับมาเจอะเจอมารวมตัวกัน ไอ้เพื่อนยากของผมก็เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นอยู่ประมาณปีสองปีทีเดียว เพราะมันไม่ยอมหยุดดื่ม ไม่ยอมฟังคำทัดทานใดๆจากใคร แม้กระทั่งพ่อแม่มันเอง จะว่าไป พวกผมเองก็มีส่วนทำให้มันกลับมาดื่มอีกเหมือนกันนะ หลังจากที่พ่อมันพาไปหาพระเกจิรูปหนึ่งและให้มันสาบานว่าจะหยุดดื่มเด็ดขาดอย่างน้อยสองปี ไม่อย่างงั้นก็จองวัดได้เลย แต่พอเจอเพื่อนๆ บ่อยๆเข้า มันก็เริ่มตบะแตก


เพื่อนในกลุ่มอีกเป็นนักดนตรีเก่าคนเปิดร้านอาหารอยู่ใกล้บ้านของไอ้รูปหล่อ และมันก็ให้โอกาสผมมาเล่นดนตรีที่ร้านนั้นด้วยครับ ก็ก๊องๆแก๊งๆไป เล่นเอามัน เล่นแค่ศุกร์เสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะความที่ร้านมันอยู่ใกล้กับบ้าน ไอ้รูปหล่อ มันจึงแวะเวียนมานั่งมาพบปะเพื่อนๆอุดหนุดที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง สมัยเรียนจากคนที่เคยเป็นตัวโจ๊ก ตัวฮาตัวป่วน มันกลายเป็นคนหงอยเศร้า ขี้น้อยใจ เล่าแต่เรื่องทุกข์ใจระบายให้ฟังบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหลือความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจให้เห็นอีกเลย เพื่อนๆก็ได้แต่ปลอบๆไป สมัยที่มันท็อปฟอร์ม ไม่มีใครฮาเกินมัน ใครที่พยายามจะหักหน้ามัน จะโดนมันตอกจนหน้าหงายกลายเป็นตัวตลกไปเลยละครับ ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจน รู้สึกกังวล แต่ก็คิดว่ามันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวมันเอง เพราะด้วยวัยและประสบการณ์ชีวิต ที่มันออกจะผ่านอะไรๆมามากกว่าผมและเพื่อนๆอีกหลายๆคนด้วยซ้ำไป เกิดคำถามขึ้นในใจผม มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของมันกันแน่ อะไร คือสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจมันที่ไม่อาจเยียวยา อะไรทำให้คนๆหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีอนาคตที่สดใสรออยู่ กลับกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นสิ้นหวังสิ้นศรัทธาในตัวเอง จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่พบคำตอบนั้น จากมาแล้วดื่มแค่น้ำเปล่า ก็ยกระดับเป็นสปาย จากสปายไปเป็นเบียร์ แล้วก็เหล้า เข้าสู่วงจรเดิม และเข้าสู่โรงหมอต่อไป
 มันคิดถึงเพื่อน มันเป็นคนรักเพื่อนรักฝูง มันคงอยากสนุกกับเพื่อน มันเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการผลักดันให้เกิดงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนๆม.ต้นที่เรียนด้วยกันมา สุดท้าย มันก็ไม่ได้มางานที่มันพยายามจัดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ห่างหายกันไปกว่ายี่สิบปี
ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่อยากทำให้ดีกว่านี้


ในวันที่มันไป มีโทรศัพท์สายนึง เบอร์คุ้นๆโทรมาหลายสายมากๆผมรู้สึกแปลกๆ คือ จำไม่ได้ว่าเป็นเบอร์ใคร และผมรู้สึกไม่อยากรับสายนี้เลย ไม่รู้ทำไม โทรมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ซึ่งแบบว่า ถูกมะ คือโทรมาสักห้าสายนี้ก็ต้องเอะใจแล้วใช่ไหมคุณผู้อ่านว่าคนโทรมานี่ต้องมีธุระสำคัญมากๆ แต่นี้ ล่อไปสามสิบกว่าสายแน่ะ กว่าผมจะยอมรับสาย แล้วผมก็รู้ว่าทำไม ผมถึงไม่อยากรับสายนี้


แม่ของเพื่อนผมพยายามโทรมาหาผมเพื่อแจ้งข่าวการจากไปของมัน ให้ตายเถอะถึงผมจะช็อคมากที่ได้รู้ แต่ไม่ได้ผิดจากที่คาดไว้ บอกตรงๆ ผมเห็นสภาพมันครั้งสุดท้ายที่แวะไปเยี่ยมมันที่บ้านครั้งนั้น ผมก็เริ่มทำใจตั้งแต่นั้นมา ว่าถ้าหากมันยังขืนดื้อดึงดันจะดื่มต่อไป มันคงจะดื่มเป็นเพื่อนผมได้อีกไม่นานนัก เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น


ผมเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของท่านทั้งสอง พ่อแม่ของเพื่อนผมในงานพิธี ตัวเพื่อนผมมันไปสบายแล้ว แต่ทั้งสองคนนี้จะอยู่กับความเจ็บปวดนี้ไปอีกนานเท่าใด ผมไม่อยากจะจินตนาการ ผมอยากให้ท่านทั้งสองมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่แม้จะไม่มีลูกชายคนนี้ ไอ้เพื่อนยากของผมอีกต่อไปแล้วก็ตาม


หกปีผ่านไปแล้ว นึกแล้วก็ใจหาย เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เพราะรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปเร็วนี่เอง จึงทำให้ผมได้ตระหนักว่า มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ก็จงรีบๆทำเสีย ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป ได้แต่หวังว่าเพื่อนของผมจะเดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี และขอจบเรื่องราวนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าผู้อ่านจะได้อะไรบ้างจากบทเรียนชีวิตที่สรุปรวบยอดมาให้ฟังสั้นๆนี้ นี่คงเป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิตเพื่อนผมที่ผมได้รับรู้และสัมผัสมา ส่วนชีวิตในด้านอื่นๆของมัน ก็คงไม่มีความหมายสำหรับผมและเพื่อนคนอื่นๆอีกต่อไป หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกนะ ไอ้เพื่อนยาก


กุศลผลบุญอันใดอันเกิดจากบทความชิ้นนี้ ขออุทิศให้แด่ เพื่อนผู้จากไปของผมผู้นี้ด้วยครับ
 จะนี้เยอะไปไหน เอิ้กๆๆๆ



วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมรัย และความเป็นไปของมนุษยชาติ

เมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีเวลาว่างจากหน้าที่การงานนิดหน่อย เลยไปนั่งอ่านหนังสือเล่นๆในห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ แถวๆบ้าน ถือโอกาสไปเยี่ยมเจ้าเหมียวตัวนี้ด้วยครับ


เจ้าเหมียวตัวนี้ผมไม่ตั้งชื่อให้มัน เวลาไปถึง ถึงไม่เรียกชื่อ มันก็จะเดินมาหา เป็นแมวลักษณะดีใช้ได้ แม้ไม่ตรงตามตำรา แต่จัดว่าน่ารักน่าชังพอดู เป็นตัวเมีย ตอนนี้กำลังท้องแก่ ผมไม่คิดว่ามันเป็นแมวจรจัดหรอก คิดว่ามันมีบ้านมีเจ้าของอยู่แถวๆนี้แหละ มาที่นี่ทีไรเป็นต้องเจอเจ้านี่อยู่เสมอเลย วันไหนมีข้าวมีขนมก็แบ่งๆให้กินบ้าง เจ้าเหมียวก็จะเข้ามาคลอเคลียออดอ้อนให้ผมลูบเนื้อลูบตัว เกาคางสางขน เป็นประจำทุกวันเวลาไม่เคยเหนื่อยล้า กับม้าลายยย เอิ้กๆๆหลงมาเป็นเนื้อเพลงบุษบาซะแล้ว




วันนั้นผมเลือกหยิบเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกฉบับภาษาไทย ของเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เอง เอามาอ่านแก้เซ็งครับเนื้อหาหลักๆมีอยู่สี่ห้าเรื่องที่จำได้








เรื่องแรกเป็นเรื่องของโซเชียลมีเดีย พูดถึงที่มาของสื่อโซเชียลมีเดียตั้งแต่เพิร์ทมาจนถึงแอพพลิเคชั่นไลน์ บทบาท อิทธิพลตลอดจนผลกระทบต่างๆต่อสังคมมนุษย์ของโซเชียลมีเดีย ไลฟ์สไตล์ของคนในสังคมกับสื่อสังคมออนไลน์






เรื่องต่อมาพูดถึงอุทยานแห่งชาติในอเมริกาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เนื่องจากการละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้ต้นสนในอุทยานเริ่มยืนต้นตาย ที่มาที่ไปของการเกิดอุทยานแห่งชาติในอเมริกาตลอดจนแนวคิดเริ่มแรกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม  และการปรับกระบวนทัศน์ในเรื่องการอนุรักษ์ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน








เรื่องที่สาม กล่าวถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิของหญิงม่ายในหลายประเทศทั่วโลก เรื่องนี่ผมอ่านผ่านๆ กลัวหดหู่ครับบั่นทอนพลังชีวิตเปล่าๆปลี้ๆ เลยไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดเท่าไหร่ จริงๆเรื่องราวประมาณนี้ผมรับได้สบายเลยนะ สิวๆมาก แต่ไม่รับดีกว่า มันเครียดไปหน่อย




เรื่องที่สี่เป็นเรื่องการอพยพย้ายถิ่นของแมวป่าซึ่งมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ที่ดำรงชีวิตกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก








เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องของการนำเสนอแนวคิดใหม่เรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์กับการค้นพบหลักฐานสำคัญ ที่บ่งชี้ว่า การถือกำเนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มีความสัมพันธ์กับพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของมนุษย์ อย่างมีนัยสำคัญ โบ้วว น่าสนใจใช่ไหมละครับคุณผู้โชมมม เอ้ย คุณผู้อ่าน เอิ้กๆๆๆ ผมจะขยายความให้ฟังสักนิดหน่อยพอเรียกน้ำย่อย ส่วนผู้อ่านท่านใดสนใจรายละเอียดที่มากกว่าที่ผมนำมาเล่าให้ฟัง ก็ตามไปอุดหนุนกันได้ครับตามแผงหนังสือใกล้บ้านท่าน ไม่ก็หาอ่านเอาตามห้องสมุดแบบผมเลยก็ประหยัดดี แอร์เย็นด้วย เอิ้กๆๆ


ครับ เรื่องมีอยู่ว่า คุณมาร์ติน ซานโคว์ เขาเป็นอาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการหมักเบียร์ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค ประเทศเยอรมัน พี่แกมีทีมวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อที่ผมจั่วหัวเรื่องไว้นั่นแหละครับ ทีมวิจัยของแก ได้ค้นพบหลักฐานเก่าแก่ที่สามารถระบุได้ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มาจากการหมักอย่างจงใจจากภูมิปัญญาของมนุษย์นั้น มีมายาวนานกว่า 9000ปีแล้ว ที่แหล่งโบราณคดีเจี่ยหู ประเทศจีน คุณแพทริก แมกกัพเวิร์น นักโบราณคดีชีวโมเลกุล จากมหาวิทยาลัย เพนซิลวาเนีย หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ค้นพบเหล่านั้นหมักจากข้าวเจ้า น้ำผึ้ง และผลไม้ โว้วว วิเคราะห์กันได้ถึงขนาดนั้นเชียวครับ แค่ฟังก็อยากจะลองลิ้มชิมดูซะแล้วละครับคุณผู้อ่าน นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานเก่าแก่กว่า 7400ปีเกี่ยวกับการหมักเบียร์และไวน์ที่เทือกเขาคอเคซัสจอร์เจีย และเทือกเขาซาครอสในประเทศอิหร่านอีกด้วย


ทีมนักวิจัย ให้แนวคิดแบบนี้ครับ ว่า น่าจะมีไพรเมท(บรรพบุษร่วมของคนเราและลิง)สักตัวหนึ่ง ได้ลองชิมผลไม้ที่สุกงอมจนใกล้เน่า ที่หล่นลงมาจากต้นจนเกลื่อนพื้น ไอ้เจ้าผลไม้ใกล้เน่านี่เองที่มีเอททานอล(แอลกอฮอลล์ที่กินได้)ตามธรรมชาติ ซึ่งเอททานอลนี้ มีคุณสมบัติในการช่วยให้สาร เซโรโทนีน โดพามีน และเอนดอร์ฟินหลั่งออกมาในสมองของคนกินครับ สารสองตัวแรกอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเราๆท่านๆนัก แต่เอนดอร์ฟินนี่มันพอผ่านๆหูผ่านตาอยู่บ้างนะผมว่า สารเหล่านี้เองมันทำให้คนเรารู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม มีความสุข นั่นเองละครับ พอได้ลองกิน มันก็เมา พอเมาแล้วก็ติดใจว่างั้นเถอะ ทีมนักวิจัยได้สันนิฐานอีกว่าอีกว่า หลังจากที่ไพรเมทเริ่มติดอกติดใจการกินผลไม้ใกล้เน่า ได้สักพักแล้ว หลังจากนั้น ได้พบว่ามีการกลายพันธ์ของยีน ADH4(ใครเก่งวิทยาศาสตร์มาบอกหน่อยว่ามันคืออัลไล) ซึ่งยีนตัวนี้ เค้าบอกว่ามีความสามารถในการย่อยเอททานอลได้เร็วกว่าเดิม40เท่าแน่ะคุณผู้อ่าน อืม เริ่มมองเห็นความเชื่องโยงกันแล้วไหมละครับผม


สมมุติฐานนี้ นำไปสู่แนวคิดที่ว่า พอไพรเมทเหล่านี้กินผลไม้ใกล้เน่าจนอิ่มแปล้ หรืออีกนัยนึง คือเมาปลิ้นนั่นเอง ระรอกแห่งความสุขในสมองของเจ้าลิงขี้เมาพวกนี้ มีผลทำให้เกิดความพึงพอใจกับวิถีชีวิตแบบใหม่(แบบเมาๆ) ความผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม ความสุนทรีย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ เป็นตัวจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทั้งด้านภาษา ศิลปะ และศาสนา ว่ากันไปนั้นเลย คุณแพททริกยังบอกอีกว่า ความชื่นชอบในรสเมรัย น่าจะเป็นลักษณะการสืบสายพันธุ์จากวิวัฒนาการที่ฝังแน่น ซึ่งทำให้เราแตกต่างจากสัตว์อื่นๆส่วนใหญ่ ประมาณว่า รุ่งอรุณแห่งอารยธรรมมนุษย์มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นี่แหละป็นตัวขับเคลื่อน โฮะ มันขนาดนั้นเชียวรึวะไอ้ทิดเฮิร์บ กระผมก็มิกล้าฟันธงหรอกขอรับ เพราะฟังเขามาอีกทีน่ะขอรับ เอิ้กๆๆๆ


เพลินดีไหมครับคุณผู้อ่าน แนวคิดพวกนี้เปิดโลกทัศน์ได้ดีทีเดียวครับ ส่วนจริงเท็จประการใดนั้นก็ไม่ต้องไปซีเรียสครับ ให้นักวิจัยเขาทำหน้าที่ของเขาไป เราก็แค่รอเขามาเล่าให้ฟังก็พอ ดีไหมครับ ผมตั้งใจให้ผู้อ่านทุกท่านสบายๆกับงานเขียนของผมอยู่แล้วครับ หากมันจะไปกระตุ้นต่อมความคิดของทุกท่านให้โลดแล่นบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เขาว่าไอสไตน์ว่าไว้อย่างงั้น ผมก็เอามาว่าต่อละครับ เอิ้กๆๆๆ


สารภาพกับคุณผู้อ่านว่า ขณะที่เขียนบทความนี้นั้น ผมเองก็กำลังเมาอยู่ครับ แหม มันเข้ากั๊น เข้ากันกับเรื่องที่เขียนอยู่ซะจริงจริ๊ง เอิ้กๆๆๆ


เอาละครับ สำหรับวันนี้คงสมควรแก่เวลาบอกลาคุณผู้อ่านอีกครั้งนึงแล้ว


แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า ตอนที่ผมควรจะมีอะไรเข้าท่าๆมาให้อ่านกันอีก
สวัสดีครับ







วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ไปดูหนังกันไหมครับ


กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งนึงครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องภูเก็ตในอีกแง่มุมนึงที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ หรืออาจจะรู้แล้ว แต่ผมก็จะเล่า เผื่อให้คนที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้กันครับ




ภูเก็ตก็คงเป็นเหมือนจังหวัดอื่นในประเทศไทย ที่มีชาวไทยเชื้อสายจีน กระจัดกระจายพำนักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนเหล่านี้ สืบทอดเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่โล้สำเภาข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน หนีภัยสงครามและความแร้นแค้นมาเสี่ยงโชคตามดินแดนต่างๆแทบจะทั่วโลกก็ว่าได้ และแน่นอนที่สุด หนึ่งในนั้นก็ต้องมีดินแดนด้ามขวานแห่งนี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ศาลเจ้าแห่งหนึ่งใจกลางเมืองเยื้องกับอาคารที่ทำการของธนาคารสีเขียว สวยงามมากๆครับ



การย้ายถิ่นฐานของผู้คนนั้น ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะผันตัวไปที่ใดมักจะนำวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนมาด้วยเสมอ(ไม่เฉพาะชาวจีนหรอกครับ เพราะเป็นแบบนี้กันทุกชนชาติ) ตั้งแต่อาการการกิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รูปแบบสถาปัตยกรรมที่พักอาศัย ศาสนสถาน ตลอดจนความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในกรณีที่จะพูดถึงวันนี้คือศาลเจ้าของชาวไทยเชื้อสายจีนครับ




ในภูเก็ตจะมีศาลเจ้าต่างๆมากมายกระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด(ผมเชื่อว่าอีกหลายจังหวัดในภาคใต้คงจะมีลักษณะเช่นนี้ไม่ต่างกัน ) เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางที่ท่านอาจไม่คิดว่านี่คือศาลเจ้า เพราะดูเหมือนบ้านคนมากกว่า บางที่ท่านอาจจะเห็นเป็นศาลพระภูมิมากกว่าอย่างอื่นเป็นแน่แท้ แน่นอนว่าประเพณีตรุษจีน ถือศีลกินผัก การไหว้พระจันทร์ และอื่นๆ ย่อมจะมีศาลเจ้าเหล่านี้เข้ามามีบทบาทร่วมอยู่เสมอมิได้ขาด ในฐานะศูนย์ร่วมจิตใจของคนในชุมชน เหมือนวัดของชาวพุทธ โบสถ์ของชาวคริสต์ และมัสยิตของชาวมุสลิมนั่นเอง ดูเหมือนว่าที่ผมร่ายมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่คุณผู้อ่านรู้กันดีอยู่แล้ว แล้วอะไรละที่ผมต้องการจะบอก แหะๆ ไม่ใช่อะไรใหญ่โตหรอกครับ คือตั้งแต่ผมมาอาศัยอยู่ที่ภูเก็ตนี่ ผมจึงได้รู้ว่า วันดีคืนดี ศาลเจ้าต่างๆเขาจะมีการฉายหนังกางแปลงให้คนได้ดูกันฟรีๆครับ คุณผู้อ่านบางท่านอาจตบเข่าฉาดเข้าให้ แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างหยามหยันว่า นั่นไง กุว่าแล้วเชียว บักห่า มึงก็วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องพรรค์นี้แหละ เดาออกตั้งแต่จั่วหัวแล้ว ครับ ตั้งใจให้เดาออก ศาลเจ้าเขามีหนังกางแปลงมาฉาย ก็เลยหยิบยกมาเล่าให้ฟังครับ
ศาลเจ้าเดียวกันกับภาพแรกครับ แต่เป็นอีกมุมนึง ลายปูนปั้นเขาสวยแจ่มแมวจริงๆครับ



ช่วงเวลาปลายปีถึงต้นปีใหม่ ศาลเจ้าต่างๆมักจะมีการฉายหนังให้ดูกัน ผมเดาว่าน่าจะเป็นการฉลองการก่อตั้งศาลเจ้าแน่ๆ รึอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ(คุณผู้อ่านคงตำหนิผมว่าไม่รู้จริงแล้วพูดทำไม งั้นผมขอแถข้างๆคูๆว่า ก็ผมไม่ได้เป็นใบ้นี่ครับ เอิ้กๆๆ อันนี้ก็อบวลีเด็ดของเพื่อนมาแถครับ เอิ้กๆๆ) แต่จะไม่พร้อมกันทุกศาลนะครับ แบบว่า เหลื่อมกันสองวันสามวันจนถึงเป็นเดือนก็มี จอหนังเค้าก็ขนาดกระทัดรัดครับ สองเมตรครึ่งคูณห้าเมตรเห็นจะได้ บรรยากาศก็บ้านๆครับ บางคนปูเสื่อนอนเอกขเนกบางคนขนเอาเก้าอี้ในศาลเจ้ามานั่งเป็นวีไอพีซะ บางท่านก็หาได้นำพาอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ มาถึงก็นั่งเลย ไม่ต้องเสื้อเก้าอี้หรือหนังสือพิมพ์ ซักพักจะมีรถขายขนมมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างมาจอดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มราคาย่อมเยาว์แด่ทุกท่านด้วยนะครับ แหม เห็นแล้วนึกถึงบรรยากาศหนังกางแปลงแถวบ้านตอนผมเด็กๆเลยครับ คืนนึงก็จะฉายประมาณสองเรื่อง เลิกไม่ดึกครับ สี่ซ้าห้าทุ่มก็แยกย้ายแล้วครับและปักหลักฉายอยู่ตั้งแต่สามวันจนถึงหนึ่งสัปดาห์นู้นเลยละครับ


เป็นเพราะความขี้เบื่อของผม ทำให้ผมได้รู้เรื่องอะไรพวกนี้โดยบังเอิญอีกเช่นเคย หลังมื้อเย็นคุณผู้อ่านเคยเป็นเหมือนผมไหม คืออิ่มแล้วไม่อยากกับไปนอนอุดอู้ในห้องพักสี่เหลี่ยมแคบๆน่ะมันน่าเบื่อครับ พอกินมื้อเย็นเสร็จผมก็มักเดินดูโน้นนี่ตามประสา ไกลหน่อยก็จักรยาน หาความสำราญตาสำเริงใจเอาแบบนี้ละครับสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยเช่นผม




 มีศาลเจ้าอยู่สองสามที่ที่ผมเคยไปนั่งดูหนังกางแปลงมาแล้ว และไปเจออีกหลายที่โดยบังเอิญผ่านไปเจอ อยู่นานๆไปจนถึงบางอ้อ อ้อออออ เทพเจ้าท่านก็ชอบความบันเทิงในโลกเซลลูลอยด์เหมือนกันแฮะ เอิ้กๆๆ พาลคิดไปว่าจังหวัดอื่นใกล้เคียงก็คงคล้ายๆอย่างนี้กระมัง รอผู้รู้มาให้ข้อมูลครับผม



ภาพบรรยากาศก่อนวันงานตรุษจีนที่ผ่านมาครับ พอดีผ่านไปแถวในเมือง เลยเก็บภาพมาฝากคุณผู้อ่าน



ว่างๆไปดูหนังกันไหมครับ
สำหรับวันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้
ขอพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน



วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

smile

intro G C G C G C D 2times






Gฉันบังเอิญผ่านCมา Gพบเธอโอ้วสะCดุดตา Gหรือเธอคือคนที่Cใฝ่หา คนDนั้น






Gเลียบๆเคียงๆเข้าCไป Gเพื่อจะมองดูเธอCใกล้ๆ Gยิ่งมองก็ยิ่งถูกCใจ อะไรอย่างDนั้น






Em*เธอคงเริ่มDรู้ตัว Cว่ามีคนGมอง EmเธอจึงDหันมองกลับมา เมื่อCตาประสานตา




G**รอยDยิ้มเธอตรึงฉันEmไว้ แต่CใจฉันDล่องลอยGไป Dสู่ดินแดนแห่งEmฝัน ที่มีแต่CฉันและDเธอเท่าGนั้น DมันจะมีอะไรงดEmงามไปกว่าC งดDงามไปกว่าGยิ้ม Dยิ้มที่ออกจากEmใจ Cยิ้มพิมDใจของGเธอ




solo G C G C G C D




Gหรือว่านี่คือสCวรรค์ GฉันจึงมาเจอนางCฟ้า Gไม่ได้ฝันไปหรอกCหนา ที่Dเห็น




Gดูท่าทีช่างอ่อนCโยน Gเปี่ยมล้นด้วยมิตรไมCตรี GยามเจรจาพาCที ช่างดูDเข้าตา


  (ซ้ำ*,**)






Smileเป็นอีกหนึ่งเพลงที่เขียนขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกับเพลงปลายทาง เขียนจากความรู้สึกเก่าๆเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มน้อยวัยกระเตาะครับ อารมณ์เหมือนเพลงพี่ป้างนครินทร์น่ะครับเพลงที่แกร้องว่า "หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ"แต่เพลงนี้จะไม่ซึ้งแบบนั้นครับ จะออกสดใส สนุกๆมากกว่า ซึ่งตอนที่เขียนเพลงนี้ ก็ไม่ได้ไปเจอสาวที่ไหนหรอกครับ แบบว่าจดจำความรู้สึกเก่าสมัยยังเรียนม.ปลาย จนถึงมหา'ลัยมาเขียน เป็นเพลงที่มีจังหวะจะโคนกระชับๆหน่อยๆ และเนื้อหาไม่ซีเรียสจริงจังนัก เพลงนี่เริ่มแต่งจากเมโลดี้ก่อนครับคือซ้อมๆไปแล้วเกิดชอบเสียงกดแล้วดีดสายของนิ้วก้อยครับ มันตุแหง่วๆโดนใจดี แล้วก็มานั่งฟังว่า คอร์ดประมาณนี้ จังหวะประมาณนี้ อารมณ์สนุกๆแบบนี้ เนื้อเพลงน่าจะประมาณไหน แล้วเนื้อหามันก็ตามมาอย่างที่เล่าให้ฟังนั่นละครับ เนื้อหาก็มาการปรับปรุงแก้ไขอีกหลายครั้งเช่นเคย ถึงตอนนี้แล้วก็ยังคิดว่าอาจยังต้องแก้อีกในอนาคตครับ




เพลงนี้เหมือนกับอีกหลายเพลงของผมที่เขียนบันทึกไว้โปรแกรมเวิร์ดของวินโดว์ในโน๊ตบุ๊คที่พังแล้วยังไม่ได้ซ่อม ผมจำเนื้อเพลงไม่ได้ขึ้นใจนัก ที่เขียนมาให้ดูในวันนี้จึงมีการแต่งเพิ่มเข้าไปบ้างอีกเหมือนเดิม ผมกำลังหาทางเอาไฟล์เพลงที่บันทึกเสียงโดยมือถือเอามาลงให้คุณผู้อ่านลองฟังอยู่ครับ คุณผู้อ่านอาจถามว่า ก็เอามาลงสิ มันยากตรงไหน ผมเองก็คิดว่าไม่ยากครับ แต่พอดียังไม่รู้วิธีทำแค่นั้นเอง แหะๆ




เป็นเพราะว่าไม่รู้เมื่อไหร่ ผมจะมีทุนมากพอไปทำเพลงให้มันสมบูรณ์ในห้องบันทึกเสียง ประกอบกับอายุและรายได้ของผมมันไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน เครื่องไม้เครื่องมือ ฝีมือทางดนตรีก็ใช่ว่าจะเก่งกล้าสามารถเหมือนคนอื่นเขา ถึงใครๆอาจบอกว่าผมไม่เจียมบอดี้ก็ตามเถอะ แต่ผมก็ยังอยากจะทำมันอยู่ดี ผมจะทำเท่าที่ทรัพยากรเราเอื้ออำนวย ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น น่าจะดีกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆเพื่อรอวันที่จะพร้อม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อีกนั่นแหละ ยิ่งอายุเยอะขึ้น ไฟฝันมันก็ไม่โชติช่วงเหมือนตอนที่ยังอายุน้อยๆ อีกอย่าง ผมไม่อยากทำเพลงขายนะ อยากแบ่งปันความมุ่งหวังตั้งใจของคนคนหนึ่งมากกว่าครับ แค่อยากทำ ขอให้ได้ทำเถอะ ผมจึงตัดสินใจถ่ายทอดผลงานของผม ลงบนบล็อคที่ชอบๆของผมนี่เองละครับ ก็ได้แต่หวังว่าจะถูกใจคุณผู้อ่านสักคนสองคนก็ยังดีน่า เอิ้กๆๆๆ พบกันใหม่ในตอนต่อไป



ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลานะครับผม
ขอพลังแห่งการสร้างสรรค์จงอยู่คู่กับท่าน



วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เขารัง

สวัสดีคุณผู้อ่านอีกครั้งครับ วันนี้กลับมาเล่าเรื่องเมืองภูเก็ตกันต่อ ตอนนี้ผมจะกล่าวถึงอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมที่เหมาะอย่างนิ่ง ที่จะไปพักผ่อนหย่อนใจ หาความสำราญชื่นบานหัวใจ หรือท่านอยากจะประกอบกิจกรรมอื่นๆที่ท่านชื่นชอบ ก็สุดแท้แต่ใจท่านทั้งหลายเถิดครับ หลายๆคนเมื่อเคยมาครั้งนึงแล้ว ก็มักจะชักชวนอาคันตุกะจากต่างแดนทั้งไทยเทศ ให้มาสัมผัสกับบรรยากาศของขุนเขาใจกลางเมืองแห่งนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ความสวยงามของวิวทิวทัศน์ แมกไม้สูงใหญ่ร่มรื่น จะทำให้พวกเขาได้รับความอิ่มเอมใจ เหมือนกับผู้คนอื่นๆอีกมากมายที่เคยมาที่นี่ .......เขารัง






หากคุณเดินทางมาจากตำบลฉลองด้วยถนนเจ้าฟ้าตะวันออก ก็แค่ตรงมาเรื่อยๆไม่ต้องสนใจแยกไหนๆ คุณก็จะเจอทางขึ้นเขารังโดยอัตโนมัติ เหมือนผมที่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก


สำหรับคนต่างถิ่นไม่รู้ทาง ผมแนะนำวิธีง่ายๆครับ ถามเลยครับง่ายสุดเอิ้กๆๆ





 ที่เห็นนี่คือศาลาเอนกประสงค์และระเบียง ที่ใช้เป็นจุดชมวิว สร้างขึ้นมาต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยือน



ที่เห็นนั่นคือทัศนียภาพนึงในหลายมุมเหนือตัวเมืองภูเก็ต






เขารังเป็นภูเขาที่มีความสูงไม่มาก ใช้เวลาขึ้นลงพอๆกับเขาโต๊ะแซะ เขารังมีข้อดีอยู่หลายอย่างครับ มีมากพอจะใช้เป็นเหตุผลของใครหลายๆคนในการตัดสินใจไปใช้บริการสถานที่แห่งนี้อยู่เสมอ เช่น อยู่ใจกลางตัวเมือง ไปมาสะดวก มีร้านอาหารร้านกาแฟที่มีวิวทิวทัศน์เป็นจุดขายอยู่สามสี่ร้านตามทางขึ้นเขา และมีร้านอาหารกึ่งผับ อยู่ยอดเขาอีกหนึ่งร้าน ลดหลั่นลงมาอีกนิด ก็จะมีร้านกาแฟที่น่านั่งที่สุดอีกร้านนึง ถัดมาอีกหน่อยทางการภูเก็ตได้ทำการจัดสร้างอาคารเอนกประสงค์รูปวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางราวห้าเมตรหรือมากกว่านั้น เมื่อแหงนมองขึ้นไปในตัวอาคารด้านใน ก็มีการบอกเล่าประวัติคร่าวๆ เรื่องราวความเป็นมาของเมืองภูเก็ต และบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ผลักดันให้เมืองภูเก็ตมีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจุบัน ติดกันนั้นเป็นระเบียงคอนกรีตที่สร้างยื่นออกไปสำหรับเป็นจุดชมวิวและถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมเยือนอีกด้วยครับ รอบบริเวณจะมีม้านั่งกระจายอยู่โดยรอบ มีที่จอดรถยนค์รองรับไปประมาณสามสิบคันโดยประมาณ สำหรับมอเตอร์ไซต์ กะด้วยสายตาน่าจะจอดได้เป็นร้อยคันครับ นอกเหนือจากทางที่ผมแนะนำแล้ว ยังมีทางขึ้นเขาอีกทางนึง ซึ่งทางขึ้นที่สองนี่ก็เข้าได้อีกหลายทางอีกต่างหาก เออ เอากะเขาสิ ท่านที่มาใช้บริการสามารถประกอบกิจกรรมสันทนาการได้ตามอัธยาศัยครับ แต่ต้องไม่เป็นการรบกวนผู้อื่นด้วยนะครับ ขอฝากไว้นิดนึง


วันดีคืนดีคุณอาจจะเห็นลิงเจ้าถิ่นด้วยนะ (ลิงอีกแระ)ของที่นี่จะมีจำนวนน้อยกว่าเขาโต๊ะแซะอยู่มากโข และไม่ค่อยสร้างปัญหาให้นักท่องเที่ยวนัก อาจเพราะคนนิยมไปใช้บริการที่นี่เป็นจำนวนมาก และมีมาไม่ขาดสาย ลิงก็ลิงเถอะ เจอคนเยอะๆก็ต้องเผ่นเหมือนกัน









ระหว่างทางขึ้น ด้านถนนเจ้าฟ้าตะวันออก จะมองเห็นวัด ซึ่งผมจำชื่อวัดไม่ได้ แหะๆ นี่เป็นสองภาพแรกที่จอดถ่ายระหว่างปั่นขึ้นเขารังเป็นครั้งแรก บอกได้เลยครับว่า คำว่าลิ้นห้อย มันน้อยไปด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ภาพถ่ายชุดเขารังของผมในวันนั้น ได้เสียหายไปหลายภาพทีเดียว เนื่องจากเหตุที่เคยแจ้งให้ทราบในตอนที่แล้วๆมา คงเหลือมาให้ดูเพียงสี่ภาพนี่เท่านั้น


สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเมืองภูเก็ต ยังมีอีกมากมาย หลายหลากจริงๆที่ผมยังไม่ได้หยิบยกมาเล่าให้ฟังและมีอีกหลายแห่ง ที่ผมก็เก็บมาได้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น (เพราะตอนนั้นยังไม่มีตังค์ซื้อสมาร์ทโฟนนั่นเองละคร้าบ แหมพูดมาซะเท่เชียว) ยังหวังว่าจะมีโอกาสไปแวะเวียนเยี่ยมเยือนอีกบ้าง หากโอกาสจะอำนวย เพื่อจะได้เก็บเรื่องราวดีๆเหล่านั้น มาเล่าสู่คุณผู้อ่านได้ฟังกัน และจะได้รู้สึกดีๆไปด้วยกันไงครับ ขุนเขากลางใจเมือง ทะเลใกล้แค่เดินถึง นี่คงเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของเมืองภูเก็ต ที่ทำให้ชาวภูเก็ตไม่อยากย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น และผู้มาเยือน ก็อยากจะมาอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง


อันที่จริงผมอยากเล่าเรื่องสถานที่น่าประทับใจของภูเก็ตแบบนี้ไปเรื่อยๆเหมือนกันครับ กลัวแต่ว่า ตัวผมเองหรือไม่ก็คุณผู้อ่านจะเบื่อซะก่อนซี คนมักเป็นเช่นนี้ คุณอาจเป็นเช่นนี้ ตึงตะลึ่งตึง ม๊าม๊าาาาาา ทำดีให้กันก่อนจะสายยย ตายไปแล้วไม่มีประโยชน์โอ๊ดด เอิ้กๆๆๆมันกลายเป็นเนื้อเพลงหินเหล็กไฟไปได้ยังไงฟะ เอิ้กๆๆ


เขารังในมุมมองของผม อาจถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรได้ไม่มากนัก ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างที่ผมไม่อยากนำมากล่าวอ้างกับคุณผู้อ่านให้เสียอารมณ์ แค่อยากบอกว่า ถ้ามีโอกาส หากท่านว่างเว้นจากกิจการงานต่างๆ อยากให้คุณผู้อ่านออกไปพักผ่อน ทำกิจกรรมกับบุคคลในครอบครัวญาติมิตรของท่าน ผ่อนคลายความเครียดกันบ้างนะครับ เพื่อสุขภาพพลานามัยของทุกท่านเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่จังหวัดไหน อยู่ภูเก็ตหรือไม่ และไม่จำเป็นต้องเป็นที่ที่ผมแนะนำ ไปที่ๆคุณผู้อ่านชอบนั้นละครับ ใช่ครับ ที่ชอบที่ชอบ เอิ้กๆๆๆ ผมเปล่ากวนตีนนะ ชอบที่ไหนก็ไปที่นั่นเถิดครับ คนเรามันชอบเหมือนกันซะที่ไหนเล่า จริงไหมครับ


ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่คุณผู้อ่านที่รักของผมทุกท่านครับ พบกันใหม่ตอนหน้า

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ขอบพระคุณ

ไม่มีคำ พูดคำใด ที่จะนำมาบรรยายความรู้สึก ในส่วนลึก ของหัวใจ ที่ผมมี ให้กับคน ทั้งสองคน ที่เป็นคนให้กำเนิดตัวผมนี้ ว่าผมรักเขา และภูมิใจ ที่โชคดี
ไม่ว่าวันและเวลาจะผ่านมาสักเท่าไหร่แต่ความรักที่เขาให้กับผมนี้ ไม่เคยจะเปลี่ยนความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่แสนดี นี่คือรักแท้ จากสองคนนี้
พระคุณเปรียบเป็นดังท้องฟ้า และมีค่ากว่าทุกสิ่งที่ผมมี มากกว่าชีวิต มากกว่าร่างกาย คือความอบอุ่น
อยากตอบแทนความรักนั้น ที่ได้ทำให้ทุกวันเป็นผมนี้ กราบลงตรงเท้า เอ่ยจากหัวใจ ว่าขอบพระคุณ








เนื้อเพลง ขอบพระคุณ โดย พี่บอยด์ โกสิยพงษ์ อัลบั้มชุด simplified ปี2539






เพลงเปิดตัวด้วยเสียวแซ็กโซโฟนหวานๆเดินเบสคุมจังหวะเนิบช้า เสริมด้วยเสียงเสียงเปียโนที่นุ่มนวลชวนฝัน ผมว่าพี่บอยด์แกเก่งเรื่องการเรียบเรียงดนตรีมากที่สุดคนนึงของเมืองไทยนะ ความดีงามของเพลงฮิตของแกแต่ละเพลง แกก็มักจะยกคุณงามความดีนั้นให้กับพระเจ้าเสมอ เพราะอย่างที่เราๆรู้กัน ว่าพี่บอยด์แกนับถือศาสนาคริสต์ไง ช่างถ่อมตนเสียจริงนะพี่






เนื้อหาของเพลง ผมก็คงไม่อธิบายอะไรมาก เพราะตัวเพลงได้บอกเล่าชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องแปลเพิ่ม เป็นความรู้สึกของคนที่ซาบซึ้งและสำนึกอย่างล้นพ้น ต่อการให้กำเนิดตัวเขาขึ้นมาบนโลก   เนื้อหาเพลงสั้นๆ หากแต่ครบถ้วนกระบวนความตามสิ่งที่ต้องการบอก และนั้นมันออกมาจากส่วนลึกของหัวใจเขาจริงๆ เสียงร้องของพี่นภ พรชำนิ ก็ถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้สมบูรณ์ยิ่ง นี่เป็นหนึ่งในอัลบั้มทรงคุณค่าตลอดกาลของผมเลยละ






มีอีกหลายๆเพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้ ที่ถูกจริตประทับจิตประทับใจผมมากๆ อย่าง ห่างไกลเหลือเกิน ได้พี่ป๊อดโมเดิร์นด็อกมาเป็นผู้ขับร้อง อามฟรี และเที่ยงคืนโดยพี่โป้โยคีเพลย์บอย สองเพลงนี่ออกแนวโซลฟังก์ ที่ฟังแล้วสะใจไม่แพ้เพลงร็อคหนักๆ แล้วยังมีเพลงภาพเก่าๆซึ่งได้ศิลปินในดวงใจผมอีกท่านนึงมาเป็นผู้ขับร้อง ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพี่ปั่นไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว นั่นเองละคร้าบบบ(ประโยคเมื่อกี้นี้ถ้าได้เสียงพี่ดีเจแปะโป้งแห่งเอไทม์ เป็นคนพูดจะได้ฟีลลิ่งมาก) แล้วยังมี หากฉันไม่ตื่น พยาน อยากจะขอ โดยพี่นภ พรชำนิ เพลงอยากจะขอนี้ผมเอาไปหากินในวงเหล้าบ่อยๆสมัยม.ปลาย(ขออีกสักเป๊กแน เอิ้กๆๆๆ) และอีกหลายเพลงที่มีความโดดเด่นทั้งเนื้อหาและภาคของดนตรี
ซึ่งเมื่อได้เปิดฟังที่ไร ก็อดนึกถึงวันเวลาเก่าๆ บุคคลแวดล้อม เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะที่อัลบั้มชุดนี้วางขายออกมา




 เช่นเป็นข่วงเวลาที่แนวเพลงอาร์แอนด์บีได้รับความนิยมมากๆที่สุดช่วงนึง เรียกได้ว่า ศิลปินยุคนั้นทั้งค่ายยักษ์ใหญ่ค่ายเล็กๆก็จะมีเพลงช้าเป็นสไตล์อาร์แอนด์บีเกือบๆจะทั้งนั้น ลูกเอื้อนอิมโพรไวท์นี่ ไม่เป็นก็ต้องหัดให้เป็นครับในขณะที่แนวเพลงที่เขาเรียกกันว่าอัลเทอร์เนทีฟก็ได้รับความนิยมไปทั่วหัวระแหงไม่แพ้กัน(เลยจุดพีคไปแล้ว และกำลังเจ้าสู่ช่วงขาลง) เป็นช่วงเวลาที่วงการเพลงเฟื่องฟูสุดๆ มีค่ายเพลงอิสระและศิลปินเปิดตัวออกสู่ตลาดเพลงมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เทปเพลงและซีดียังคงขายดีอยู่ และคนฟังเพลงก็ยังคงชอบเอาปกเทปออกมาดูเครดิตคนแต่งเพลงคนเรียบเรียงดนตรีกันอยู่ มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันอยากจะออกเทปมีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเอง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับเอิ้กๆๆ ก่อนที่อีกไม่กี่ปีต่อมาเทปผีซีดีเถื่อนจะปล่อยหมัดเด็ดน็อคค่ายเพลงต่างๆลงไปหงายท้องแอ่งแม้ง ที่ลุกขึ้นยืนได้ก็มีแต่ค่ายใหญ่สายป่านยาวเท่านั้น ที่เหลือก็ดับสนิททั้งคนทั้งค่าย ช่างน่าอนาถใจแท้ สะท้อนให้เห็นว่า บ้านเมืองเรามองเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับงานศิลปะมากน้อยเพียงไร


ที่ผมหยิบยกงานของพี่บอยด์มาพูดในวันนี้ ก็เพราะผมเองก็อยากจะบอกบุพการีของผมทั้งสองท่าน ว่าผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเนื้อหาของเพลงขอบพระคุณเช่นกัน ซึ่งผมเองนั้นไม่เคยบอกท่านเลย นอกเหนือจากพ่อแม่ผมยังอยากเผื่อแผ่ความรู้สึกเช่นนี้ต่อญาติสนิท มิตรสหายทั้งหลาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ บุคคลทั้งลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมและผมได้ผ่านเข้าไปในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน ขอให้ทุกคนทุกท่านมีแต่ความสุขกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรง โชคดีมีชัย ตลอดไปชั่วกาลนาน เทอญ


ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ครับ

เจอกันตอนหน้าครับผม







ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...