วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ที่มา

                                                                                           
อะไร คือสิ่งที่ทำให้ผมทำสิ่งๆนี้ สร้างบล็อคนี้ งานเขียนบ้านๆพวกนี้ ถึงไม่มีใครถาม แต่ผมเต็มใจเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบังอำพราง ก็ได้แต่หวังว่าผู้อ่านคงอยากจะรู้(ถึงไม่อยากรู้ก็จะเล่าให้ฟังอยู่ดีแหละ เอิ๊กๆๆ) มันคงต้องเท้าความกันยาวเลยละ อืมมมม ขอนึกก่อน
ตอนเป็นเด็ก ผมมักได้ยินบ่อยๆว่าพ่อผมเป็นนักอ่านตัวยง สิ่งที่ผมสัมผัสจริงก็คือ ในทุกๆเช้าพ่อจะมีหนังสือพิมพ์กางอยู่ตรงหน้าก่อนมื้อเช้าเสมอ บนชั้นวางหนังสือในห้องรับแขก จะมีหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คประเภทกำลังภายในตั้งเรียงรายอยู่เป็นตับ แปลกดีที่ผมไม่เคยเห็นพ่อหยิบมาอ่านเลยซักครั้ง รู้แต่ว่า มันเป็นสมบัติของพ่อที่สะสมมาตั้งแต่ยังหนุ่ม  และผมเองก็ไม่เคยสนใจหยิบมาอ่านเลย อย่างมากก็หยิบมาดูปกที่เป็นรูปเขียนของจอมยุทธในยุทธจักรต่างๆนาๆ เค้าวาดออกมาสวยดีนะผมว่า การเป็นนักอ่านของพ่อนี้แหละเป็นเหตุทำให้ผมต้องโดนหางเลขไปด้วย เพราะแกมักจะเคี่ยวเข็ญผมให้อ่านหนังสือพิมพ์เหมือนแก พร่ำบอกให้ผมสนใจข่าวสารบ้านเมือง โดยเปิดวิทยุให้ฟังข่าวทุกเช้า เปิดเสียงดังเลย เป็นการปลุกลูกๆทุกคนไปในตัว ทุกคนในบ้านก็จะได้ฟังข่าวไปด้วย นั่นละครับ ตอนเด็กๆผ้าขาวอย่างผมโดนอินเสิร์ตมาแบบนั้น แล้วก็ค่อยๆซึมซับมาเรื่อยๆ ผมจึงได้มรดกการเป็นนักอ่านของพ่อมาเสี้ยวนึง คือได้แค่เป็นคนชอบอ่าน ไม่ถึงกับรักใคร่หลงใหลอะไรนัก

พอเริ่มอ่านหนังสือคล่องผมก็เริ่มเสาะหาอ่านในสิ่งที่ผมอยากอ่าน เริ่มจากหนังสือการ์ตูนไทย ขายหัวเราะ หนูจ๋า มหาสนุก (หนังสือการ์ตูนในเครือบรรลือสาร )เริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น โดราเอมอน ดราก้อนบอล หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ ซิตตี้ฮันเตอร์ ฯลฯ บางครั้งก็อ่านนิตยาสารของแม่บ้าง อย่าง หญิงไทย สกุลไทย ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์..ฯลฯ.(อันหลังนี่ชื่อถูกรึเปล่าไม่แน่ใจนะ อิๆ) ก็หาอ่านไปตามมีตามเกิด.... ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่ว่าวัยเด็กของผมจะเป็นเด็กที่เอาแต่อ่านๆๆๆนะอย่าเข้าใจแบบนั้น มันจะดูเนิร์ดไป เอิ๊กๆๆ เวลาที่อ่านหนังสือพวกนี้เป็นเวลาที่นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน และหลังจากเล่นเฮฮาตามประสาเด็กอยู่แล้ว
นอกเหนือจากพ่อที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมีความสนใจในการอ่าน ก็เห็นจะมีอีกคนนึงซึ่งมีส่วนสำคัญมากในการเปิดโลกทัศน์ในการอ่านของผม ผมเรียกเค้าว่า 'จารย์บอย
จารย์= อาจารย์
บอย= ชื่อบอย
'จารย์บอยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ อายุมากกว่าผมประมาณสามถึงสี่ปี เป็นคนตัวผอมสูง ผมเหยียด ใส่แว่นหนา ช่างเจรจา พูดจากวนโอ้ย ใจถึง ชอบอ่านนิยายสงคราม และต้องเป็นของ สยมภู ทศพล  เท่านั้น(รองจากการ์ตูน)ชอบพี่แอ๊ดคาราบาวที่สุดในโลก(แกบอกผมว่าแกยกให้พี่แอ๊ดคือพ่อคนที่สองของแก)ชอบใส่เกงยีนต์ฟิตๆเป้าตุงตามสไตล์พี่แอ๊ดนั่นแหละ มีคาร์แรคเตอร์ชัดเจน มีความเป็นผู้นำ  เป็นคนแรกในหมู่บ้านที่เจ้าของจักรยานเสือหมอบ นึกถึงตอนนั้นแล้ว ผมว่าแกเท่ชะมัดผมและเพื่อนๆหลายคนจึงยกให้แกเป็นลูกพี่ นอกจากบุคคลิกภายนอกที่ดูโดดเด่นกว่าใครในเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากว่านั้นสำหรับผมของ'จารย์บอยนั้นคือ แกมีหนังสือการ์ตูนเยอะกว่าใครๆในหมู่บ้าน การ์ตูนญี่ปุ่นที่เกริ่นไปเมื่อซักครู่ ผมก็ได้อาศัยยืมอ่านจากคนคนนี้นี่แหละ

เพราะเหตุผลง่ายๆนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้ผมไปสนิทชิดเชื้อกับแกโดยไม่ยากเย็น และแกยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผมอยากจะอ่านหนังสือนิยายเล่มหนาๆที่มีแต่ตัวหนังสือเป็นครั้งแรกอีกด้วย นิยายเล่มที่ว่านั้นมีชื่อว่า พันธุ์หมาบ้า ของ ชาติ กอบจิตติ(เรื่องราวของจาย์บอยกับผมและเพื่อนๆในวัยเด็กมีเรื่องน่าประทับใจหลายเรื่อง วันหน้าหากมีโอกาส คงจะได้หยิบยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ)แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้อ่านจริงๆ ต้องบอกว่า สมราคาที่จารย์บอยบอกไว้ก่อนหน้าที่เริ่มอ่าน มันช่างโหดมันฮาดราม่าเสียนี่กระไรท่านจอมยุทธ ข้าน้อยขอคารวะท่านหนึ่งจอกโต๊ะ เอิ๊กๆๆๆ แล้วนิยายหรือวรรณกรรมเล่มหนาๆ ก็ไม่น่ากลัวหรือน่าเบื่อสำหรับผมอีกต่อไป

ช่วงเวลาไล่ๆกันก็มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของนักเขียนชื่อดังอีกท่านนึง คือ ประภัทรสร เสวิกุล
เล่มนั้นมีชื่อเรื่องว่า ชีค  เป็นหนังสือที่พี่สาวหามาอ่านแล้ววางทิ้งๆไว้  ผมก็เลยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย

ความสนใจด้านการอ่านของผมเป็นไปอย่างอย่างสะเปะสะปะ ตอนเรียนมัธยมต้นครูบอกให้อ่านหนังสือนอกเวลา หุบเขากินคน (จำชื่อคนเขียนไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ) อีกเรื่องน่าจะเป็น คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ (เรื่องหลังนี่เศร้าชะมัดเลย)ก็อ่านไม่จบ จะพูดให้ชัดลงไปกว่านั้นก็คืออ่านไม่ค่อยเข้าหัวเลย เหมือนเด็กถูกบังคับให้กินผักอะไรทำนองนั้น แต่ก็พอมีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมดีๆที่ตนเองสนใจมันกลับอ่านได้สบายไม่รู้สึกฝืนแต่อย่างใด อย่างพวกเรื่องสั้นในหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ของอย่างนักเขียน ดำรงค์ อารีย์กุล, อธิชัย บุญประสิทธิ์, น้ำอบ ฯลฯ  บ่อยครั้งก็จะมีเรื่องสั้นไซไฟแบบไทยๆเจ๋งๆมาลงให้อ่านกัน เรียนมัธยมปลายก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านหนังสือหรือนิยายดีๆเลยเพราะชีวิตช่วงนั้นมันมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด จึงหลงๆลืมๆการอ่านไปบ้าง แต่ก็เป็นช่วงมัธยมปลายนี่แหละเป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความคิดที่อยากจะเป็นนักเขียนเป็นครั้งแรก(เพราะเรื่องสั้นเจ๋งๆในขายหัวเราะนั่นแหละ แถมถ้าได้ลงก็จะได้ตังค์ใช้ด้วยนะ) แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันคงอยู่ไกลจากจุดที่คิดฝันนั้นมากมายนัก แล้วผมก็ปล่อยให้มันเป็นอีกหนึ่งอย่างในชีวิต ที่อยากจะทำและอยากจะเป็น แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจะคิดว่าจะทำ

พอเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตผมยุ่งเหยิงหนักกว่าเดิมมาก เรื่องการอ่านมันช่างเป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มนึง เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คที่คิดว่าน่าจะมีคนรู้จักเยอะพอสมควร "ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา" ของโรเบิร์ต ฟลูกลัม พอได้อ่านแล้วก็ประทับใจมาก อยากจะขอบคุณเพื่อนคนนี้อีกซักครั้งนึงที่แนะนำให้ผมได้อ่านหนังสือดีๆที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต  เป็นอีกครั้งนึงที่อ่านจบเล่มแล้วมีไฟ อยากจะลุกขึ้นมาขีดเขียน อะไรๆดีๆ ที่สร้างสรรค์แบบนี้กับเค้าบ้าง และก็เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากคิดว่าจะทำ

ช่วงปีที่ห้าหรือหกในชีวิตนักศึกษา ผมได้เช่าห้องร่วมกับรูมเมทคนหนึ่ง เป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม หมอนี่เป็นแฟนตัวยงของนวนิยายกำลังภายในเลยละครับ นอกเหนือจากกิจกรรมการดื่มกิน เตะบอล อ่านหนังสือวิเคราะห์ฟุตบอล ทำงานพิเศษเพื่อเลี้ยงชีพและเป็นทุนในการแทงพนันบอลแล้ว การอ่านนวนิยายกำลังภายในที่หาเช่าได้ตามร้านในซอยที่เราพักอาศัยอยู่ ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมสุดโปรดของเพื่อนคนนี้ เป็นเหตุชักนำให้ผมได้ทำความรู้จักกับนิยายกำลังภายในอย่างจริงๆจังๆเสียทีหลังจากเดินสวนกันไปมาตั้งแต่เล็กจนโต จาก มังกรคู่สู้สิบทิศ ของหวงอี้ ผมเริ่มติดใจ และเริ่มเสาะหาอะไรที่มันคลาสสิกกว่านั้น อย่าง มังกรหยก เดชคำภีร์เทวดา ชอลิ้วเฮียง  ฤทธิ์มีดสั้น ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ และอื่นๆอีกมากมายบรรยายไม่หมด
ผมใช้ชีวิตนักศึกษา เรียน ทำงาน ว่างงาน อยู่บ้านเฉยๆ สลับสับเปลี่ยนวนเวียนไปมาอยู่หลายปีดีดัก เผลอแปบเดียวเข้าปีที่เก้าแล้วสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรี ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมชั้นครู ที่ใครๆต่างก็รู้จักกันดี เพชรพระอุมา ของฉัตรชัย วิเศษสุวรรณ  อย่างที่เค้าว่ากันครับ มันสนุกจนวางไม่ลงจริง ได้ยินกิตติศัพท์มานาน สมคำร่ำลือจริงๆครับ

 สองสามปีก่อนหน้า จิตใจผมเริ่มนิ่ง เริ่มมองชีวิตอย่างจริงจังกว่าที่ผ่านมา พิจารณาช่วงชีวิตที่ผ่านมา ความผิดพลาดบทเรียนต่างๆ ผมได้แต่เสียใจและโทษตัวเอง และไม่ลืมที่จะโทษคนอื่นด้วย เอิ๊กๆๆ  ทุกๆคืนผมนอนก่ายหน้าผาก เสียดายวันเวลาเก่าๆ ที่เคยใช้ชีวิตโดยประมาทหยิ่งผยองจองหองและกังวลกับอนาคตข้างหน้าที่ดูจะมืดมนลงเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น ผมหงอกขาวที่นานๆจะมาสักเส้นนึง บัดนี้มันมาแบบสปีดและเรียกพรรคพวกมันมาด้วยอีกบานตะไท ริ้วรอยแห่งประสบการณ์บานสะพรั่งอยู่ทั่วใบหน้า ผมกลัดกลุ้มและหาทางออก ด้วยความเมา และผมได้เริ่มลองปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจต่างๆนาๆผ่านตัวอักษรดู เนื้อหามันไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่การได้ระบายออกไปมันเวิร์คมากทีเดียว ผมเริ่มเขียนๆๆๆๆๆๆ เหมือนที่บอกไป มันไม่มีอะไรนอกจากความท้อแท้สิ้นหวังโทษตัวเองโทษคนอื่น ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อกลับมาอ่านมันยิ่งฉุดอารมณ์ให้ผมจมดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งจิตใจ  แต่ทว่าผมติดใจการเขียนซะแล้ว และอยากจะเขียนอะไรที่อ่านไปแล้วรู้สึกดีอ่านและจิตใจมันชุ่มฉ่ำ อิ่มเอม  อ่านแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันดีจังเลย เหมือนกับที่เพื่อนเคยแนะนำให้ผมอ่านมาเมื่อหลายปีมาแล้ว

สองปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ ผมใช้เวลาว่างจากการเรียนไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าผมจะเอาเกียรตินิยมหรอกนะแค่ไปอ่านสิ่งที่อยากอ่าน ที่อ่านแล้วจะมีวัตถุดิบดีๆไปไว้ตระเตรียมผลิตงานเขียนในอนาคต(จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรทำมากกว่า แฮะๆ) เห็นได้ชัดว่าผมช่างหาวัตถุดิบได้น้อยจริงๆเมื่อเทียบกับเวลาสองปีที่ผ่านไป และที่ทำอยู่นี้ ก็ไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับนิยายเลยซักนิด (เพิ่งนึกได้ว่า กูมาผิดทางนี่หว่า เอิ๊กๆๆ) นับเป็นช่วงเวลาที่ผมใช้เวลาไปกับการอ่านมากที่สุดในชีวิต ผมได้อะไรหลายๆอย่างจากการลงเวลาไปครั้งนั้น

เมื่อเรียนจบผมก็เก็บข้าวของกลับต่างจังหวัด อยู่บ้านก็นั่งๆนอนๆอยู่เป็นปีๆไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังดีหน่อยมีอินเตอร์เน็ตมีคอมให้เล่นแก้เซ็ง ก็มีไปสอบนั่นสอบนี่กะเขาบ้างเหมือนกันนะ แต่ก็สู้เขาไม่ได้ อายุก็เยอะ ความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงมันก็ลดลง ตอนนั้นกระแสเรื่องบล็อกเกอร์เริ่มเข้ามาใหม่ ผู้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนเริ่มให้การตอบรับเป็นอย่างดี(ดูตามข่าวสารบ้านเมืองอะนะ) รวมถึงผมด้วย อยากจะมีกับเค้าบ้างว่างั้นเถอะ ด้วยความที่เราอยากจะเป็นคอลัมนิสเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ผมก็เลยสมัครเป็นบล็อกเกอร์กับทางกูเกิ้ลมาตั้งแต่ตอนนั้น

ก็ครับ ที่ร่ายมาตั้งนานก็มาสรุปเอาง่ายๆแบบนี้แหละ ที่มา ของบล็อกบล็อกนี้ก็เป็นอย่างที่เล่ามานี่ละครับ ส่วน ที่ไป จะเป็นอย่างไร ก็อยากให้ติดตามกันต่อไป อย่าทิ้งกันนะครับคุณผู้อ่าน


สำหรับวันนี้ ขอกล่าวคำว่า สวัสดีวันวาเลนไทน์ครับ

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

สวัสดีปีใหม่ครับคุณผู้อ่านทุกท่าน

                                   ขอกล่าวคำว่า "สวัสดีปีใหม่" อย่างเป็นทางการแด่คุณผู้อ่านที่รักทุกท่านครับ พร้อมกันนี้ขอสวัสดีวันเด็กวันครูและวันหวยออกไปพร้อมๆกันเลยก็แล้วกัน หวังว่าผู้ท่านทุกท่านคงสบายดีกันถ้วนหน้านะครับ ปีใหม่นี้ผมขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขสมหวังร่ำรวยๆหล่อๆสวยๆถูกหวยทุกงวด สุขภาพแข็งแรง จิตใจเข้มแข็งเบิกบานสราญรมย์ตลอดไปเลยนะครับ เที่ยวปีใหม่ที่ไหนก็ขอให้เดินทางปลอดภัยไร้กังวลครับ
                                   วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก แป๊บๆผ่านไปอีกปีแล้วมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย น่าเสียดายเวลาที่ผ่านไป คุณผู้อ่านอย่าได้เอาอย่างผมนะครับ ขอให้ปีใหม่นี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เริ่มต้นทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทุกท่านครับผม
ช่วงปลายเดือนธันวาคม ผมตกงานกลางอากาศ ทำให้ผมจำเป็นต้องออกหางานใหม่ นั่งเสิร์ชหาในเน็ต ผมเจองานๆนึงซึ่งน่าสนใจดี นั่นคือ งานดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ของสวนสนุกชื่อดังแห่งนึงในชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ผมโทรไปสอบถามทันที ก็ได้ความว่า ผมต้องเดินทางไปสมัครด้วยตัวเองที่นั่น อีกหนึ่งวันให้หลังผมก็เดินทางไปที่ชะอำ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวอันน่าประทับใจของผม ที่ผมอดจะเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับรู้ด้วยไม่ได้
                                    ผมเคยได้ยินว่าถ้าจะไปที่ไหน ให้เริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้วจะไม่ผิดหวัง แล้วผมก็ไม่ผิดหวัง มีรถตู้ให้นั่งไปชะอำอย่างที่คิดไว้ สนนราคาอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบบาทต่อเที่ยว ก่อนเดินทางผมไม่ลืมที่จะเติมพลังด้วยเกาเหลาข้าวเปล่าหนึ่งชุด ให้อิ่มสบายท้องก่อน เพราะคงอีกนานกว่าจะไปถึง ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง ผมก็ไปถึงที่หมาย เมื่อกรอกใบสมัครและยื่นเอกสารเสร็จสรรพ ตอนนั้นเวลาอยู่ที่ประมาณบ่ายสองโมงนิดๆ เลยคิดว่า ไหนๆก็มาแล้ว ไปเดินเล่นดูวิวที่หาดชะอำต่อดีกว่า มานั่งรอมินิบัสสีส้มประจำทางอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง(นานมากกว่าจะมาคันนึง) อีกประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมก็ไปถึงชายหาดชะอำอย่างที่ตั้งใจ พบว่า มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าที่คิดไว้จากการสอบถามร้านค้าริมชายหาดได้ความว่า นักท่องเที่ยวน้อยจริงๆเพราะน่าจะเป็นเพราะหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ทางการเมืองนั่นเอง ทั้งๆที่ช่วงนี้ของทุกนักท่องเที่ยว(ฝรั่ง)จะหนีหนาวมาฉลองคริสมาสต์ที่นี่กันอย่างคึกคึก สำหรับผมแล้ว ผมชอบนะ ไม่วุ่นวายไม่แออัด ผมก็เดินกินลมชมวิวของผมไปเรื่อย กะว่าสักห้าหกโมงเย็นค่อยกลับ เดินไปซักพักชักเปรี้ยวปาก เพราะบรรยากาศมันรื่นรมย์ดีแท้ ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อเปิดเบียร์เย็นๆมาหนึ่งขวด เดินดูวิวไปกระดกเบียร์ไปเพลินดีครับ ทอดน่องไปเรื่อย เผลอแปบเดียวหมดไปสามขวด อีตอนนั้นมันเริ่มติดลมแล้ว เริ่มไม่แน่ใจว่าจะกลับหรือจะนอนซักคืนดี ฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เดินคิดไปคิดไม่ออก ก็เลยนั่งคิด นั่งคิดก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยไปเอาเบียร์มาช่วยตัดสินใจอีกขวด ซักพักก็รู้แล้วว่าจะทำไงดี ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ที่พล่ามมาตั้งนานเนี่ย ยังไม่เห็นเลยว่า มันน่าประทับใจตรงไหน ยังครับๆ อีกนิดนึง ผมคิดว่าจะหาร้านอินเตอร์เน็ตซักร้านแล้วสิงสถิตที่นั่นซักคืนหุๆ ถูกว่าเปิดโรงแรมนอนเป็นไหนๆเห็นเด็กในกทม.มันกินนอนในร้านเน็ตเยอะแยะไป ขอเลียนแบบซักคืนนะเพ่  ว่าแล้วก็ถามร้านค้าแถวนั่นดูว่าอยู่ตรงไหน แล้วก็ตรงดิ่งไปในทันที เดินหาตั้งนานกว่าจะเจอ ผ่านไปผ่านมาก็ไม่เห็น สงสัยจะเมา แหะๆ พอไปถึงก็ต้องผิดหวัง เพราะ อินเตอร์เน็ตร้านเดียวร้านนั้นปิดสี่ทุ่ม โอ้ เจ้าประคุณรุ่นช่อง เซ็งสุดๆ แถมเน็ตก็ชั่วโมงตั้งสี่สิบแน่ะ เจ้าของร้านบอก งี้แหละ เมืองท่องเที่ยว ในใจคิด ผมคนไทยนะพี่โห  แต่ไหนๆก็ไหนๆ ก็เลยเล่นไปชั่วโมงนึง  ชั่วโมงเน็ตหมดลง ก็เคว้งคว้างเอาไงดีหว่า คิดไม่ออกก็ไปเอาเบียร์มาช่วยคิดอีกขวด แล้วไปนั่งทอดอารมณ์ที่ม้านั่งริมหาดหน้าร้านเน็ตนั่นแหละ คุณผู้อ่านครับ ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ครับ
                                  ตรงหน้าของผมคือท้องทะเล ที่ระยิบระยับไปด้วยแสงนวลของพระจันทร์เต็มดวง ทอดแสงลงมายังชายหาดขาวสะอาด ลมหนาวพัดเอื่อยๆมาปะทะดวงหน้า มีสามสหายมานั่งกินเบียร์ริมหาดข้างหน้า พูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ผมขยับเสื้อกันหนาวตัวเก่งให้กระชับขึ้นอีก ในใจผมกลับอบอุ่นอิ่มเอมเหลือเกินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันช่างธรรมดา และเรียบง่ายนัก ทว่างดงามในแบบที่มันเป็น เป็นธรรมชาติ ไม่มีการแต่งการเซ็ทเหมือนในหนัง ไม่มีความหวั่นวิตกใดๆอีก จิตใจผมผ่อนคลายเต็มที่ ความเมามายของผมก็อยู่ในระดับพอเหมาะ ก็เลยตัดสินใจเอนกายลงบนม้านั่งยาวริมหาดนั่นเอง แล้วก็หลับไปอย่างเป็นสุข  ผมคิดว่าจะซึมซับเอาความความประทับใจนี้มาบอกกล่าวให้คุณผู้อ่านได้รับรู้ในสักวัน และวันนั้นได้มาถึงแล้ว ......
                                   ปล. ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเช้าตรู่  รีบดิ่งไปห้องน้ำทันที โดยไม่เฉลียวใจอะไรเลยซักนิด กับแกล้มหมึกย่างเมื่อวานทำพิษซะแล้วทำธุระเสร็จ คลำไปตามเนื้อตัวเช็คข้าวของ คุณพระช่วย โทรศัพท์หายไปไหน ผมรีบตรงไปวิมานม้ายาวตัวนั่นทันที ไม่มี ตรงนั้นละ ก็ไม่มี ร้านเน็ตละ ก็ไม่มี  สาละวนหาโทรศัพท์อยู่นานโข ก็เริ่มปลง เฮ้อ ชีวิตคนเราช่างไม่มีอะไรแน่นอนเลยซักนิด

แฮปปี้นิวเยียร์อีกครั้งครับผม จากใจมิสเตอร์เฮิร์บคนเดิม

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...