วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

คลื่น



ฟังเขามา เขาว่าเรื่องของหัวใจ
จะเด็กหรือโต เพียงใด ยังไงใจก็เท่ากำมือ
ถ้าหากใจต้องกัน คล้ายๆ จะมีคลื่นอะไรบางอย่าง
กระจายส่งไป จากใจถึงใจ
มีเล็กน้อย ก็ส่งไปเล็กน้อย
มีเล็กน้อย ของเธอน่ะมีหรือเปล่า
เพียงเล็กน้อย แม้เธอส่งมาเล็กน้อย
รอเล็กน้อย รักเราก็โตคบฟ้า
พอเข้าใจ ก็ส่งคลื่นไปถึงกัน
ปรับแต่งคลื่นความสัมพันธ์
คอยดันคลื่น อย่าพันของใคร
ถ้าหากโดนรบกวน คล้ายๆ
จะมีคลื่นของใครบางอย่างกระจายส่งมา
อย่าเปลี่ยนคลื่นไป








ข้างบนนั่นเป็นเนื้อเพลง มีเล็กน้อย โดยศิลปินในดวงใจผมอีกหนึ่งคน พี่ติ๊กชิโร่โต้ชีริกนั่นเอง เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของพี่ติ๊กที่ใช้ชื่อชุดว่า โชะไชโย
 *โชะ ไชโย คือ สตูดิโออัลบั้ม ชุดแรกของ ติ๊ก ชีโร่ ออกกับ นิธิทัศน์ โปรโมชั่น จัดจำหน่ายโดย ออนป้า วางแผงปลายปีพ.ศ. 2533
*อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย
เป็นเพลงจังหวะเต้นรำสนุกสนานที่มีเนื้อหาน่าสนใจไม่น้อย การพูดถึงความคิดถึง ความห่วงหาอาทรกัน สัมพันธ์รักของหนุ่มสาว โดยใช้คลื่นเป็นสัญลักษณ์ เป็นตัวแทนนั้น เป็นงานศิลปะที่แทรกเรื่องราวของวิทยาศาสตร์เข้าไปผสมผสานอย่างกลมกลืนแยบยล พี่ติ๊กแกจะต้องการสื่อสารแบบนี้รึเปล่าผมไม่ทราบ แต่ผมจะตีความของผมอย่างนี้แหละ เอิ้กๆๆๆ


เราทราบดีว่าการวัดชีพจรโดยการใช้จังหวะการเต้นของหัวใจผ่านอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ให้เราเห็นจากจอมอนิเตอร์ในรูปแบบของคลื่น หยักขึ้นลงสูงๆต่ำๆ ตึกๆ .....ตึกๆ......ตึกๆ ......พอนึกภาพออกใช่ไหมครับ




 นี่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของสิ่งที่เราเรียกว่า คลื่น จริงๆแล้ว คลื่นมันคืออะไรกันแน่ ที่เราเคยๆได้ยินได้ฟังมามันมีหลายชนิดหลายรูปแบบเลยละ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไรบ้าง ผู้อ่านท่านใดที่เคยเรียนวิชาฟิสิกส์ตอนม.ปลายน่าจะพอทราบว่าเจ้านี้มันคืออะไร แต่สำหรับผู้อ่านท่านอื่นๆที่ไม่มีพื้นฐานทางนี้มาเลย ก็ไม่น่าจะยากเกินความเข้าใจ ลองเปิดใจรับดูครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสิ่งที่เรียกว่า คลื่น กันเถอะครับ


เสียงคลื่นซัดสาด มองเห็นไกลสุดขอบฟ้า มีทะเลทุกเวลา แต่บางทีไม่มี เธอ........(เพลงคิดถึง โดยพี่ปูพงษ์สิทธิ์ คำภีร์)
      คลื่นทะเลที่หาดไม้ขาว ภูเก็ต


คลื่นคืออะไร คลื่นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเป็นปกติสามัญบนโลกใบน้อยๆใบนี้ ตั้งแต่ระดับอนุภาคเล็กจิ๋วที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอย่างอะตอม ไปจนถึงระดับมหภาคอย่างจักรวาลกาแล็คซี่หรือเอกภพเลยละครับ โดยมีพลังงานชนิดต่างๆเป็นแหล่งกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสง รังสี ความร้อน เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้าฯลฯ


คลื่น เป็นการปลี่ยนแปลง การรบกวนจากสภาวะสมดุลของสสาร อนุภาค พลังงานในรูปแบบต่างๆจากหยุดนิ่งไม่ไหวติง หรือเคลื่อนที่ในอัตราเร็วคงที่ มีเสถียรภาพ กลายเป็นขยับเขยือน เคลื่อนที่ สั่นสะเทือน จนเกิดแรงกระเพือมแพร่กระจายแผ่ขยายออกไปรอบๆ จากศูนย์กลางแหล่งกำเนิด โดยมีทิศทาง ความถี่ ที่แตกต่างกันไปตามชนิดของคลื่นและการถ่ายเทพลังงานจากแหล่งกำเนิด นั่นเองละครับ
แล้วคลื่นเนี่ย มันมีกี่รูปแบบกี่ประเภทกี่ชนิดกันละ?


*** ชนิดของคลื่น




คลื่นเป็นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่รูปแบบหนึ่ง คลื่นสามารถจำแนกตามลักษณะต่าง ๆได้ดังนี้
1.   คลื่นที่จำแนกตามลักษณะการอาศัยตัวกลาง(คลื่นชนิดนี้ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่)
       1.1   คลื่นกล (Mechanical wave)   เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยอาศัยตัวกลางซึ่งอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซก็ได้ ตัวอย่างของคลื่นกลได้แก่ คลื่นเสียง(มีก๊าซหรืออากาศเป็นตัวกลาง) คลื่นที่ผิวน้ำ(มีของเหลวคือน้ำเป็นตัวกลาง) คลื่นในเส้นเชือก(มีของแข็งคือเชือกเป็นตัวกลาง) เป็นต้น
       1.2   คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic waves)   เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง สามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศ(หรือในอวกาศ)ได้ เช่น คลื่นแสง คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ คลื่นไมโครเวฟ รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา เป็นต้น เป็นคลื่นที่รัฐบาลนำไปให้เอกชนประมูลซึ่งมีมูลค่าสูงเป็นพันๆหมื่นล้านบาทอย่างที่เราเห็นในข่าวนั่นละครับ(เราประยุกต์ใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ในหลากหลายรูปแบบของการติดต่อสื่อสาร ทั้งวิทยุสื่อสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม การสื่อสารระยะไกลระหว่างโลกกับยานอวกาศ สถานีอวกาศ ดาวเทียม ทั้งด้านการทหาร การแพทย์ และอุตสหกรรมอีกมากมายหลายสาขา)
2.   คลื่นที่จำแนกตามลักษณะการเคลื่อนที่
       2.1   คลื่นตามขวาง หรือคลื่นแนวดิ่ง(Transverse wave)   เป็นคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ในทิศตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น มักจะมีตัวกลางในการเคลื่อนที่ที่เป็นสสาร ที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชัดเจน ตัวอย่างของคลื่นตามขวางได้แก่ คลื่นในเส้นเชือก คลื่นผิวน้ำ
       2.2   คลื่นตามยาว (Longitudinal wave)   เป็นคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ไปมาในแนวเดียวกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น ตัวอย่างของคลื่นตามยาวได้แก่ คลื่นเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นพวกนี้เป็นอนุภาคที่เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นตัวคลื่นได้ด้วยตาเปล่า
3.   คลื่นที่จำแนกตามลักษณะการเกิดคลื่น
       3.1   คลื่นดล (Pulse wave)   เป็นคลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดถูกรบกวนเพียงครั้งเดียว (ได้คลื่นหนึ่งลูก)
       3.2   คลื่นต่อเนื่อง (Continuous wave)   เป็นคลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดถูกรบกวนเป็นจังหวะต่อเนื่อง (ได้คลื่นหลายลูกต่อเนื่องกัน)
ส่วนประกอบของคลื่น
สันคลื่น (Crest)   เป็นตำแหน่งสูงสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางบวก
ท้องคลื่น (Crest)   เป็นตำแหน่งต่ำสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางลบ
แอมพลิจูด (Amplitude)   เป็นระยะการกระจัดมากสุด ทั้งค่าบวกและค่าลบ
หากคุณผู้อ่านสังเกตุคลื่นชีพจรที่เราเคยเห็นในหนัง คือถ้าไม่มีชีพจร ไอ้เส้นคลื่นยึกๆยือๆที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์นั้นมันจะไม่มี มันจะเป็นเส้นตรงแนวนอนไหลไปทางขวาใช่ไหมครับ ตรงกันข้าม เมื่อมีชีพจร ไอ้เส้นนี่มันจะหยักๆขึ้นๆ(สันคลื่น)ลงๆ(ท้องคลื่น)ทั้งล้ำขึ้นไป และลดต่ำลงมาจากเส้นตรงที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ลักษณะที่ว่านี้คงพอจะอธิบายคำศัพท์สามคำข้างบนนั้นได้บ้างนะครับ คือท้องคลื่นกับสันคลื่นนี่ ที่จริงมันก็คือแอมพลิจูดนั่นแหละ เพียงแต่มันอยู่คนละด้านของเส้นนอน มันคือค่าของระยะห่างจากสัน หรือท้องคลื่น ที่ตั้งฉากกับเส้นนอนที่ว่านั่นเองครับ
ความยาวคลื่น (wavelength)   เป็นความยาวของคลื่นหนึ่งลูกมีค่าเท่ากับระยะระหว่างสันคลื่นหรือท้องคลื่นที่อยู่ถัดกัน ความยาวคลื่นแทนด้วยสัญลักษณ์  มีหน่วยเป็นเมตร (m)
ความถี่ (frequency)   หมายถึง จำนวนลูกคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใด ๆ ในหนึ่งหน่วยเวลา แทนด้วยสัญลักษณ์  มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาที (s-1) หรือ เฮิรตซ์ (Hz)
คลื่นวิทยุจะมีหน่วยเป็นกิโลเฮิรตซ์สำหรับคลื่นAM(100-999 รอบต่อวินาที หรือเฮิรตซ์Hz)และเมกกะเฮิรตซ์สำหรับคลื่นFM(100000-999999รอบต่อวินาที หรือเฮิรตซ์Hz)
คาบ (period)   หมายถึง ช่วงเวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใด ๆ ครบหนึ่งลูกคลื่น แทนด้วยสัญลักษณ์  มีหน่วยเป็นวินาทีต่อรอบ (s)
อัตราเร็วของคลื่น (wave speed)   หาได้จากผลคูณระหว่างความยาวคลื่นและความถี่
สมบัติของคลื่น (wave properties)
คลื่นทุกชนิดแสดงสมบัติ 4 อย่าง คือการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน
การสะท้อน (reflection)   เกิดจากคลื่นเคลื่อนที่ไปกระทบสิ่งกีดขวาง แล้วเปลี่ยนทิศทางไปด้านตรงข้าม
การหักเห (refraction)   เกิดจากคลื่นเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวาง แล้วทำให้อัตราเร็วและทิศทางของคลื่นเปลี่ยนไป (มุมกระทบ=มุมสะท้อน)
การเลี้ยวเบน (diffraction)   เกิดจากคลื่นเคลื่อนที่ไปพบสิ่งกีดขวาง ทำให้คลื่นส่วนหนึ่งอ้อมบริเวณของสิ่งกีดขวางแผ่ไปทางด้านหลังของสิ่งกีดขวางนั้น
การแทรกสอด (interference)   เกิดจากคลื่นสองขบวนที่เหมือนกันทุกประการเคลื่อนที่มาพบกัน แล้วเกิดการซ้อนทับกัน ถ้าเป็นคลื่นแสงจะเห็นแถบมืดและแถบสว่างสลับกัน ส่วนคลื่นเสียงจะได้ยินเสียงดังเสียงค่อยสลับกัน
ทั้งสี่คุณสมบัตินี้ คุณผู้อ่านสามารถสังเกตเห็นได้ในชีวิตประจำวันได้จาก คลื่นผิวน้ำ ครับ
ขอบคุณข้อมูล***จากเวบไซต์(บางข้อความผมได้พยายามเพิ่มเติมคำอธิบายเข้าไป หวังให้คุณผู้อ่านคงเข้าใจง่ายขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมจากข้อความในต้นฉบับ)https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet3/saowalak/wave/wave.htm


ทั้งหมดนั่นคือความหมาย ชนิด คุณลักษณะ คุณสมบัติคร่าวๆของคลื่น คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ ผมตอบท่านผู้อ่านได้ทันทีว่า ไม่จำเป็นครับ ไม่มีแต่ด้วย แล้วผมมาอธิบายสาธยายเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้เสียยืดยาวทำไมกัน นั่นย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น
แน่ใจว่าคุณผู้อ่านต้องเคยได้ยินเรื่องการก็อปปี้ผลงานการลอกเลียนแบบผลงานของผู้คนในหลากหลายวงการ หลากหลายอาชีพมาบ้าง เกือบจะทั้งหมดของในทุกกรณี เป็นการลอก ก็อปปี้ผลงานของผู้อื่น โดยเจตนา ตั้งใจ คือไปเห็นไปได้ยินไปสัมผัสไปบลาๆๆผลงานของผู้อื่นมาก่อน แล้วค่อยมาสร้างงานของตัวเองขึ้นมาเลียนแบบงานนั้นๆทีหลัง มีระดับความเหมือนมากเหมือนกันทุกอย่าง ไปจนถึงได้รับอิทธิพลหรือได้แรงบัลดาลใจมาเพียงเล็กน้อย สังเกตุว่า ผมใช้คำว่า "เกือบจะทั้งหมดของในทุกกรณี" นั้นเพราะว่า มันยังมีข้อยกเว้นในอีกหลายๆกรณีเช่นกัน ที่บังเอิ๊ญบังเอิญผลงานสองชิ้นที่ต่างที่มา ต่างผู้สร้าง ต่างวาระกันเพียงไม่นาน มิหนำซ้ำดันมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันมาก มากเสียจนจนอดคิดเสียไม่ได้ว่า ต้องเป็นการลอกเลียนหรือก็อปปี้กันมาอย่างแน่นอน โดยผลงานที่เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะชนที่หลังนั้น มักจะถูกตกเป็นจำเลยของสังคมเสมอ แน่ละครับ เพราะมันคิดไปอย่างอื่นได้ยาก


ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นอีกสักนิดนึง โดยนำกรณีพิพาทกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ ผู้นำตลาดโทรศัพท์ติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า โทรศัพท์มือถือนั่นแหละครับ


15มิถุนายน ปี 2554บริษัทแอปเปิ้ลอิงค์ยื่นฟ้องต่อศาลเขตแคลิฟอร์เนียเหนือ ว่าบริษัทซัมซุงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยอ้างว่าจากผลิตภัณฑ์ของซัมซุงสี่รุ่นได้ทำการละเมิดสิทธิบัตรของแอปเปิ้ลอิงค์เป็นจำนวน5รายการด้วยกัน อีกหนึ่งปีต่อมา ศาลตัดสินว่าซัมซุงมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา และต้องจ่ายค่าเสียหายคืนกลับให้แอปเปิ้ลอิงค์เป็นจำนวน 1.05พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว3.2หมื่นล้านบาท ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็เกิดการฟ้องร้องกันระหว่างสองค่ายนี้อีกในหลายประเทศด้วยข้อหาเดียวกันนี้ ต่างฝ่ายต่างฟ้องว่าอีกฝ่ายละเมิดลิขสิทธิ์ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตน ในแต่ละประเทศก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกันไป แต่ฝ่ายที่เจ็บตัวกว่า ก็เห็นจะเป็นซัมซุงละครับ ค่าปรับที่ได้ชนะคดีมา ก็ไม่คุ้มกับที่ต้องเสียไปให้แอปเปิ้ลหรอกครับ แหม ก็ทำออกมาเหมือนซะขนาดนั้นนี่น่า แถมออกสู่ตลาดทีหลังคู่กรณีด้วยนะซิ(จริงๆมันมีรายละเอียดที่น่าสนใจมากกว่านี้ครับ คุณผู้อ่านที่สนใจข้อมูลเชิงลึก ก็ลองถามอากู๋ดูนะครับ สืบค้นได้ไม่ยากแน่นอน) ก็ว่ากันไปครับ ในโลกธุรกิจ มูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญานั้น มันมหาศาลเหลือเกิน เรื่องเงินๆทองๆมันยอมกันยากครับ ผิดถูกว่ากันตามกระบวนยุติธรรมครับ ผมไม่ใช่สาวกของทั้งสองค่ายอยู่แล้วไม่เชียร์ใครทั้งนั้น(เปล่าหรอก ไม่มีตังค์ซื้อต่างหากละ เอิ้กๆๆๆ)
ตัวอย่างข้างบนนั้นเป็นหนึ่งในหลายๆกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น ในโลกนี้ อันเนื่องมาจากสิ่งที่เราเรียกว่า ทรัพย์สินทางปัญญา ในแวดวงดนตรีและศิลปะ ความขัดแย้งลักษณะนี้ ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย และไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีกันมาช้านานแล้ว บางยุคสมัยกลับไม่ได้เป็นเรื่องราวขัดแย้งใหญ่โตอะไรสักเท่าไหร่


หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจ ด้วยแนวคิดทางการเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน โดยมีอเมริกาเป็นลูกพี่ใหญ่ในฝั่งเสรีประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียต(สหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน)เป็นหัวโจกทางฝั่งสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จากความหวาดระแวงกันของทั้งสองฝ่าย ที่มีการทดลอง พัฒนา สะสมอาวุธนิวเคลียร์กันอย่างอย่างโจ๋งครึ่ม (ทุกวันนี้ก็ต้องพี่คิมแห่งเกาหลีเหนือละครับ พี่เค้าเปรี้ยวปรี๊ดสดจี๊ดไม่มีใครเกินครับชั่วโมงนี้)จนโลกทั้งโลกต้องผวา ว่าเมื่อไหร่ที่สองยักษ์ใหญ่นี้ตีกัน โลกของเรามีหวังต้องหมุ่นอุ้ยปุ้ย(เละตุ้มเปะเป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี)อย่างแน่นอน จนแล้วจนรอดทั้งสองก็ไม่เคยทำสงครามกันอย่างเต็มรูปแบบเสียที เพราะต่างตระหนักดีว่าอาวุธนิวเคลียร์ที่ต่างฝ่ายมีสะสมไว้นั้น มันมีอานุภาพร้ายแรงและน่ากลัวเพียงไร จึงใช้แนวคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการหาพรรคพวก และแทรกแทรกกิจการภายในของประเทศที่ตนแผ่อิทธิพลไปถึง มีการสนับสนุนเงินทุนและค้าอาวุธ ให้ประเทศต่างๆในการทำสงครามกับชนชาติเดียวกัน ประเทศเยอรมันนี เกาหลี เวียดนาม และภูมิภาคยุโรป คือประจักษ์พยานและหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความขัดแย้งของสองแนวคิดทางการเมืองเฮงซวยนี้ นั่นคือที่มาคร่าวๆของวิกฤตการณ์สงครามเย็น


ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ของโลกเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาเริ่มเข้าจัดตั้งฐานทัพในประเทศพันธมิตรแห่งโลกเสรี พันธมิตรที่ว่านั้น มีประเทศไทยของเรารวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นการคานอำนาจคอมมินิสต์จีน ที่แผ่ขยายอิทธิพลลงมาในเวียดนามและลาว จนมาถึงยุคสมัยของสงครามเวียดนาม ทหารจีไออเมริกันก็ได้เอานำวัฒนธรรมดนตรีร็อดแอนด์โรลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียแห่งนี้ด้วยเช่นกัน พี่ไทยเราก็รับอิทธิพลนี้เข้ามาเต็มๆ วงดนตรีและนักดนตรีเก่งๆหลายแจ้งเกิดในฐานทัพของอเมริกา พวกเขาเล่นดนตรีได้เหมือนกับต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน ยิ่งเล่นได้เหมือนเท่าไหร่ยิ่งได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมชมชอบ เพลงไทยมากมายในสมัยนั้นนำสำเนียงดนตรีท่วงทำนองของเพลงสากลต่างประเทศ มาเปลี่ยนคำร้องเป็นภาษาไทย เนื้อหาแปลมา ดัดแปลงมาบ้าง เขียนขึ้นใหม่บ้าง ทั้งคนเล่นคนร้องคนฟัง กลับมิได้รู้สึกถึงคำว่า เป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแต่อย่างใด แถมมีการบันทึกเสียงจำหน่ายกันเป็นเรื่องเป็นราวอีกต่างหาก ยุคหลังจากนั้นมา จนกระทั่งผมจำความได้ มันก็ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งโตมาอายุสักสิบหกสิบเจ็ด จึงมีการตื่นตัวเรื่องสิทธิบัตร เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังมากขึ้น การประชาสัมพันธ์และรณรงค์เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งได้รับความกดดันมาจากกฏหมาย ข้อตกลงระหว่างประเทศ จากองค์กรต่างๆในระดับโลกที่ประเทศไทยของเราเข้าร่วมเป็นสมาชิกอีกทีนึง ประมาณว่า ถ้าไม่แก้ไขปัญหา ก็จะค้าขายกับเขาลำบากว่างั้นเถอะ อย่างล่าสุดนี่ก็เรื่องการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานประมงที่ผิดกฎหมายที่สภาพยุโรป EU มีมาตรการให้เราแก้ไขโดยด่วน ไม่งั้นจะไม่ยอมนำเข้าสินค้าประมงเหล่านี้เป็นต้น ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลทหารก็แก้ไขปัญหาได้ลุล่วงไป เอ้า ทำงานมีประสิทธิภาพเห็นผลชัดเจนก็ปรบมือให้ครับ อย่างไรก็ตามปัญหาด้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ก็ยังคงมีอยู่ ที่จับได้ก็ปรับกันไป ปรับกันเสร็จ ก็มาขายใหม่ รณรงค์กันทีจับทีก็หายๆไปบ้าง ปลาซิวปลาสร้อยผู้ค้ารายย่อยเป็นซะส่วนใหญ่ แถมยังโดนค่อนขอดว่าไปรังแกคนทำมาหากินด้วยนะซิ ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า การโยนความรับผิดชอบไปให้รัฐบาลรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี หากไม่ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนอย่างเราๆท่านๆแล้วละก็ แก้ให้ตายยังไงก็แก้ไม่ได้ครับ ผู้บริโภคอย่างเราควรต้องยกระดับตัวเองขึ้นด้วยครับ ค่อยๆปรับพฤติกรรมของเราไป ค่อยๆเปลี่ยนมาใช้ของแท้มีลิขสิทธิ์ถูกต้องกัน ทีเล็กละน้อย ทีละอย่างสองอย่าง จนมันกลายเป็นนิสัยกลายเป็นค่านิยมที่คนยอมรับกันในสังคมโดยรวม ช่วยกันสร้างมาตรฐานใหม่ ที่คนคุณภาพ และสังคมคุณภาพพึงมี ความคิดที่ว่า โครงสร้างพื้นฐานอันได้แก่ ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบขนส่งมวลชนและโทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วัตถุสิ่งของ ตึกรามบ้านช่องสวยงามสูงใหญ่ มีห้างสรรพสินค้าใหญ่โตทันสมัย มีรถหรูๆวิ่งขวักไขว่อยู่ตามถนนรนแคมฯลฯว่าคือเครื่องหมาย คือสัญลักษณ์ของความเจริญนั้น มันเป็นความจริงแค่ส่วนเดียวครับ มันเป็นเพียงส่วนประกอบย่อยๆของภาพรวมความเจริญเท่านั้นเอง เพราะประเทศที่เจริญแล้วคือประเทศที่คนให้ความสำคัญในการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น เคารพกติกากฏหมายบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นมโนธรรมในจิตใจขั้นพื้นฐานของคนในสังคมที่จะอาศัยอยู่ร่วมกัน มากกว่าวัตถุสิ่งของภายนอกกาย หากเรามีเพียงแต่ปัจจัยสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนอย่างที่ยกตัวอย่างมาโดยปราศจาก การเคารพซึ่งกันและกันแล้วละก็ สังคมก็คงหาความสงบสุขได้ยาก แล้วประเทศที่มีแต่ความวุ่นวายจากพฤติกรรมละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ละเมิดกฏกติกาโดยอ้างความชอบธรรมต่างๆนาๆเพื่อเอารัดเอาเปรียบกันของคนในชาติจนเป็นเรื่องปกติสามัญไปซะอย่างงั้น แล้วปลอบใจผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อว่าให้ทำใจเสียจะเป็นการดีที่สุด ผมไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้มันคือสิ่งที่เรียกว่าความเจริญหรอกครับ แล้วเราจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วได้อย่างไร ไม่ต้องตอบคำถามนี้นะครับ มาช่วยกัน ร่วมมือกันแก้ไขกันเลยดีกว่า เริ่มต้นจากตัวเราเองนี้ละครับ ไม่ต้องไปร้องขอเอาจากใคร
แหม่ พาออกทะเลไปไกลเชียว นี่ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องคลื่นตรงไหนเลยใช่ไหมครับ ผมกำลังจะเสนอแนวคิดนึง ซึ่งผมเองก็คิดว่า ผมคงไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนี้หรอก แต่นั้นไม่สำคัญอะไร เมื่อครู่ใหญ่ๆ ผมได้พูดถึงความละม้ายคล้ายคลึงของผลงานจนเกิดข้อพิพาทฟ้องร้องกันเยอะแยะมากมาย(แต่มึงยกตัวอย่างมาแค่เคสเดียวสองเคส ไอ้บักห่าเฮิร์บ)
ผมเชื่อว่ามีหลายกรณีที่ผลงาน ไอเดีย สิ่งประดิษฐ์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูกสร้างขึ้นจากต่างที่ต่างทางต่างบุคคลแล้วมันดันเหมือนกันมากๆคล้ายกันมากๆจริงๆโดยที่ไม่ได้ลอกเลียนแบบนั้น มันมีจริงๆ และมันเกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติแต่อย่างใดเลย มันแสนจะธรรมดาเรียบง่ายเสียจนคุณผู้อ่านหรือใครหลายคนอาจมองข้ามไป ใช่แล้วครับ ผมกำลังจะบอกว่า คลื่น นี่แหละคือตัวการสำคัญของเรื่องนี้ ส่วนใครจะก็อปจะลอกใครนั้น ผมขอไม่ออกความเห็นก็แล้วกันครับ เพราะผมเองนี้กว่าจะมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ก็ก็อปปี้ลอกแบบคนอื่นมาก็นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกันเอิ้กๆๆๆ ก็มันเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์นี่นา แต่อย่าได้บอกเชียว ว่าคุณผู้อ่านเติบโตมาโดยไม่เคยมีใครเป็นต้นแบบ เป็นไอดอล ไม่เคยมีอะไรหรือใครเลยที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคุณเลย เพราะนั้นมันเป็นการโกหกคำโตเลยละ


ตามที่ผมได้บอกคุณผู้อ่านไปก่อนหน้า เรื่องคุณลักษณะต่างๆของคลื่น หนึ่งในคุณลักษณะที่กล่าวไป ก็คือความถี่ของคลื่น ซึ่งก็คือจำนวนลูกคลื่น ที่เคลื่อนที่ผ่านจุดสังเกตุจุดหนึ่ง มีหน่วยวัดเป็นเมตรต่อวินาที หรือเฮิร์ตซนั่นเอง ผมอยากให้คุณผู้อ่าน จินตนาการว่า สมองของเราเป็นเครื่องรับวิทยุหรือโทรทัศน์ที่เราใช้ๆและคุ้นเคยกันดีนั่นแหละครับ(ในความเป็นจริง มันก็เป็นได้จริงๆครับ ถ้าหากเครื่องส่งกับเครื่องรับคลื่นความถี่มีคุณภาพและ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ถ้าหากเครื่องส่งคลื่นสัญญาณคือสมอง เครื่องรับสัญญาณก็ควรเป็นสมองเช่นกัน คือระบบประสาทและสมองของคนเรา รวมทั้งสัตว์หลายชนิด มันทำงานได้โดยพลังงานไฟฟ้าชีวเคมีในร่างกายครับ และคลื่นสมองของคนหรือสัตว์ก็เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งเช่นกัน แต่ความถี่ของคลื่นสมองของมนุษย์นั้นอยู่คนละย่านความถี่กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่เราใช้กัน การรับหรือส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสมองไปสู่อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ หรือกลับกันนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก ด้วยเหตุผลเรื่องความต่างระดับกันอย่างมากของย่านความถี่ดังที่กล่าวไปนั่นเอง พลังงานสูง ความถี่สูง พลังงานต่ำ ความถี่ต่ำ ความถี่แปรผันตามพลังงานของแหล่งกำเนิดคลื่นครับ) หรืออาจจะจินตนาการไปจนถึงว่า สมองเราสามารถเป็นดังโทรศัพท์มือถือ3G 4Gเลยก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ครับพอหัวสมองเรามันเป็นดังเครื่องมือที่รับหรือส่งคลื่นสัญญาณเหล่านี้ได้ นั่นแปลว่าภาพ เสียง สัญญาณหรือสาร ที่ถูกส่งออกมาจากแหล่งกำเนิด ในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำ(คลื่นสมอง)ที่อาจเป็นสมองของเราเอง หรือใครสักคนก็ได้ ที่อยู่ในย่านความถี่เดียวกันนี้ สามารถทำให้สมองของคนที่เปิดเครื่องรับอยู่(จิตว่าง)รับคลื่นสัญญาณนั้นได้เช่นกัน อย่าเพิ่งลืมว่าคลื่นที่ใช้เพื่อกิจการการโทรคมนาคมนั้น มันคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และไอ้เจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี่มันมีสมบัติเฉพาะตัวอีกอย่างนึงคุณผู้อ่านจำได้ไหมครับ เอ้า ติ๊กตอกๆๆๆๆๆ แฮ่ ครับผม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่ มีเฉพาะเครื่องส่งสัญาณ และเครื่องรับสัญญาณเป็นใช้ได้
พอเราทราบเช่นนี้ เราก็พอจะอนุมานได้ว่า ถ้าสมองใครสักคนคิดงานชิ้นนึงขึ้นมา (เครื่องส่งสัญญาณพร้อมสาร)ด้วยคลื่นความถี่ของสมองที่ส่งออกมา สมองของคนอีกคนหรือหลายคนก็ได้(เครื่องรับสัญญาณ) ที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกไม่เคยรู้จักกัน หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแต่อย่างใด มีความสามารถที่รับคลื่นสัญญาณที่ถูกส่งออกมาได้ และอาจกำลังเปิดใจรับจับคลื่นสัญญาณที่ว่านี้(ทำสมองทำจิตว่างๆไม่คิดอะไร ) ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาก็สามารถจะพูด แสดงออก ผลิตผลงานสร้างสรรค์อะไรก็ตามที่ลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันขึ้นมาได้นั่นเองละครับ คนที่รับรู้ความถี่ของคลื่นสมองคลื่นเดียวกันนี้อาจมีมากมาย แต่คงมีไม่กี่คนที่คิดจะทำมันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเป็นรูปธรรม และเป็นที่รับรู้กันในวงกว้าง เราจึงพบว่า มีการพูดถึงเรื่องราวที่มีลักษณะที่ว่านี้ไม่มากนัก และคงไม่ใช่แค่เพียงความคิดดีๆความคิดบวกสร้างสรรค์เท่านั้นที่จะถูกส่งผ่ามมาตามกระแสคลื่นความคิด ความคิดร้ายๆด้านลบก็คงสามารถส่งคลื่นสัญญาณออกมาได้ไม่ต่างกันนักหรอกจริงไหมครับ พูดแล้วนึกถึงแนวคิดเรื่องกฏแห่งแรงดึงดูดที่เคยอ่านมา ที่ว่าคนที่คิดบวกคิดดีก็จะดึงดูผู้คนรอบข้างหรือผลักดันตัวเอง ให้เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คนที่คิดดีคิดบวกเหมือนกัน คนที่คิดร้ายคิดลบก็จะมีแนวทางคล้ายๆกันครับ ที่สำคัญของแนวคิดนี่คือ ต้องเชื่อ ว่ามันเป็นเช่นนั้น คือเอาศรัทธามานำความคิดนั่นเอง พอมาพิจารณาดูดีๆ มันก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย อันนี้ก็แล้วแต่คุณผู้อ่านนะครับ นานาจิตตัง ผมเล่าให้ฟังเฉยๆ ออแล้วผมก็เปล่ามาชวนไปขายตรงนะครับ เอิ้กๆๆๆ
เป็นเพียงแนวคิดสมมุติฐานและข้อสันนิฐานของผมเอง หากลองตั้งใจค้นคว้าดู ก็น่าเชื่อว่าจะต้องเคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ศาสตร์ด้านระบบประสาทและสมองนั้นก้าวหน้าไม่แพ้ศาสตร์ด้านการแพทย์แขนงอื่นๆเลย วันหลังไปค้นเจอมา จะเอาลิงค์มาแปะให้ตามไปศึกษากันนะครับ
วิทยาศาตร์กายภาพ หรือวิชาฟิสิกส์นั่น มีขอบเขตความรู้ความเข้าใจ มีความสลับซับซ้อนและลึกซึ้งมากมายกว่าสิ่งที่ผมนำเสนอในวันนี้มากเลยครับ ผมอยากจะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจหรอกครับ เพียงแต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่คุณผู้อ่านสนใจเท่านั้นเอง ไม่ต้องกังวลอะไรหากคุณผู้อ่านจะไม่ค่อยเก็ทกับบทความชิ้นนี้ นั่นมันคงเป็นเพราะ ผมอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวนั้นดีพอ เลยอาจจะถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีนัก เพียงอยากจะแบ่งปันสิ่งที่คิดไว้ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณผู้อ่านหรือนำไปต่อยอดความคิดได้ นั่นจะประเสริฐยิ่งกว่า ผมไม่ใช่คนที่เรียนเก่งสมองดีอะไร เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ ผมมีความสนใจใคร่รู้ ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว จากสิ่งที่สนใจทั้งนิยาย หนัง บทความ สารคดี สื่อใดก็ตามแต่ ที่พอจะตอบสนองความสนใจของได้นั้น ผมไม่เกี่ยงเลย เก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ จากจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ค่อยๆเป็นภาพใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นภาพอะไรด้วยซ้ำ เอิ้กๆๆๆ จากความสงสัยใคร่รู้ มันจึงนำพาผมไปค้นหาคำตอบ และคุณจะจดจำมันได้ดีถ้าคุณเรียนรู้และเข้าใจมันได้ด้วยตัวคุณเอง เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่อยากจะข้ามผ่านข้อจำกัดของตัวไปให้ได้ ไม่ว่าเรื่องราวที่คุณสนใจมันจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวนี้ความรู้ในอินเตอร์เน็ตมันมีมากมายหลายหลากสาขา กว้างขวาง ครอบคลุม มันต้องมีสักเรื่องแหละ ที่คุณสนใจมันจริงๆ จนคุณคิดไม่ถึงเชียวครับ ทั้งข้อมูลเชิงลึกต่างๆก็มีให้ขุดค้นจนหาที่สุดไม่เจอก็มีเหมือนกัน อย่าลืมตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลด้วยนะครับ ประเดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อของข้อมูลลวงไปเสียอีก
คงต้องพอก่อนสำหรับเรื่องราวในตอนนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้าง เดือนเมษายนนี้ ได้บทความเพียงสามชิ้นเท่านั้น ต้องขออภัยคุณผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย ที่มันออกจะน้อยไปเมื่อเทียบกับสองสามเดือนที่ผ่านมา แล้วจะค่อยๆปรับปรุงขึ้นนะครับผม


ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขกับชีวิตในแบบของท่านแบบนั้น เถิดหนา ลาไปก่อน สวัสดีครับ


มีเล็กน้อยก็ส่งไปเล็กน้อย
 มีเล็กน้อยของเธอน่ะมีรึเปล่า......

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

สวัสดีปีใหม่ไทย

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งนึงครับ หมุนเวียนมาบรรจบครบรอบอีกหนึ่งปีแล้ว สำหรับเทศกาลแห่งความสุขของพี่น้องชาวไทยทุกคนทุกท่าน สงกรานต์ปีนี้ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่านรวมไปถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า จงมีแต่ความสุข สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจให้สมกับที่รอยคอยกันนะครับ กินดื่มก็ขอให้พอประมาณ สนุกสนานก็อย่าได้เลยเถิด เท่านี่ก็ประเสริฐสุดแล้วครับ ออ ขับรถเดินทางก็ให้ระมัดระวังกันให้มากขึ้นอีกหน่อยนะครับ ไม่ประมาท ดื่มก็อย่าไปขับครับ อันตรายทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทาง กันไว้ก่อนเกิดการสูญเสียครับ
อารัมภบทมาเสียยืดยาว วันนี้มีเรื่องราวอันใดมากฝากคุณผู้อ่านบ้าง เดี๋ยวค่อยๆว่ากันไปนะครับ ก่อนอื่น ผมขอแจ้งให้ผู้อ่านทุกท่านทราบว่า รูปถ่ายในเมมโมรี่การ์ดโทรศัพท์เครื่องนี้ของผม มันได้อันตรธานหายไปหมด อีกแล้วครับท่าน ด้วยความผิดพลาดโดยสุจริตของตัวผมเองละครับ เรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ


เจ้าโนเกีย1320ตัวที่ผมใช้อยู่นี่ เวลาแบตเตอรี่อ่อนมากๆ หน้าจอมันจะกลายเป็นแบบหน้าจอทีวีที่ไม่มีสัญญาณ มันจะเป็นจอลายนิ่งๆครับ ในคราวแรกที่ผมเจอสถานการณ์นี้ ผมตกใจและเซ็งมาก เพราะตอนนั้นยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นอะไร และใช้มายังไม่ถึงห้าเดือนดี นึกว่าต้องเสียเงินซื้อเครื่องใหม่อีกแล้ว ลองกดปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ มันก็ยังเป็นจอลายแบบนั้นอยู่ ใจแป้วเลยครับ ตอนนั้นเดาว่าเครื่องมันชื้นเพราะโดนแอร์ในรถ เดาไปต่างๆนานา ไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็ไอ้เจ้า1320 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของวินโดว์จากค่ายไมโครซอฟต์นี่มันไม่ค่อยมีใครเค้าใช้กัน ตอนที่ผมซื้อมามันก็ตกรุ่นไปนานโขแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ศูนย์บริการพร้อมทั้งบุคคลากรของโนเกียในเมืองไทยก็ปิดตัวม้วนเสื่อกลับบ้านกันไปหมดแล้ว แม้รู้ทั้งรู้ แต่ผมก็ยังซื้อหามาใช้งาน เพราะเชื่อถือไว้วางใจในแบรนด์และระบบปฎิบัติการ วางใจถึงขนาดที่ร้านบอกว่า เครื่องไม่มีประกันนะ เพราะศูนย์โนเกียมันเจ๊งกะบ๊งไปหมดแล้ว ผมก็ยังดึงดันเอามาใช้อะคิดดู อันนี้โทษใครไม่ได้จริงๆครับ ถึงวันนี้ได้แต่บอกตัวเองว่า ไม่น่าเลยกู เอิ้กๆๆๆ โนเกียมันไม่ใช่โทรศัพท์ยอดนิยมของใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว ใครๆเค้าก็หันไปใช้แอปเปิ้ล ซัมซุงกันทั้งนั้น ส่วนโทรศัพท์ของค่ายหลังม่านไม้ไผ่ ก็กำลังตีตลาดไล่ตามขึ้นมาเรื่อยๆ มูลค่าการตลาดของมือถือจีนก็กำลังโตวันโตคืนและยังไม่มีท่าทีของการชลอตัวแต่อย่างใด แต่ความอึดทนทานนี่ สมคำร่ำลือโนเกียก็ยังเป็นโนเกียวันยันค่ำครับ เจ้าเครื่องนี้ของผมตกหลุดมือลงพื้นปูนแข็งเป็นสิบๆครั้ง หน้าจอร้าว เคสบิ่น แต่ใช้งานได้เป็นปกติไม่แง่งอนงอแง อันนี้ขอเค้าดีจริงๆ ครับ
ผมค่อยๆสงบใจลง ค่อยๆพิจารณาหาสาเหตุแล้วลองถอดเคสออกแล้วเสียบชาร์ตทิ้งไว้ทั้งคืน(คิดว่าพอชาร์ตแล้วเครื่องมันจะร้อนแล้วความชื้นมันจะระเหยไปเอง)สรุปไม่เกี่ยวกับความชื้นอะไรเลยครับ แค่แบตมันอ่อนมากๆเท่านั้นเอง(มารู้ทีหลัง) แต่ในความโชคดีก็มีความโชคร้ายอยู่ เพราะอีตอนที่ผมถอดเคสออก ผมดันถอดซิมกับเมมโมรี่การ์ดออกด้วย ถามว่าถอดทำไม ก็กลัวความชื้นมันทำระบบรวนแล้วกระทบกับข้อมูลในซิมและเมมโมรี่การ์ดนะซิครับ แบบว่า ไม่มีความรู้หรอก ได้แต่เดาเอาว่าความชื้นกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์นี่ มันน่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมันคงเป็นประมาณนี้ ผมโทรถามร้านที่ขายเครื่องให้ผมนะ เล่าอาการตั้งแต่เริ่มเห็นความผิดปกติ แต่ฟังดูที่ร้านก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน(อาจจะรู้แต่ทำเป็นไม่รู้) แต่เชียร์ให้ส่งเข้าซ่อม แล้วยังบอกอาจต้องเปลี่ยนหน้าจอ ผมรู้สึกว่ามันไม่เมคเซ้นต์เท่าไหร่ แบบว่า มันเกี่ยวไรกับจอวะทำไมต้องเปลี่ยน พอชาร์ตเครื่องหนึ่งคืนเท่านั้น รู้เรื่องครับ มันกับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นผมที่ตีโพยตีพายไปเอง ผมจ่ายค่าเสียหายไปเป็นรูปถ่ายที่ถ่ายมาตลอดสี่เดือนที่ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้เพราะถอดเมมโมรี่ออกโดยไม่สำรองข้อมูลไว้เกือบเกลี้ยง(คือถ้าไม่รู้แบบผมนี่แล้วไปถอดเมมโมรี่ออกก็ปลงได้เลย) เกือบเกลี้ยงยังไงนะหรือ แบบว่าก่อนหน้าที่มันจะเกิดเหตุ ผมทดลองอัพโหลดรูปถ่ายบางส่วนไว้บนone drive แล้วล่ะ กะว่าอัพโหลดภาพทั้งหมดเสร็จ แล้วก็จะเคลียร์รูปในเมมโมรี่การ์ดให้หมดๆไปซะ จะได้มีพื้นที่เหลือเยอะๆเอาไว้เก็บรูปถ่ายรุ่นต่อๆไปนั้นเองละครับ ที่เหลือที่ไม่ได้อัพโหลดก็ เฮ้อ คิดแล้วเศร้า ยัง ยังไม่สาแก่ใจใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน มนุษย์เดินดินมนุษย์ขี้เหม็นผู้ไม่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด กงล้อของประวัติศาสตร์ย่อมหมุนวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ฉันใดก็อิ่มนั่น เอ้ย ฉันนั้น เอิ้กๆๆ แล้วมันก็มันเกิดขึ้นกับผมอีกจนได้ หลังจากที่ผมปล่อยบทความตอนล่าสุดออกไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี่เอง พอโพสเสร็จก็ปิดไฟนอน เสียบชาร์ตแบตไว้เหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้ เหมือนกับว่า มันชาร์ตไฟไม่เข้า ตื่นมา ดันเหลือแบตน้อยกว่าเดิม แต่ก็ต้องรีบออกไปทำงาน อารามตกใจประสาทกินกลัวเสียเงินอีก เงินก็ยิ่งไม่ค่อยมีให้เสียด้วยซิ เลยไม่เหลือเวลาพิจารณาตรวจสอบอะไรให้ถ้วนถี่นัก พอแบตอ่อนมากๆจนเครื่องจะดับมันก็จอลายเหมือนเดิมครับ ครั้งนี้ผมสติแตกกว่าคราวก่อนมาก เพราะกลัวข้อมูลภาพหายอีก(หายจริงๆด้วย ในภาพถ่ายเมมโมรี่การ์ดหายเกลี้ยงเลยละ ที่จริงมันจะไม่เสียหายอะไรถ้าผมไม่ดันไปถอดเมมโมรี่กับซิมออก) ผมวินิจฉัยเอาเองว่า มันเป็นเพราะแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ (ไม่ทันคิดว่าตอนเสียบชาร์ตสายมันอาจจะหลวม)ก็มันชาร์ตไฟไม่เข้านี่ จะให้คิดยังไงจริงไหมครับ เอิ้กๆๆ โทรไปที่ร้านที่ขายเครื่องให้ผมอีกที เล่าอาการให้ฟัง โชะๆๆๆ ที่ร้านมันก็บอกเป็นเพราะจออีกแล้ว อุวะ ร้านนี้มันเป็นอะไรกับจอวะเนี่ย ยุกูเปลี่ยนจอจังเลยแฮะ ผมแน่ใจแล้วละ ว่าผมพึ่งร้านนี้ไม่ได้จริงๆ พอเริ่มตั้งสติได้ก็เอาอีกแล้ว ถอดเคสชาร์ตไฟข้ามคืนอีกสักที แต่ดันไปถอดซิมกับเมมโมรี่การ์ดอีกนะสิคู้ณ (มันมีสติตรงไหน ย้ำคิดย้ำทำอยู่ได้)ทำไมผมไม่เฉลียวใจเลยแม้แต่น้อยก็ไม่รู้ เซ็ง เจ็บไม่รู้จักจำจริงๆ คราวนี้ ผมต้องจ่ายค่าโง่ด้วยรูปถ่ายหลายร้อยรูปที่ยังไม่ได้อัพโหลดเก็บไว้ รวมไปถึงคอลเลคชั่นภาพถ่ายดอกไม้ในสวนสวยของศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งที่เค้ามียอดขายสูงสุดไม่มีใครเสมอเหมือนมาหลายปีดีดักเลยทีเดียว แบบว่าถ่ายมาชื่นชมได้หนึ่งวัน ใหม่ๆ หมาดๆ ยังอุ่นๆอยู่เลย คล้อยหลังเข้าอีกวันเท่านั้นมันก็หายเกลี้ยงหมดเลย โถ่เอ้ยชีวิต แปลกตรงที่มีแต่ไฟล์รูปภาพเท่านั้นที่หายไป ไฟล์เสียง และไฟล์เอกสารกลับยังอยู่ครบบริบูรณ์ดี ทั้งๆที่เซฟไว้ในเมมโมรี่การ์ดเหมือนกัน ครั้งก่อนก็แบบนี้ แต่ครั้งก่อนมันยังเหลือรูปถ่ายไว้ดูต่างหน้าตั้งเยอะนะ เออ มันเป็นซะอย่างงั้น นี่มันไสยศาสตร์หรืออย่างไรกัน ตกลงต้องการแค่รูปใช่ไหม ไอ้ๆๆๆหรืออีกันแน่ ที่มันทำกับผมแบบนี้ มันคือสิ่งใดกัน (การโยนความผิดบาปให้ใครหรืออะไรสักอย่างนอกจากตัวเองนั้นจะช่วยให้เรารู้สึกผิดน้อยลง หรือแม้แต่ไม่รู้สึกผิดเลย ยังช่วยให้เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วย ก็ในเมื่อเราโยนความผิดออกไปจนพ้นตัวแล้วนี่ ส่วนใครจะมารับก็รับไป ใครที่ว่านั่นก็มักจะเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือคู่กรณีของเราเสมอ แต่เราต้องแน่ใจว่า เรามีแรงสนับสนุนมากพอ วิธีนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่มวลชน ที่ชอบเห็นคนอื่นเป็นผักปลา เป็นเบี้ยเป็นหมากในเกม ไม่ได้แนะนำนะครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ)ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมเสียศูนย์อยู่หลายวันเขียนอะไรก็เขียนไม่ออกเลย


แต่คุณผู้อ่านครับ ขอบอกว่าดอกไม้เค้าสวยจริงๆครับใครมีโอกาสเข้าไปใช้บริการที่ศูนย์บริการและโชว์รูมแห่งนี้ หากท่านเบื่อหน่ายการรอคอยยานพาหนะของท่านขณะเข้ารับบริการ โดยต้องนั่งรอในห้องแอร์เฉยๆเป็นเวลานาน ลองเปลี่ยนอิริยาบทไปเดินดูดอกไม้สวยๆของเค้าได้ครับ พื้นที่ส่วนที่ว่านี้ไม่ได้เยอะใหญ่โตอะไรเลยครับ สำหรับคนที่ชอบไม้ดอกไม้ประดับ คงจะทำให้ท่านเพลิดเพลินเจริญใจได้ไม่น้อยที่เดียวครับ











สงกรานต์ปีนี้เท่าที่สังเกตุดู ผมรู้สึกว่าความคึกคักตามท้องถนนมันจะดูน้อยลง ดูบางตาไปอย่างเห็นได้ชัดเจน คาดว่าคงเป็นเพราะมาตรการคุมเข้มของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งการใช้มาตรา 44บังคับใช้กฎหมายจราจรที่ออกมานานแล้วล่ะ(เพิ่งรู้ว่ากม.ฉบับนี้มีมานานแล้วเหมือนๆกับคนอื่นๆนั่นละครับ) ทั้งการกวดขันเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ด้วยหวังว่าจะหยุดสถิติการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเจ็ดวันอันตรายนี้ลงให้จงได้ จะได้ผลเป็นอย่างไร ก็มาคอยดูกันไปครับ ก็หวังว่าจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง เอาใจช่วยนะครับ แต่ขอแสดงความเห็นเรื่องการร่างและผ่านกฏหมายหน่อยนะครับ คือถ้าบอกจะปฏิรูปประเทศด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมมีบทบาทในการตัดสินใจ ทั้งในระดับนโยบาย ไล่เรียงไปจนถึงระดับการปฏิบัติการแล้วละก็ รัฐบาลควรต้องเปิดพื้นที่เปิดเวทีพูดคุยถกกันของทุกฝ่ายให้เป็นกิจจะลักษณะ เพื่อที่จะแก้กฏหมาย หรือหาทางออกอื่นๆที่พอจะตกลงกันได้ ประชาชนคนไทยส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือไม่ก็ตาม คงไม่ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียๆหายๆอย่างที่เห็นกันตามสื่อหลัก หรือแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ก็ตาม(อันหลังนี่เล่นซะรัฐบาลดูเป็นไอ้งั่งไปเลย)การดึงดันที่จะบังคับใช้กฏหมาย รังแต่จะสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหาเสียมากกว่า ซึ่งตอนนี้รัฐบาลก็ถอยมาหนึ่งก้าวแล้วล่ะ แต่มันเป็นเพียงการลดอุณหภูมิความร้อนแรงของกระแสความคิดเห็นของประชาชน จะบอกว่าเป็นการซื้อเวลาออกไปอีกหน่อยก็คงไม่ผิดนัก คิดว่าประชาชนส่วนนึง ซึ่งไม่ทราบว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใดที่จะรู้กฏหมายข้อนี้ เพราะถ้าหากเขารู้ ผมว่าเขาไม่มีทางซื้อรถกระบะมาใช้เด็ดขาด เป็นผมผมก็ไม่ซื้อ(เพราะไม่มีเงินซื้อ เอิ้กๆๆๆ) จะซื้อทำไมละครับ เพราะดูยังไงมันก็ไม่คุ้มหากไม่ได้ใช้งานอย่างที่เราต้องการเหมือนทุกวันนี้ รถเราซื้อมาแล้ว จะขนนั่นขนนี่ขนคนมันก็เรื่องของเราไหมครับ แล้วถ้าจะเอาจริงกับกฎหมายฉบับนี้ แล้วรัฐบาลมีทางเลือกให้ผู้ใช้รถกระบะที่มีอยู่เป็นจำนวนมากอย่างไร หรือแค่กะจับปรับเอาตังค์ไปเรื่อยๆ มันยุติธรรมกับพี่น้องประชาชนแล้วหรือ ที่มาหักหาญเอาชนะคะคานกันด้วยมาตรา44 เอาเข้าจริงๆแล้วสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ได้เกี่ยวกับการนั่งกระบะหรือนั่งแค็ปแต่อย่างใดเลย มันเป็นเรื่องของความประมาท เมาแล้วขับ ใข้ความเร็วสูงเกินเหตุ ละเมิดกฏจราจร ฯลฯ เหล่านี้ต่างหากที่เป็นสาเหตุต้นตอ พูดแล้วนึกถึงร้านที่ขายโทรศัพท์ให้ผมจริงๆ ปัญหากับวิธีแก้ปัญหานี่มันเหมือนกับรัฐบาลของเรายังกะลอกกันมาไม่มีผิด อย่างไรก็ตามก็หวังให้รัฐเอาจริงเอาจังกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อหาทางออกกับปัญหานี้ จริงๆแล้ว อยากให้แก้ปัญหาโดยอาศัยแนวทางนี้(การพูดคุยแลกเปลี่ยนถกเถียงฯลฯเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน)ทุกปัญหานั่นแหละครับ ผมมีโอกาสไปอ่านบทความในเวบเพจของสื่อมวลชนเจ้านึงมา บทความกล่าวถึงงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประะเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ว่าด้วยการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในเมืองไทย เค้าชี้แจงแยกแยะสาเหตุที่มาที่ไปวิเคราะห์ปัญหาได้ชัดเจนตรงประเด็นแถมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้เสร็จสรรพเลย น่าสนใจมากๆครับ มันน่าแก้ปัญหาได้ตรงจุด เกาถูกที่คันมากกว่าที่แล้วๆมา และน่าจะยั่งยืนกว่ามาตรการที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน แนวทางตามงานงานวิจัยที่ว่านี้ ผมหนุนสุดตัวครับถ้ารัฐบาลจริงใจแก้ปัญหาจริงๆอะนะไม่แค่การลูบหน้าปะจมูกตอนเทศกาลเท่านั้น คุณผู้อ่านตามไปอ่านบทความนี้ได้ ตามลิงค์นี้ครับ
www.thematter.co/pulse/tdri-pickup/21988
หรือเราจะให้มันเป็นแค่เพียงหลักการที่เอาไว้กล่าวอ้างเฉยๆอย่างที่เคยๆทำกันมาเท่านั้น ก็สุดแท้แต่บุญแต่กรรมของประเทศนี่ก็แล้วกันครับ ทำไงได้ ประชาชนตาดำๆอย่างเราอย่างมากก็ได้แค่บ่นเท่านั้นแหละ แหม่ พอปลงเสร็จปุ๊บก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีเลย แม้จะไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยก็ตาม เอิ้กๆๆๆ




บ่นไปเบื่อไป ก็เท่าน้าน กัดฟันสู้ไปยังด้ายอยู่ จะดีจะเลว ให้มันรู้ สู้ไปอยู่อย่างนี้
ยังมี ลมหายใจ สู้ไปยังได้อยู่ ดูเกม คงต้องดู ตาสุดท้าย
ทางเดิน ชีวิตเรา ใครก็คงขีดเอาไม่ได้ จะดีเลวอย่างไรหัวใจก็ยังได้อยู่ (ท่อนฮุคของเพลง ยังได้อยู่ ของพี่เสือธนพล อินธิฤทธิ์ )


อันที่จริงการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนี่ ไม่ใช่ทางผมตั้งแต่แรกแล้วละครับ บล็อกที่ชอบที่ชอบนี่ ผมอยากให้บล็อกมันมีเนื้อหาที่หลากหลาย ไม่อยากจำกัดตัวเองว่าจะต้องเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยเฉพาะเท่านั้น เรื่องการบ้านการเมืองเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ผมเองไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปพัวพันหรือแม้แต่จะพูดถึง แต่ในบางครั้งคราวก็มีเหมือนกันที่รู้สึกกับมันมากจนอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้ ที่เขียนมาในวันนี่ในฐานะประชาชนคนนึง ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจวิถีของการปกครอง การเมืองสักเท่าไหร่ ว่าทำไมรัฐบาลจึงทำเช่นนั้น ทำไมไม่ทำเช่นนี้ ทั้งที่หลักการกล่าวไว้อย่างหนึ่ง เราต่างรู้ดีว่ามันควรทำ สมควรทำ เพราะมันดี มันแก้ปัญหาตรงจุด มันจะช่วยให้สังคมโดยรวมได้รับประโยชน์ เรากลับไปทำอีกอย่างนึงซึ่งมันไม่เกี่ยว และไม่แก้ไขอะไร ผมรู้ว่าท่านเหล่านั้นจะไม่ตอบคำถาม แต่ท่านจะถามคำถามกลับมาให้เราตอบเองอีกต่างหาก สุดท้ายเมื่อผมตอบคำถามท่านไม่ได้ ปัญหาที่ผมถามไปก็จะถูกทำเป็นลืมๆไป กลับสู่วังวนเดิมๆ ทำให้ผมรู้ซึ้งว่า ไม่น่าไปถามตั้งแต่แรก
โฮะๆๆๆไอ้เฮิร์บ มึงมันช่างโฉดเขลาเบาปัญญานัก มึงคิดว่าตัวมึงคือตัวมึงหรืออย่างไร จงอย่าได้สำคัญตนนักเลยไอ้เฮิร์บเอ้ย




ผมไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรอกนะครับคุณผู้อ่าน ผมคิดว่ารัฐบาลหรือนักการเมืองก็ไม่ได้โง่เง่า เขารู้เหมือนอย่างที่เรารู้นั่นแหละ ว่าอะไร

ควรไม่ควร อะไรดีมีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเขา ไม่งั้นเขาจะมาปกครองเราได้ยังไง จริงไหมครับ เอิ้กๆๆๆ(คุณผู้อ่านบางท่านอาจบอกว่า มึงสรุปง่ายไปไอ้เฮิร์บ กูไม่ฮากับมึงหรอก กูไม่ได้ขอให้เขามาปกครองกูซักหน่อย) ครับเพียงแต่ผมเชื่อว่าคนเรามีทางเลือกเสมอ ซึ่งความเชื่อบางความเชื่อมันไม่จริงครับ(ไม่น่าเชื่อเลยกู เอิ้กๆๆๆ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขาอย่างพวกเราไงครับ เรามีทางเลือกซะที่ไหน อย่าว่าแต่ทางเลือกเลย สิทธิ์ที่จะเลือกยังไม่มีเล้ย เอิ้กๆๆๆ
เฮิร์บๆ พอๆมึงอย่าไปแซวเค้ามาก ไอ้ที่ดีๆก็ชมเค้ามั่ง ให้กำลังใจเค้าหน่อย อย่าทำตัวเป็นนักเลงคีย์บอร์ดพวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ อย่าเอาแต่เห่าหอน จะทำอะไรดีก็ทำๆไป


ตามนั้นเลยครับ แจ๋วครับพี่ ดีครับท่าน ทันครับผม เหมาะสมครับเจ้านาย เออ คือ ผมเล่นคีย์บอร์ดไม่เป็นหรอกครับ ผมเล่นเป็นแต่กีต้าร์ครับผม เอิ้กๆๆๆ








สวัสดีวันสงกรานต์อีกครั้งครับ ในวันครอบครัวและวันผู้สูงอายุแห่งชาตินี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านทุกท่านคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว ญาติ พี่น้องผองเพื่อนของท่านกันถ้วนหน้านะครับ เดินทางกลับบ้าน และเดินทางกลับมาทำงานโดยสวัสดิรูป เอ้ย สวัสดิภาพทุกๆคนเลยนะครับผม สงกรานต์ปีนี้อาจจะไม่สนุกสุดเหวี่ยงเหมือนปีที่แล้วๆมา ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกครับ แม้ไม่ได้สนุกมากแต่ขอให้มีสติแทน มันก็น่าจะหยวนๆกันได้นะครับผมว่า




อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินรึจะสิ้นคนนินทา
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ



ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...