วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การแปรรูปและการถนอมอาหาร(ต่อ)

มานั่งคิดดูแล้ว ถ้าผมตัดสินใจเขียนอย่างที่บอกตอนท้ายของตอนที่แล้ว เรื่องราวที่จะเขียนก็คงจะยืดยาวเป็นซีรี่ส์จนคนเขียนต้องเบื่อไปเองแน่ๆ ก็เลยเปลี่ยนใจ มาเป็นการพูดถึงชนิดของการแปรรูปและถนอมอาหารดีกว่า คิดว่าน่าจะได้เนื้อหาที่พอเหมาะกำลังดี ไม่เยิ้นเย้อมาก
การดอง
เป็นการถนอมอาหาร โดยการใช้ความเค็มของน้ำเกลือทำหน้าที่เป็นตัวยืดระยะเวลาการเน่าเปื่อยของผลผลิตไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายทำงานได้ เป็นการดูดน้ำออกจากเซลล์โดยมีโซเดียมเข้าไปแทนที่ ทำให้เซลล์เนื้อเยื้อของผลผลิตคงรูปได้ยาวนานขึ้น การแปรรูปและถนอมอาหารสามารถทำได้ทั้งพืช และสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น หัวผักกาด ผักกาด ต้นหอม กะเทียม ผักเสี้ยน กะหล่ำปลี หน่อไม้ ฯลฯ  เมื่อดองจนได้ที่ ก็จะมีรสเปรี้ยวด้วย ส่วนพวกผลไม้เช่น มะม่วง มะดัน มะนาว มะยม มะกอก องุ่น ฯลฯพวกนี้แม้ไม่ดองผลดิบมันก็เปรี้ยวอยู่แล้ว แต่พูดถึงว่า ที่กล่าวๆมานี้ มันของอร่อยๆทั้งนั้นเลยคุณผู้อ่าน  พูดแล้วน้ำลายไหล น่าแกล้มเหล้าจริงๆ ส่วนที่เป็นการดองสัตว์ ที่พบบ่อย ก็จะเป็นจำพวก สัตว์น้ำ อย่างปู ปลา กุ้ง หอย สัตว์ปีกก็มี ไข่เป็ดไข่ไก่ อย่างอื่นหรือเนื้อสัตว์ปีกรวมถึงเนื้อสัตว์ใหญ่ดองนั้น ยังไม่เคยเห็น แต่ไม่สรุปว่าไม่มี

พวกพืชผัก โดยส่วนใหญ่จะทำการคั้นให้น้ำในเนื้อผักที่มักมีรสขมและกลิ่นเหม็นเขียวออกก่อน แล้วจึงนำไปใส่เกลือหรือน้ำเกลือในปริมาณที่พอเหมาะ หมักบ่มด้วยระยะเวลาที่แตกต่างตามชนิดของพืช การดองผักในบ้านเรามักมีการนำข้าวเหนียวนึ่งสุกผสมลงในการคั้นผักด้วย เพื่อเป็นตัวเร่งให้ระยะเวลาการหมักสั้นลงและเพื่อให้ผักดองมีรสเปรี้ยว ส่วนการดองผลไม้ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากเลย เพียงเตรียมน้ำต้มเกลือให้พร้อม แล้วใส่ผลไม้ ที่ส่วนมากมีรสเปรี้ยว แกะเปลือก(มะขาม)แกะเมล็ดหรือเม็ดแล้ว ลงในน้ำเกลือต้มที่เตรียมไว้ ใส่ภาชนะแล้วปิดฝาให้สนิท หลังจากนั้นที่เราทำได้ก็คือ รอเวลาให้รสชาติได้ที่ เท่านั้นเอง
 ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อน เค้ารู้ได้ไงว่าเกลือถนอมอาหารได้ ไปทำอีท่าไหนกันก็ไม่รู้ แล้วภูมิปัญญาง่ายๆนี้ก็แพร่หลายทุกที่ทั่วโลก เป็นความรู้พื้นๆที่ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนที่ไหน และไม่มีใครไม่รู้ว่าเกลือสามารถชลอการเน่าเปื่อยได้ คิดไปคิดมาก็น่าทึ่งเหมือนกันแฮะ
ตอนหน้าจะเป็นเรื่องใดนั้นก็ โปรดติดตาม ก็แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การแปรรูปและการถนอมอาหาร

ผลผลิตทางการเกษตรต่างๆที่เก็บเกี่ยวมาได้ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้หรือผลผลิตจากสัตว์เลี้ยง เมื่อเหลือจากการใช้บริโภคเองหรือเหลือขาย เราก็สามารถแปรรูปและถนอมเอาไว้ บริโภคหรือขายได้อีก และเมื่อผลผลิตเหล่านี้ได้ถูกแปรรูปไป ก็มักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกระบวนการที่เพิ่มมาด้วยเช่นกัน
แม้ว่ามนุษย์เราอยู่ต่างพืนที่ ต่างวัฒนธรรมก็ตาม การแปรรูปผลผลิตกลับมีความคล้ายคลึงกัน หรือหากจะแตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น นั่นหมายความว่า ทุกชาติทุกวัฒนธรรม ใช้หลักในการแปรรูปหรือถนอมอาหารเดียวกัน คือ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับผลผลิตที่ได้มา เพื่อให้เก็บไว้บริโภคได้นานขึ้น รสชาติดีขึ้น และเมื่อถึงฤดูกาลที่ขาดแคลนอาหาร ก็จะนำออกมาบริโภคได้ทันที หากเป็นปัจจุบันก็คงทำกันเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการค้าเป็นหลัก
ผมเคยเดินตามห้างสรรพสินค้าแห่งนึง และบังเอิญไปเจอกับกิมจิบรรจุถุงสำเร็จวางสงบนิ่งอยู่ช่องเย็นแช่สินค้า สีสันหน้าตาชวนให้ลิ้มลองเหมือนในทีวีไม่มีผิด ด้วยความที่กระแสเกาหลีมาแรงและความอยากรู้อยากเห็น ว่า กิมจิ ของ ที่เค้าว่าอร่อยนักหนาแถมเป็นอาหารประจำชาติเกาหลีนั้น มันจะมีรสชาติยังไงกันหนอ ผมไม่รีรอที่จะจ่าย เพื่อแลกกับประสบการครั้งแรกของผมกับกิมจิที่แสนจะน่ากินถุงนั้น เมื่อได้กิมจิมาแล้ว ผมตรงไปที่ฟู้ดคอร์ทเพื่อที่จะลองชิมมันในทันที คำแรกที่ผมได้เอื้อนเอ่ยออกมา หลังจากกินเข้าไปคำแรก มันไม่สุภาพสักหน่อย แต่ได้อารมณ์มาก "บัดซบ"  ผมคำรามกับตัวเองเบาๆกิมจินี่ มันมีรสชาติไม่แตกต่างไปจากผักดองถุงละห้าบาทที่ขายในตลาดสดบ้านเราเลยซักกะนิด ผมรู้สึกเวทนาตัวเองเล็กน้อย และมันก็ทำให้ผมอยากระบายความรู้สึกเฮงซวยเช่นนี้กับใครซักคน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งเอสเอ็มเอสถึงเพื่อนคนหนึ่งใจความว่า "มึงรู้ไหมเพื่อน กิมจิน่ะ มันก็ส้มผักบ้านเราดีๆนี่เอง"  (ส้มผัก คือ ผักดอง ในภาษาอีสาน) ผมกดส่งไปหวังว่าจะได้รับข้อความตอบกลับหรือโทรกลับจากเพื่อน เพื่อที่จะรู้ว่า มันรู้สึกยังไงที่ได้รู้ความจริงอันน่าหัวร่อนี้ แต่ไม่มีการติดต่อกลับมา ผมคิดว่า มันคงไม่สนใจว่ากิมจิมันมีรสชาติเป็นยังไงเหมือนส้มผักหรือเปล่า ไม่ก็ มันอาจจะรู้มาตั้งนานแล้ว และคงขำกลิ้งไปกับความจริงนี้ไปตั้งนานแล้วก็เป็นไปได้
หัวข้อในวันนี้ อันเนื่องมาจากรายการสารคดีรวมพลคนรักชีส ของต่างประเทศครับ เห็นเค้าทำชีสแล้วมันน่ากินจริงๆ คิดว่าน่าจะอร่อยกว่ากิมจินะ
ตอนหน้า ผมจะมาต่อเรื่องนี้โดยเจาะจงไปที่ผลผลิตเป็นชนิดๆไป ผมคงมีอะไรๆเขียนได้อีกหลายตอน หวังว่าผู้อ่านจะไม่เบื่อซะก่อน นะขอรับกระผม

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเฝ้ามองการเจริญเติบโตของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

พื้นที่เล็กๆบริเวณหน้าบ้าน ประมาณหนึ่งคูณสองเมตร ถูกใช้เป็นที่เพาะปลูกพันธ์พืชหลากชนิด กล้วยหอม พริก พริกไทย มะละกอ มะเขือเทศ แมงลัก แก้วมังกร กุหลาบ ดาวเรือง และอื่นๆ ทั้งหมดนี้รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่อันจำกัดนี้ด้วยความตั้งใจบาง ไม่ตั้งใจบาง การได้เห็นชีวิตเล็กๆก่อกำเนิด จากต้นอ่อนค่อยๆเจริญเติบโต ทุกวันๆและการดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช งานง่ายๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมคุ้นชินและเต็มใจที่จะทำ เป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของผม
แน่นอนการปลูกพืชทุกชนิด ย่อมมีการหวังผล เรื่องการเก็บเกี่ยวมาบริโภคนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่พืชบางชนิด เราควาดหวังได้แต่เพียงการได้ชื่นชมความงามตามธรรมชาติของมัน
เคยได้ยินเรื่องคนปลูกต้นไม้หรือเลี้ยงสัตว์ก็ตาม ที่มีการได้พูดคุย สื่อสารกับต้นไม้ หรือสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลอันน่าอัศจรรย์ใจ กล่าวคือ เมื่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงเช่น คนเลี้ยงวัวนมเมื่อเขาได้เริ่มการสื่อสารกับวัวนมที่เขาเลี้ยงโดยการพูดคุยทักทาย สนทนาปราศรัย ประดุจหนึ่งวัวนมเหล่านั้นเป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกับเราๆ หรือมีการเปิดเพลงเพราะๆให้ฟังระว่างการให้อาหาร ยังผลให้วัวนมเหล่านั้นให้นมในปริมาณที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้มีการทดลองใช้วิธีการเดียวกันนี้กับการปลูกพืชบ้าง ก็ให้ผลสอดคล้องกัน กับในกรณีของการเลี้ยงสัตว์ น่าจะเป็นความสำเร็จที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่ง ของสิ่งมีชีวิต ที่ความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ หรือสปีชีส์ ไม่อาจกั้นกลางมิตรภาพระหว่างกันได้
พื้นที่เล็กๆหน้าบ้าน ทำให้ผมได้เห็นวัฏจักรสั้นๆของหลายชีวิต ต้นอ่อนบางต้นต้องตายไป เพราะไม่สามารถปรับตัว พัฒนา หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้มันไม่เติบโตสืบพันธุ์ได้ ในขณะที่บางต้นก็อยู่รอดปลอดภัย ออกลูกให้เราได้เก็บกินบ้าง บางชนิดทำให้ผมปลื้มอกปลื้มใจ เมื่อได้เห็มมันออกดอก ทำไมจะไม่ละ ในเมื่อมันเป็นผลมาจากความใส่ใจ ดูแลของผมด้วยนั้นไง นั่นแหละคือเหตุผล
หากเปรียบกับชีวิตมนุษย์ ความรู้สึกเหล่านั้นคงย่อมเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อชีวิตหนึ่งลืมตาออกมาดูโลก คำว่าแก้วตาดวงใจ คงมาจากการถือกำเนิดธรรมดาๆของคนหนึ่งคนที่เราเรียกว่า ลูก นั่นเอง มนุษย์เราส่งต่อความเป็นลูก สู่การเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นเช่นนี้ไปไม่มีสิ้นสุด และความรู้สึกอบอุ่นงดงาม ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังหลงเหลืออยู่
แม้ว่าผมเองจะยังไม่มีลูกก็ตามเถอะ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความอัปยศของวงการฟุตบอลไทย (อีกครั้ง)

การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก หรือฟุตบอลถ้วย ก ประจำปี 2553 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผู้อ่านคงได้เห็นเหตุการณ์ในสนามศุภภัชลาศรัยจากสื่อต่างๆพอสมควร ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น คิดว่าผู้อ่านคงรู้สึกไม่ต่างกับผู้เขียน และประชาชนไทยอีกหลายสิบล้านคน การทะเลาะวิวาทระหว่างแฟนบอล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในประเทศของเราเองหรือในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องผิดที่เรามีทีมรักทีมเชียร์ที่ต่างกัน ทำไมแฟนบอลของการท่าเรือฯบางคน จึงก่อเหตุอันน่าเศร้าสลด และน่าอัปยศอดสูเช่นนะหรือ ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยาก ผมเชื่อว่าคนเรามีสิทธิที่จะรักศรัทธาสิ่งใดก็ตาม ได้อย่างเป็นอิสระเสรี โดยความแตกต่างเฉพาะบุคคลไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด การแสดงออกต่อทีมรักของแฟนฟุตบอลทีมการท่าเรือแห่งประทศไทยบางคน ในวันนั้น เป็นการฉุดวงการฟุตบอลไทยให้ถอยหลังไปอีกหลายก้าว  ทั้งยังเป็นการดิสเครดิตของสโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทยไปโดยปริยาย สื่อมวลชนบางแห่งกล่าวไว้เช่นนั้น  แฟนฟุตบอลทีมการท่าเรือฯบางคน ที่แสดงออกถึงความรักและศรัทธามากจนเกินเหตุ มากจนถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลยก็ว่าได้
ผลของการตัดสินของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นสอบสวน มาตรการการลงโทษ รวมทั้งการดำเนินการทางกฏหมายต่อสโมสรการท่าเรือฯและแฟนบอลที่ก่อเหตุ ไม่ว่าบทลงโทษจะสาหัสสาสมเพียงไหน ก็ไม่ได้ทำให้ภาพความอัปยศ นั้นเลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนฟุตบอลไทยทั่วประเทศได้โดยง่าย ไม่เพียงนำความเสียหายต่อสโมสรและแฟนบอลของการท่าเรือฯทั้งหมดเองเท่านั้น ภาพลักษณ์โดยของวงการฟุตบอลไทย ที่กำลังดีวันดีคืน กลับต้องพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของแฟนฟุตบอลทั่วโลก มักจะมี แอลกอฮอลล์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ กรณีที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น คำถามคือ เหตุใดจึงปล่อยให้มีการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ของแฟนฟุตบอลของการท่าเรือฯโดยไม่มีการควบคุม ปล่อยให้มากินในสนามได้ยังไง และเมื่อเกิดเหตุ หน่วยรักษาความปลอดภัย ดูเหมือนจะไม่เต็มใจปฏิบัติงานให้เต็มที่ ผมว่า พวกเข้าพลาดตั้งแต่ปล่อยให้คนเอาเหล้าเข้ามาดื่มในสนามแล้ว อาจจะมีการดื่มมาก่อนนั้นควบคุมไม่ได้ พอเข้าใจ แต่ปล่อยให้นำเข้าไปในสนามด้วยนั้น เป็นเรื่องที่น่ากังขา
ระบบการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุเท่านั้น สปิริตของคนดูคนเชียร์ต่างหากเป็นสาเหตุใหญ่ ซึ่งไม่ว่าที่ไหนในโลก หากสำนึกรับผิดชอบหรือสปิริตนั้นไม่มี หรือมีไม่พอ เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอีกได้เสมอ
เสรีภาพของแฟนฟุตบอลบางคนของสโมสรการท่าเรือฯนั้น ปราศจากความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง อย่างหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย
เห็นแล้วสลดจริงๆ พลังของคนส่วนหมู่มาก รังแกคนส่วนน้อยนั้น เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากภาพข่าวที่ผู้อ่านทุกท่านได้เห็นกับตานั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตและความตาย

เมื่อวานนี้ ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง คิลบิล ภาคแรก อีกรอบนึง ความรู้สึกที่ได้ดูอีกครั้ง ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คือ มันดี เหมือนที่ดูครั้งแรก ผมชอบรสนิยมของผู้กำกับ ที่แกใส่อะไรๆไว้ในหนัง ไม่ว่าจะดนตรีประกอบ ที่ใช้ซาวด์ในหนังจีนยุคชอว์บราเดอร์ เสื้อผ้านักแสดง สีสันและสัญลักษณ์ต่างๆ ฉากแอ็คชั่นมันๆปนซาดิสซ์ การดำเนินเรื่องแบบแฟนตาซี โม้สะบัด การ์ตูนหน่อยๆ การรวมเอาวัฒนธรรมจากสองซีกโลกมาผสมกัน จนออกมาลงตัว หลายๆอย่างรวมๆแล้ว ผมชอบครับ
ในตอนท้ายๆของเรื่อง ตอนที่นางเอกตามมาเจอ บิล และ บีบี ลูกของเธอ บิลได้เล่าเรื่องการฆาตกรรมปลาทองอย่างเลือดเย็นของบีบีลูกสาว ให้นางเอกฟัง ผมประทับใจที่บิล ได้ใช้คำพูดถ่ายทอดเรื่องราวนั้นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแท้จริงแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่า นักฆ่าอย่างบิล ต้องมีคาแรคเตอร์อย่างไร เพราะในชีวิตผมเองโอกาสที่จะเจอนักฆ่าเหมือนในหนังนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะจินตนาการไปไม่ถึง บิลบอกว่า บีบี เอาปลาทองออกมาทิ้งลงบนพรม เมื่อปลามันดิ้นทุรนทุรายหาแหล่งน้ำ เธอไม่ได้คิดมาก จึงตัดสินใจเหยียบมัน บิลบอกอีกว่า นี่เป็นการเรียนรู้เรื่องชีวิตและความตายในแบบที่เข้าใจได้ง่าย ที่เด็กผู้หญิงวัยสี่ขวบจะเรียนรู้ได้
มองอย่างเป็นกลาง ในฉากนี่ไม่มีอะไรน่าประทับใจขนาดนั้น ผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วย แค่คนดูหนังประทับใจบทสนทนาของตัวละครเท่านั้นเอง ชีวิตและความตาย สั้นๆง่ายๆแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ร้อยพันหมื่นแสนล้านความหมายที่ผู้คนจะนิยามมัน
ไม่ว่าคนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็ย่อมผ่านประสบการณ์นี่อย่างแน่แท้ ความตาย มนุษย์เราโดยส่วนใหญ่มักจะโศกเศร้า เมื่อเราได้สูญเสียคนที่รัก ผูกพัน ไปกับความตาย แต่มีคนอีกไม่น้อยที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งนี้แม้แต่น้อย หากว่าเราเข้าใจวัฎจักรแห่งชีวิตอย่างถ่องแท้ ความตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หรือน่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด แต่เราก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาทนะ การมีชีวิตอยู่อย่างไรค่า กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่าเป็นไหนๆ แล้วคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ละ มันคืออะไร ทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร ควรเป็นอย่างไร คำตอบน่าจะอยู่กับทุกคนแล้ว เพียงแต่เราจะรู้คำตอบนี้เมื่อไหร่ เมื่อทุกอย่างสายไปสำหรับเราและคนอื่นนะหรือ
อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เครื่องตรวจวัตถุระเบิด

ที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ มันอะไรกันหนักหนากองทัพบอกอย่าง นักวิชาการบอกอีกอย่าง ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมมองว่ามีเบื้องลึกที่ไม่ควรรู้ แล้วส่วนใหญ่ผมว่า ประชาชนมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งคนวงในยิ่งพูดไม่ได้ และไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่สังคม ปิดหูปิดตา ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ยอมรับว่ามี ว่าเป็น และผมเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าทำไมจึงพูดความจริงไม่ได้ หรือทำไมจึงไม่ควรเผยความจริงออกมา สังคมไทยจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงค่านิยม การหลอกตัวเอง ปากว่าตาขยิบ มือถือสากปากถือศีล สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเลือนหาย สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเหมือนมรดกที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา ฟังดูแล้ว ช่างน่าสมเพช น่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี  ผมขอตั้งขอสังเกตต่อกรณีพิพาทนี้สักสองประเด็น
เครื่องตรวจที่กองทัพใช้อยู่ หากไม่ได้ผลตามกล่าวอ้าง ยังจะดึงดันใช้อยู่ทำไม แม้แต่กองทัพอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยังไม่ให้การรับรองเครื่องมือนี้ และผลการตรวจสอบล่าสุด ก็ออกมาแล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพดังคำกล่าวอ้างของผู้ผลิต
กรณีที่กองทัพชี้แจงเรื่องการนำสุนัขสงครามเข้าร่วมปฏิบัติการ แทนการใช้เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดว่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะข้อจำกัดด้านศาสนา นั้น อยากให้แถลงให้ประชาชนทราบเพื่อความเข้าใจ ว่าข้อห้ามทางศาสนานั้นมีรายละเอียดอย่างไร และมีทางเจรจาลดหย่อนข้อจำกัดเหล่านั้นได้หรือไม่ เพื่อแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อ
ดูเหมือนเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจะเป็นหนังเรื่องยาวที่ยังหาตอนจบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านผู้มีอำนาจและสติปัญญาที่ทำงานอยู่ในทุกภาคส่วน ขอคุณพระสยามเทวาธิราช จงดลบันดาลทุกท่านมีสติอันแจ่มใส ปัญญาที่เฉียบแหลม เพื่อการตัดสินใจใดๆก็ตาม ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเป็นเป้าหมายหลักเสมอ ดังอุดมคติอันสูงส่ง ที่เราพร่ำสอนกันตลอดมาด้วยเถิด
เรื่องนี้ผมไม่ต้องยุ่งก็ได้ครับ ขอพูดแค่นี้ล่ะ

ความทรงจำ

ความทรงจำ บางครั้งบางทีช่างน่าอภิรมย์เป็นหนักหนา อันว่าคิดถึงขึ้นมาคราใด ก็ทำให้ยิ้มได้ครึ้มใจได้เสมอๆ ความทรงจำที่ดีไม่เพียงแต่หมายถึงเรื่องดีๆที่เราจำได้ หากรวมหมายถึงความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆด้วย เคยสงสัยอยู่ว่าทำไมคนบางคน จดจำสิ่งต่างๆได้ดีกว่าคนอื่น ในขณะที่บางคนมีลักษณะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เราสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าเรา ต้องการจดจำสิ่งใด และลืมสิ่งใด เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังนัก สำหรับผมเองไม่รู้สึกว่ามันมีความสำคัญกับการใช้ชีวิตมากนักเพราะช่วงชีวิตที่จำเป็นต้องอาศัย ความจำเพื่อเอื้อต่อการเรียนนั้น ได้ผ่านมานานแล้ว หากว่าสิ่งที่เรียนมานั้นผมจดจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ ผมเดาเอาว่าคนที่เรียนเก่งนั้น มีความสามารถในการจดจำได้ดีกว่าคนที่เรียนไม่เก่งอย่างผม การจดจำสิ่งที่ครูสอนหรือสิ่งที่เราอ่านในหนังสือได้แม่นยำ ผมว่าย่อมได้เปรียบ บางคน ที่เคยเห็นมา สามารถจำเนื้อหาบทเรียนได้ด้วยการอ่านเพียงรอบเดียว บางคนกลับต้องการมากกว่านั้นอาจสอง สาม หรือสี่รอบ กว่าจะจำได้ ผมเลยสรุปเอาเองของผมอย่างที่บอกไป
หากพูดถึงความทรงจำที่เลวร้าย สำหรับตัวผมเองหากสามารถเลือกที่จะลืมได้ คงเลือกที่จะลืม ในขณะที่บางคน เลือกที่จดจำไว้ เพื่อเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนใจ หรืออะไรก็ตามแต่ นั้นก็เป็นสิ่งดี ในแบบฉบับของคนคนนั้น
ไม่ว่า ความทรงจำ จะดีหรือไม่ดี ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสุขสมหวังในชีวิตหรอก ประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์ที่เลวร้าย คนที่จำเก่งเรียนเก่งก็ไม่ได้สุขสมหวังในชีวิตกันทุกคน ช่างไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนเลยที่จะชี้ชัดลงไป ความทรงจำ ช่วยเราในการดำเนินชีวิตได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมไหนก็ตาม และมันก็ทำลายชีวิตเราได้เช่นกัน ผมเชื่อเช่นนั้น
อันเนื่องมาจากภาพยนต์ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว เป็นหนังไทยที่ผมประทับใจครับ รวมๆก็คือ ชอบครับ แม้เนื้อหาที่เขียนจะไม่เกี่ยวกับหนังก็ตามเถอะ

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความรื่นรมย์

ชีวิตมนุษย์เรานี้ มีหลากหลายแง่มุม วันนี้เราจะพูดถึงความสบายอกสบายใจของมนุษย์กันซักนิด อันว่าเกิดมาแล้วเติบโตมาแล้ว คนเราได้เรียนรู้ รับรู้สิ่งต่างๆมากมายจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ยังผลให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ความรู้สึก กับสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น บางครั้ง เรารู้สึกสบายใจกับวิวสวยๆ การได้คุยกับคนอื่นอย่างถูกคอ กินอาหารที่อยากกิน ได้ไปในที่ที่อยากไป นอนฟังเพลงที่ชอบ หรือแม้แต่การอยู่คนเดียวเงียบๆ หลากหลายมากมายที่มนุษย์เรา ได้หาความสุขให้กับตนเอง ความรื่นรมย์เล็กๆน้อยๆเหล่านี่ เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นกับเราทุกๆวัน อาจเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที เอาไว้ถ่วงดุลกับความเครียดและกดดัน จากสารพันปัญหา ให้เราได้มีเวลาผ่อนคลาย สบายๆกับทุกๆเรื่อง ปล่อยวางลงซักพัก ก็คงดี
 ยังมีความรื่นรมย์อีกหนึ่งชนิดที่ผู้เขียนอยากนำเสนอ เป็นความรื่นรมย์ที่ไม่พึงประสงค์ คืออย่างไร หาใช่สิ่งเดียวกับความรื่นรมย์ข้างต้นที่กล่าวมาไม่ แต่เป็นความรื่นรมย์บนความทุกข์ระทมของตัวเองและผู้อื่นนั่นเอง
หากเรามองแนวคิดนี้เป็นพลวัติ การกระทำสิ่งใดหรือไม่ทำสิ่งใดของเรานั้น ย่อมจะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นมากน้อยก็ให้พิจารณากันตามเหตุปัจจัย ในบางเวลา บางพื้นที่ ย่อมมีรายละเอียด มีบริบทที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงต่างกันสุดขั้ว เหล่านั้นนั่นเอง จึงอาจทำให้ความรื่นรมย์กับความขมขื่นกลายเป็นสิ่งๆเดียวกัน กล่าวคือ สิ่งรื่นรมย์ในวันนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปบริบท ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนไปการทำหรือไม่ทำในสิ่งเดียวกันนั้นอาจกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องทุกข์ทนขมขื่นก็เป็นได้ 
อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้เป็นแนวคิดส่วนตัว เป็นสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาแต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เพราะตัวแปรต่างๆที่จะนำมาสังเกตุศึกษานั้นเลือนลอยเกินที่จะควบคุม และวัดปริมาณได้ อาจจะเข้าใจยากซักหน่อย แต่ไม่แปลก เพราะผู้เขียนเอง บางครั้งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ฟังดูอาจจะวกวน ก็ผมน่ะคนนะครับ ขนาดกาแฟยังคนเลย
ไปน้ำขุ่นๆอย่างงี้ ก็ยังดีกว่าไม่มีไรเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสรีภาพและความรับผิดชอบ

เสรีภาพ เป็นสิ่งที่พึงปรารถณา ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ล้วนต้องการสิ่งนี้เฉกเช่นเดียวกัน เสรีภาพในการใช้ชีวิต การแสดงออก ความเชื่อมั่นศรัทธา การเรียนรู้ การเลี้ยงชีพ การพักผ่อนหย่อนใจฯลฯ เมื่อทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพกันอย่างเต็มที่ โดยขาดความรับผิดชอบ ย่อมก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นได้เสมอ เมื่อความต้องการในสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งนั้นกลับมีไม่พอต่อความต้องการ สภาวะเช่นนี้ หากมองจากภาพรวมๆของสังคมมนุษย์ จะสังเกตุได้ว่า ความพยายามในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าหน่วยสังคมนั้นจะมีขนาดเล็กสุดหรือระดับประเทศ นั้นในท้ายที่สุด จะมีทั้งผู้สมหวัง และผิดหวังจากการคาดหวังในเสรีภาพดังกล่าว ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร ทั้งหมดคือกระบวนการในการหาสมดุลของชีวิตซึ่งไม่มีจุดสิ้นสุด โดยแท้แล้วจริงผลการแข่งขัน ต่อสู้ที่ออกมาจะน่าพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่เราก็ควรเรียนรู้ที่จะรับความจริงอย่างกล้าหาญ ผู้ชนะไม่ได้อยู่บนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์ ผู้แพ้ใช่จะแพ้ตลอดกาล การฝึกฝนและพัฒนาตนเองจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอยู่เนืองนิจ  ถึงวันนั้นผู้ผิดหวังก็ควรสมหวังได้บ้าง
ผู้ที่ชนะในการต่อสู้ มักเป็นผู้มีต้นทุนทางสังคมมากกว่าคนอื่นเสมอ เช่น มีอำนาจ มีเงิน มีบารมี มีศรัทธาจากผู้คน น้อยนักที่ผู้มีความรู้ความสามารถโดยแท้จริง จะเข้าเส้นชัยได้เป็นที่หนึ่งเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่มีผลต่อการต่อสู้แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพนั้น มีมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ดวง หรือโชคชะตา  ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ผู้ที่อยู่ยอดบนสุดของพีรามิดชีวิต จะมีเสรีภาพมากว่าคนที่อยู่ต่ำลงมาไหม เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ชนะการแข่งขันมีสิทธิ อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ คำถามเหล่านี้อาจไม่ต้องการคำตอบ หากเราพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ การต่อสู้เรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมจึงแทบเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่หากว่าเราโดนละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยผู้ละเมิดอ้างคำว่า เสรีภาพ เช่นเดียวกัน อย่างงี้ถึงเวลาวุ่นวายแล้ว
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยเห็นคนระดับสูงละเมิดสิทธิคนระดับล่างมาก็เยอะ คนระดับล่างละเมิดคนระดับสูงมาก็ไม่น้อย ระดับเดียวกันละเมิดกันเองก็มี ดังนั้นพอจะมองเห็นว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิ การเอารัดเอาเปรียบกันนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่า ปัญหามาจากคนระดับไหน ฐานะทางสังคมการศึกษสูงต่ำ หรือเชื้อชาติศาสนาใดเลย ไม่มีข้อจำกัดใดๆเลย
สภาพวะอันตึงเครียดข้างต้นนี้ น่าจะบรรเทา เบาลงได้ด้วยคำพูดเท่ๆเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น หน้าที่และความรับผิดชอบ จิตสำนึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น  การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สุดท้ายน่าจะเป็นคำว่า "ให้อภัย" แต่ คนที่ ให้อภัย ก็คงไม่อยากให้บ่อยๆพร่ำเพรือหรอก จริงไหมครับ
เสรีภาพอันปราศจากความรับผิดชอบนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง มันจะนำความหายนะมาสู่สังคมมนุษย์ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักแต่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการ แต่มักไม่รู้จักหน้าที่ของตน "หน้าที่" อันที่จะมี "ความรับผิดชอบ" เป็นตัวกำกับในการทำหน้าที่ให้ได้เต็มประสิทธิภาพ ให้สมราคากับสิ่งที่ตนเรียกร้องต้องการ "เสรีภาพ" จึงควรมาพร้อมกับ "ความรับผิดชอบ" ด้วย จึงจะสมเหตุสมผล

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์

นับตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ผมครุ่นคิดถึงการใช้คอมฯเครื่องใหม่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และถ้าเป็นไปได้มันควรสร้างรายได้ ได้ด้วย ผมมองไปที่งานกราฟฟิกดีไซน์บ้าง งานเขียนโปรแกรมสำเร็จรูปบ้าง หรือแม้แต่งานด้านดูแลระบบเครือข่าย ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมมีทักษะด้านดังกล่าวน้อยจะถึงขั้นน้อยมากๆ กะเอาว่าจะมาเรียนรู้เอาทีหลัง ไปๆมาๆผมกลับมาวนเวียนอยู่กับวังวนเก่าๆที่เคยเป็นมา ไม่สามารถบังคับตัวเองให้แข็งใจไม่ให้เสียเวลากับการคุยกับคนหลายๆคน ที่แทบจะไม่เคยเห็นหรือพูดคุยกันได้เลยในชีวิตจริง ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ โกหกรึเปล่าก็ยากจะแยกแยะ หลายคำถามผุดขึ้นในห้วงความคิด กระตุ้นเตือนให้สำนึกรู้ว่าทำอะไรอยู่ ทำๆไม ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
แม้กระนั้น เวลาที่เสียไป มันก็ไม่ได้สูญเปล่าซะทีเดียว ผมได้เรียนรู้หลายอย่างเมื่อได้พูดคุยกับผู้คนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และสำคัญกว่าอย่างอื่น ผมได้กลับมาสู่จุดมุ่งหมายหลักได้อย่างไม่ยากเย็น ขุมทรัพย์ทางปัญญาอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้นี้ ไม่เคยมลายหายไปกับกาลเวลา มันยังรอผู้แสวงหาความหลุดพ้น จากความไม่รู้ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์หรือศิลป์ใดๆ ก็มีบันทึกอย่างมากมายไว้รอผู้มาศึกษา หาวิชาความรู้อยู่เสมอ ผมเองคงให้ความสำคัญกับเครือข่ายออนไลน์มากไปซักหน่อย แต่ก็ไม่ลืมสื่อความรู้แบบดังเดิมแต่อย่างใด บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน บันทึกต่างๆที่เขียนด้วยมือ สิ่งพิมพ์ต่างๆ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ก็ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ สื่อแขนงต่างๆทั้งหลายนั้นอาศัยพึ่งพิงกันอยู่ ดังระบบนิเวศอันหลากหลายด้วยสิ่งมีชีวิต ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นเช่นนี้เสมอมา และน่าจะคงสภาวะเช่นนี้ไปอีกนาน จนกว่า... จนกว่า... จะเปลี่ยน ละมั้ง

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อันความกรุณาปราณี

การแบ่งปันน้ำใจให้ผู้ที่ด้อยกว่า นับเป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วยใจบริสุทธิ์ ผู้ให้ น่าจะรู้สึกถึงความอิ่มเอมใจ จากการให้ ไม่ใช่สูญเสียไปเพราะการเสียสละ หรือให้ด้วยความจำใจ นั้นไม่น่าใช่เรื่องดี ทั้งต่อตัวผู้ให้และผู้รับ
ความรู้สึกดีๆที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือแม้แต่สัตว์โลกต่างสายพันธุ์ทั้งหลายนั้น นับเป็นกุศลจิตที่ควรสนับสนุนยกย่อง น่าเศร้าหากมีคนบางประเภท ที่ชอบหาประโยชน์จากคนที่มีจิตเป็นกุศลอยู่ร่ำไป หลายครั้งที่ผมทำบุญโดยที่ผมไม่ได้อยากทำ แต่ทำเพราะ"ต้องทำ"เพราะจำใจ นั้นคือผมทำบุญไปด้วยจิตอันไม่เป็นกุศลนั้นเอง ผมจึงมองเห็นคุณค่าในการทำบุญแบบนั้นด้อยลง จนคิดว่า ถ้าทำสิ่งที่เป็นเหตุแห่งความเดือดเนื้อร้อนใจแล้ว เราจะทำไปทำไมกัน พระท่านว่า ความตระหนี่ถี่เหนี่ยว บรรเทาได้ด้วยการแบ่งปัน ให้ทาน  ในจิตใจอันคับแคบของผม ความรักอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ รักแบบพระเจ้ารักมนุษย์ แบบพระพุทธองค์รักสรรพสัตว์ทั้งหลาย การจะทำให้ตนเองคิดอย่างนั้นได้จริง ต้องมีจิตใจที่สูงส่งเพียงไหน ผมเองก็จินตนาการไปไม่ถึง อย่างไรเสียผมไม่ได้กังวลกับมันมากนัก มีคนมากมายพร้อมที่จะให้คนอื่นโดยไม่มีข้อแม้ และแม้ไม่มีผมรวมอยู่ในนั้น โลกก็ยังคงหมุนไป ความรักยังมี ความดียังอยู่เหมือนเช่นเดิมที่มันเคยมีเคยเป็น หากสลับเปลี่ยนถ่ายเทไปสู่รูปแบบอื่น คนอื่นๆชีวิตอื่นๆ ให้ได้มีประสบการณ์ที่แช่มชื่นหัวใจบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร วันที่ผมจะรู้สึกอยาก "ให้" ด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมจะผ่านวนเวียนมาผมบ้างเป็นครั้งคราว หรือจะผ่านมาบ่อยๆเลย ก็อาจจะเป็นได้ น่าจะอย่างงั้นนะ

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความว่างเปล่ากับความเหงา

สองสิ่งข้างต้น มักมาคู่กัน เมื่อจิตใจมนุษย์ไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่กับความว่างเปล่าในจิตใจ ก็มักจะโหยหาสิ่งใดๆก็ตาม เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสภาวะนั้น บางครั้งผู้เขียนก็ประสบพบพานบ้าง เป็นครั้งคราว วิธีจัดการกับความเหงานั้น มนุษย์มักนึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ น้อยคนนักจะตระหนักว่า ในท้ายที่สุด ตัวเรานั้นเอง จะเป็นผู้กำหนดว่า เราต้องการผู้อื่นมาเติมเต็ม หรือว่าเราแค่รับรู้ว่า มันเป็นเพียงหนึ่งสภาวะของจิตใจ ที่จะวนเวียนมาสู่ชีวิตเรานับครั้งไม่ถ้วน และแน่นอนที่สุด เมื่อมันผ่านเข้าเอง มันย่อมไปได้เองเช่นเดียวกัน แต่การเข้าใจและยอมรับซึ่งนำไปสู่แนวทางจัดการกับสภาวะทางจิตใจที่ว่านี่ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย อาจต้องใช้เวลา และบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงทฤษฎี การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถแบบนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ต่างมีบรรพบุรุษที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค บททดสอบเพื่อให้ตนเองและเผ่าพันธุ์นั้นอยู่รอดกันแทบทั้งสิ้น หากมองในแง่หนึ่ง เราสามารถได้ประโยชน์จากความเหงาได้เช่นเดียวกัน ช่วงเวลาเหล่านี้ เราอาจจะมองเห็น คนที่ห่วงใยเรา ปรากฏตัวออกมา มักจะไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล และมักจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เรามองข้ามความสำคัญของเขาเสมอๆ และพวกเขาก็แวดล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกเมื่อเชื่อวัน คนในครอบครัวเรานี่เอง  น่าเศร้าหากเราไม่เคยมีคนเหล่านั้นอยู่เลยในชีวิต
เรากินอาหารเพื่ออยู่รอด มีมิตรภาพ ความผูกพัน มีสายสัมพันธ์เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ชีวิตในบางแง่มุมช่างเรียบง่าย ผ่อนคลาย ผมรู้สึกดีใจที่ผมได้ค้นพบมันด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าว ผมอยากมีความรู้สึกแบบนั้น ทุกๆวันมันคงจะวิเศษไปเลย

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กลับมาอีกครั้ง

เวลาผมมีมากมาย แต่ไม่มีอะไรจะถ่ายทอด คุณอาจเคยประสบปัญหาเช่นนี้ ผมไม่ได้เขียนนานมากเลย ถ้าทำงานบริษัท คงโดนไล่ออก จะว่าไป ไม่ใช่ว่าไม่มีไรเขียนหรอก มันมีมากมาย แต่ตามที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความก่อนๆ ว่าควรกลั่นกรองมากๆก่อน ออกมาสู่สายตาผู้อ่าน จะสัพเพเหระอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้ตนและผู้อื่นไม่เดือดร้อนว่างั้นเถอะ อันหลังนี้แหละคุณมันทำยากจริง ๆ การคิด พูดหรือทำอะไรโดยไม่มีผลกระทบต่อใครๆนั้น มันเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้แต่สื่อสารมวลชนมืออาชีพทุกแขนง ยังต้องเจอสภาวะเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
ผมบอกกับตัวเองเมื่อสักครู่ว่า ควรมีวินัยในการทำงานมากว่านี้ ผมเห็นด้วยทุกประการโดยไม่ตั้งข้อสงสัยมันควรเป็นเช่นนั้น บทความจะสั้นยาว (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่) ควรจะมีออกมาให้อ่านทุกวันนัยว่า มีดยิ่งหมั่นลับ นั้นย่อมยิ่งคมเช่นนั้นแล รู้วิธีการสู่ความสำเร็จทุกอย่าง แต่ทำตามอย่างที่รู้ไม่ได้ อุปมาดังเหมือนคนไม่รู้อะไรเลย อะไรทำนองนั้น  พูดไปพูดมา แก้ที่ไหนดี จบแค่นี้ดีกว่า

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...