วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

ดนตรีจะทำให้เอ็งเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในที่ๆไม่เคยไป และได้รู้สึกในสิ่งที่เป็นทิพย์







รับปากกับข้า ว่าเอ็งจะยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม อย่าได้ใช้ดนตรีไปในทางที่เสื่อม คิดเอาดีเอาเด่น หักหาญผู้อื่นเป็นขาด และต่อแต่นี้ เมื่อเอ็งเข้าใจในดนตรี เอ็งจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป และได้รู้สึก ในสิ่งที่เป็นทิพย์


ไม่แน่ใจว่าโหมโรงตั้งใจทำเหมือนหรือบังเอิญเหมือน ที่เปิดตัวหนังด้วยการใช้ผีเสื้อ ที่โบยบินมาเกาะเจ้าหนูน้อยแสนซน เจ้าศรน้อยวิ่งไล่จับผีเสื้อซึ่งบินไกลออก ดูราวกับฉากเปิดตัวของหนังออสก้าอย่างฟอร์เรสกั้ม ยังไงอย่างงั้น อย่ากระนั้นเลย ผมไม่ได้มาดิสเครดิตอะไรหรอก เล่าให้ฟังเฉยๆ เพราะตัวหนังหลังจากนั้น ไม่ได้อาศัยอะไรอย่างที่หนังอย่างฟอร์เรสกั้มใช้เลย มันก็มีทิศทางของมันเองอย่างน่าสนใจ น่าสนใจอย่างไร บอกเองไม่ได้ครับ ต้องไปดูเองสำหรับใครที่ยังไม่ดู สำหรับใครที่ดูแล้ว ก็คงเข้าใจว่าผมไม่ได้มีอคติใดๆกับหนังเรื่องนี้ และกำลังจะบอกว่าทำไม หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง


ศร ศิลป์บรรเลง เด็กหนุ่มจากอัมพวา เติบโตมากับแวดวงดนตรีไทย ที่มีทั้งพ่อและครูเป็นคนๆเดียวกัน เคี่ยวกรำเจ้าเด็กน้อยไรเดียงสาให้เติบโตเป็นดั่งหนึ่งผู้เยี่ยมยุทธทางดนตรี(ระนาด) เด็กหนุ่มหยิ่งผยองพองขน หยิ่งทะนงในฝีมือของตนนัก เมื่อได้เจอบทเรียนแสนแพงจากการประชันระนาดกับขุนอินที่บางกอก หนุ่มอัมพะวาสูญสิ้นความมั่นใจ หลีกเร้นซ่อนกายจากผู้คน เมามายไร้สติ จนถึงกลับถอดใจ ว่าจะไม่กลับไปเล่นดนตรีอีกเลย
ฉากที่เพื่อนรักของศร เดินมาเจอเขานั่งทอดถอนใจอยู่ริมน้ำ ฉากเป็นสวนมะพร้าวมีหญ้าเขียวขึ้นรกครึ้ม(ผมว่าเป็นซีจีแหงเลย แต่สวยดีนะ) เพื่อนของศรบอกศรว่ามีการซ้อมดนตรีอยู่ที่วัด ทำไมไม่ไปร่วมซ้อมกันเขาละ ศรบอกว่าเลิกเล่นดนตรีแล้ว เพื่อนศรบอกว่าศรใจเสาะโลเล
ทันทีที่ศรเอนกายหลังจากหยามหยันเพื่อน ว่ามันหาได้มีความรู้เรื่องดนตรีเหมือนอย่างตนไม่ ขณะที่มองขึ้นไปบนฟ้า ศรมองเห็นทิวมะพร้าวพริ้วไหวเอนลู่ไปตามลม จังหวะนั้นเองที่ศรบรรลุถึงความจริงบางอย่าง และตื่นรู้อย่างฉับพลันทันที


ส่วนตัวผม คิดว่าหนังทำออกมาได้ดีมากๆเลย ผมสามารถเข้าใจได้อย่างที่หนังหรือผู้กำกับต้องการ ว่าจะสื่อสารอะไรกับคนดู ไม่น่าแปลกใจ ที่หนังได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านบวก การตลาดแบบปากต่อปาก จนเกิดปรากฏการณ์โหมโรงฟีเวอร์อยู่พักนึงทีเดียว


ความลงตัวของบทภาพยนต์ ภาพสวยๆนักแสดงมากฝีมือ ผู้กำกับที่พิถีพิถันกับงานจนออกมาเป็นอย่างที่เราได้เห็นนั้น น่าชมเชยและสมควรได้รับเสียงปรบมือดังๆเป็นที่สุด ถ้าหนังไทยทำได้แบบนี้บ่อยๆก็จะดีมากๆครับ ขอชื่นชมและขอบคุณทีมงานทุกท่านที่สร้างสรรค์งานดีๆแบบนี้ออกมาให้พวกเราคนดูได้ดูกัน ผมคงไม่ได้เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนใช่ไหมเนี่ย เอิ้กๆๆหนังก็ตั้งหลายปีแล้วเนาะ แต่ของดีๆกี่ปีๆมันก็ยังเจ๋งอยู่ดีนะ ผมว่า


สำหรับภาพผีเสื้อสองภาพแรก ถ่ายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก สุราษฎร์ธานีครับ เหลือบไปเห็นบินมาเกาะดูดน้ำหวานพอดิบพอดี ส่วนอีกภาพเป็นผีเสื้อหลงมาจากไหนไม่รู้ บินมาเกาะที่คาร์ทขนกระเป๋าเดินทางในสนามบินภูเก็ตครับ เจ้าตัวนี้เอานิ้วไปเขี่ยปีกยังไม่ยอมบินหนีเลย แจ๋วจริงนะเธอ
พอเห็นผีเสื้อบิน ผมก็นึกถึงฉากเปิดเรื่องในหนังโหมโรง เรื่องมันก็มีที่มาเช่นนี้แล จริงๆแล้วผมมีรูปผีเสื้อแบบที่เด็ดๆอีกหลายรูปเลยนะ วันหลังจะเอามาให้ดูอีกครับ ถ้ายังไม่ลืมนะ เอิ้กๆๆ สำหรับวันนี้คงต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีครับทุกท่าน


ปล.ขอเป็นกำลังใจแด่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ทุกท่านครับ สู้ๆนะครับ





วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

มาดูตัวเมืองภูเก็ตตอนกลางคืนกันต่อครับ

เล่าให้คุณผู้อ่านได้ทราบก่อน ว่าไฟล์ภาพถ่ายเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนนึงที่ยังไม่หายไป จากเมมโมรี่การ์ด ส่วนที่หายไปก็เกือบพันภาพเลยครับ ตอนแรกมือถือโดนไวรัสเพราะเข้าเวบโป๊ ส่งเครื่องซ่อม ข้อมูลหายหมดไม่ใช่แค่ภาพถ่าย ครั้งที่สองมือถือตกน้ำไฟล์ภาพบางส่วนเสียหาย ส่วนไฟล์วิดีโอเจ๊งทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้จักการฝากภาพไว้กับคลาวด์หรือวันไดร์ฟเลย ก็ซวยไปตามระเบียบ เสียใจเสียหลักครับ เพราะบางช่วงเวลานั้น มันหาไม่ได้อีกแล้ว แม้จะกลับไปบันทึกใหม่ มันก็ไม่ได้ฟีลลิ่งอย่างครั้งแรก ความสดใหม่ไงคุณผู้อ่าน ความรู้สึกตื่นเต้นของเราเมื่อไปเจอสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่น่าทึ่งครั้งแรกน่ะ เราจะไม่รู้สึกอีกเมื่อมาเจอครั้งต่อๆไป กว่าจะมีตังค์ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ก็เกือบปีให้หลังจากที่เครื่องเก่าตกน้ำ ต้องเจอเองครับ แล้วจะซึ้ง ว่ามันทรมานขนาดไหน(กระซิกๆ) แต่การไม่ได้เล่นเน็ตเป็นปี ผมก็ปรับตัวเข้าสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี แบบว่า ไม่รู้จะทำยังไง ก็ตังค์มันไม่มีจะซื้อนี่หว่า เอิ้กๆๆๆ จะขายกีต้าร์ ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนคนเดียวของผม เพื่อมาซื้อโทรศัพท์นั้น ไม่เคยมีอยู่ในสารระบบเลย
มีแต่เรื่องเครียดๆโอ้ว เอางี้ครับมาชมรูปสวยสวยๆที่ผมนำมาฝากกันดีกว่า ยังอยู่ในตีม ภูเก็ตไนท์ไลฟ์นะครับผม

ภาพแรกที่เห็นคือทางเข้าถนนถลางครับผม ภาพที่สองคือถนนถลางอีกนั่นแหละ ถนนถลาง ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เป็นแหล่งรวมของร้านค้าของที่ระรึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟเบเกอรี่ที่ดูเป็นพื้นถิ่นและอินเตอร์ในขณะเดียวกัน ภาพข้างบนคือบรรยากาศของวันที่ไม่มีงานถนนคนเดิน ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ ส่วนภาพในวันงานถนนคนเดินเดี๋ยวจัดให้ชมกันครับ กล้องมือถือยี่ห้อลาวาของเอไอเอส รุ่นที่ผมใช้ถ่ายนี่ ถ้าจำไม่ผิดความละเอียดของกล้องน่าจะอยู่ที่ห้าล้านพิกเซลครับ คุณภาพก็ตามราคาครับ ตอนนี้ก็ไปสู่สุคติแล้วครับสำหรับเจ้าลาวาเครื่องนี้ เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้กลับมาเป็นมือถือคู่ทุกข์คู่ยากกันอีกเด้อ


สองภาพข้างบนนี้คือที่ทำการของธนาคารสีเขียว ที่ผมบอกในบทความก่อนหน้า ว่าชนะเลิศนั่นแล คือมันเป็นทัศนคติครับ ไม่ใช่ปรัชญา ชอบก็ใช่ ไม่ชอบก็ไม่ใช่เท่านั้นเอง อ้อ กลางวันก็สวยเหมือนกันนะครับ ลองมาเดินดูกันได้ สังเกตุลายปูนปั้นที่ภาพบนนั้นสิครับ แหม ของเค้าเนี๊ยบจริงๆ ใกล้กันนี้มีโรงแรมสุดชิคแห่งนึง ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน อยู่ตรงข้ามเยื้องเจ้าตึกขาวสวยหมวยเอ็กซ์ตึกนี้ละครับ โรงแรมนี้มักจะได้รับการรีวิวจากนักท่องเที่ยวหรือนิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่เสมอ เป็นเพราะอะไร ผมไม่ทราบได้ ใครทราบ มาเล่าให้ฟังด้วยครับ ได้โปรด


เวลาที่ไม่มีรถวิ่งให้วุ่นวายสายตา มันก็น่าถ่ายออกมาได้ตรงใจ อย่างสามภาพบนนี้ ผมอิ่มท้อง และอิ่มใจกับทริปเล็กๆนี้มาก (พูดเหมือนมาเที่ยว) มีอีกหลายจุดที่เป็นไฮไลท์แต่ผมไม่ได้ถ่ายมา ซึ่งก็คงไม่เป็นไรหรอกคุณผู้อ่าน ถึงผมจะไม่ได้เป็นเล่า ก็จะยังมีคนเล่าแทนผมอยู่ดี ด้วยมุมมองที่เจ๋งกว่านี้ด้วยซ้ำไป นี่เป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธ อะไรที่ดีกว่า มักจะมาตามหลังสิ่งที่ดี เสมอ จริงจริ๊งเชื่อผมสิ(ผมมั่ว อย่าเชื่อผมนะ)
วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ ขอบพระคุณที่ติดตามผลงาน ผมจะพยายามสร้างงานแหล่มๆออกมาสนองนีดตัวผมเองเรื่อยๆนะครับ แหะๆอย่าถือสาผมเลย แล้วเจอกันใหม่ครับผม







วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ภูเก็ตไนท์ไลฟ์ ในมุมของผมคนชายขอบ




สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ไม่รู้ว่าจะช้าไปรึเปล่าที่จะเอ่ยถึงครู เนื่องในวันครูที่ 16 มกราคม ผมขอประนดน้อมสักรา บูรพาคณาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ทั้งในและนอกสถานศึกษารวมไปถึงทุกท่านที่เคยเมตตาถ่ายทอดความรู้ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านครับ
สามรูปบนที่ผู้อ่านได้เห็นนั้น เป็นบรรยากาศในยามค่ำคืนบางส่วนของตัวเมืองภูเก็ต จำได้ว่าทั้งสามภาพ ถ่ายหลังจากกินสุกี้ที่ตลาดเกษตร แล้วอยากเดินย่อยอาหารก่อนกลับไปนอน ว่าแล้วก็คว้ามือถือเดินทอดน่องไปตามถนน แล้วมองหามุมมองสวยๆ แล้วก็ถ่ายๆๆ ตึกรามบ้านช่องที่เขาเรียกว่า ชิโน-โปรตุกีส นั้น มีอาณาบริเวณไม่มากครับ แบบว่าเดินดูเพลิน ๆไม่น่าจะถึงชั่วโมงก็ทั่วแล้ว ไม่นับอาคารเก่าของศูนย์ราชการที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่อยู่อีกโซน แต่ก็ไม่ได้ไกลกันมาก สำหรับใครที่ยังไม่รู้ ก็ขอแนะนำตึกสวยๆที่ดีต่อคนชอบถ่ายรูป ก็ต้องตึกของธนาคารละครับคุณผู้อ่าน ของเค้าดีจริง มีเกือบทุกเจ้า ครับในตัวเมืองมีความโดดเด่นด้านดีไซน์จริงๆ ทั้งสีม่วง สีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีน้ำเงิน แต่ถ้าถามผม ผมให้สีเขียวชนะเลิศครับ
ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทางการภูเก็ต ได้ดำเนินการ นำสายไฟฟ้า สายเคเบิ้ลต่างๆลงใต้ดินเพื่อทัศนียภาพที่สวยงาม เมื่อปราศจากสายระโยงระยาง น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถทำได้ทั่วทั้วเมือง เพราะต้องใช้งบประมาณสูงมาก และมีขั้นตอน ข้อจำกัดยุ่งยากมากมาย แต่ พอเอาสายพวกนี้ ลงดินแล้ว เมืองก็สวยสมใจครับ



ภาพที่เห็นเป็นเหมือนร้านเหล้านั่น อยู่เลยวงเวียนสุรินทร์ไปทางสะพานหินไปเล็กน้อย อยู่ในซอยเล็กๆสั้นๆ ถ้าไปก็หาไม่ยากครับ ร้านนี้ดนตรีจะเป็นแนวแจ๊ส ใครชอบแจ๊สผมแนะนำครับ เจ้าของร้านเป็นนักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ดึกๆจะมีนักดนตรีเค้ามาแจมกัน ร้านเล็กๆบรรกาศกันเอง เสียอยู่อย่าง เปิดเฉพาะคืนวันพุธวันเดียว ทำไมไม่รู้ ไม่เคยถาม อินดี้สุดๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงนะครับ เพราะไม่ได้ไปเป็นปีแล้ว
สำหรับคอเพลงบูลส์ก็มีอีกร้านครับ ไม่ไกลจากร้านนี้เท่าไหร่ เดินก็ไม่ถึงห้านาทีครับ ผมไปเจอตอนเอาผ้าไปซักร้านหยอดเหรียญ อยู่ติดกันครับ เลยลองเข้านั่งฟังเพลงรอผ้า ปราดุกว่า เอ้ยปรากฏว่า แหล่มครับ ไม่แพ้ผับดีๆผับนึงเลย เจ้าของร้านเป็นคนภูเก็ตครับ ถ้าคุณชอบบลูส์ ไม่ควรพลาดร้านนี้ครับ ร้านนี้ก็ไม่ได้เปิดทุกวันนะ ถ้าจะไปก็เสี่ยงดวงดูครับ ที่ผมไปวันนั้นเป็นคืนวันเสาร์ บรรยากาศก็ประมาณนี้ครับ




 




สำหรับตอนนี้ผมขอพักไว้เพียงเท่านี้ก่อน ตอนหน้าค่อยว่ากันใหม่ครับ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

ขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้













ในระเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์บ้านเมืองหลายๆอย่าง อย่างที่สะเทือนใจพี่น้องชาวไทยที่สุด คงจะเป็นเหตุการณ์สวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมคงจะไม่บรรยายความรู้สึกนั้น เพราะคิดว่าผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องชาวไทยทุกคนหรอกครับ
ผมเดินทางมาถึงภูเก็ต เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ก่อนหน้านั้นหลายเดือน ผมได้มีโอกาสติดต่อเพื่อนเก่าสมัยเรียน ไม่เจอกันตั้งแต่โดนเชิญออกจากวิทยาลัย เพิ่งมาได้ข่าวคราวกันในเฟสบุ๊คเมื่อตอนต้นปี57 แต่มันดันไปโผล่ที่เกาหลี ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกันเสร็จ ก็วกเข้าเรื่องเพื่อนๆในรุ่น รุ่นพี่ที่ชอบพอกัน เรื่องการเรื่องานก็ว่ากันไป เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมเขียนบทความเรื่องเกี่ยวกับหนังนั่นละครับ ช่วงนั้นเพื่อนมันก็เกริ่นเรื่องพี่เขยของมันกำลังหาคนไปช่วยงานที่ภูเก็ต ว่าถ้าสนใจก็บอกมัน มันจะช่วยพูดให้ ผมก็เออๆไปตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แล้วก็ลืมๆไป อีกสองสามเดือนหลังจากนั้น ผมโดนจี้ชิงทรัพย์บริเวณที่พักแถวลำลูกกา เสียเงินไปสี่สิบบาท และเอกสารบัตรสำคัญแทบทุกอย่างที่ใส่ไว้ในกระเป๋า ไม่ขอขยายความในที่นี่นะครับ อยากลืมๆมันไป เหตุกาณ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่จะไปที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ๆมันดีกว่านี้ ที่ชอบๆ อ้า ใช่เลย ผมคิดถึงข้อเสนอของเพื่อนเก่า ภูเก็ต ที่ที่นักเขียนชั้นครูอย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ มาใช้ชีวิตที่นี่แล้วรังสรรค์งานเขียนอย่างมหาลัยเหมืองแร่ให้กำเนิดขึ้นมาในบรรณพิภพ สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส เมืองท่องเที่ยวนามกระฉ่อน หาดทรายขาว สาวๆและบิกินี่ โฮะๆๆๆ แค่คิดก็มันแล้ว เอิ้กๆๆๆ
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่บนรถทัวร์กรุงเทพฯภูเก็ต ซึ่งตอนนั้น รถทัวร์ก็เคลื่อนตัวผ่านสะพานสารสินมาได้สักห้าหกกิโลแล้ว แม้นอนไม่เต็มอิ่มแต่ก็รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด อาจจะด้วยทัศนียภาพที่แปลกตา วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ประกอบกับบรรยากาศภายนอกรถที่ดูเหมือนจะเพิ่งซาจากฝน แมกไม้ใบหญ้าเขียวสด ละอองฝนที่ยังเกาะอยู่ที่ปลายหญ้า กระทบกับแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า เป็นประกายระยิบระยับ ฟรุ้งฟริ้งดีแท้ ที่นี่สินะที่เค้าเรียกว่า ภูเก็ต
สามภาพแรกในหัวข้อ system test เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อประมาณปลายๆปี57 ที่จุดชมวิวเขาโต๊ะแซะ เขาโต๊ะแซะ อยู่ใกล้บริเวณศูนย์ราชการต่างๆในตัวเมืองภูเก็ต บนยอดเขามีสถานีทวนสัญญาณโทรทัศน์อยู่ ถ้าจำไม่ผิดจะมีช่อง 9 5 11 และอีกช่องจำไม่ได้ครับ แหะๆ คนภูเก็ตส่วนมากสุขภาพดีครับ ผมมาอยู่ที่นี่เห็นคนภูเก็ตออกกำลังกายกันเป็นล่ำเป็นสัน และสถานที่สำหรับสนับสนุนกิจกรรมนี้ก็มีมากมายหลายที่เหลือเกิน วันหลังจะมาไล่เรียงให้ฟังกันครับและหนึ่งในนั้นก็คือเขาโต๊ะแซะนี่ละครับ ใครใคร่วิ่งก็วิ่ง ใคร่ปั่นก็ปั่น ไม่ก็เดินชมนกชมไม้ไป ความสูงของภูเขาก็กำลังดีครับ เดินตัวเปล่าขึ้นลงก็น่าจะมีสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ผู้สูงอายุที่นี่เค้าเดินขึ้นลงกันเป็นกิจวัตรครับถ้าไม่ติดเรื่องฟ้าฝนนะ แข็งแรงกันมาก คนหนุ่มอย่างผมต้องอายม้วนเลยทีเดียว ตรงจุดชมวิว คุณผู้อ่านจะมองเห็นตัวอำเภอมืองภูเก็ตเกือบจะทั้งหมดเลยครับ เพราะอยู่ใกล้ตัวเมืองมากๆ ระหว่างทางขึ้นลงก็จะมีเจ้าถิ่นออกมาลาดตระเวนขอค่าผ่านทางจากผู้มาเยือนทั้งหลาย นั้นคือเจ้าจ๋อองครักษ์ผู้ห้าวหาญของพระรามนั่นเองละเด้อ มีออกมาโชว์ตัวกันเรื่อยๆระหว่างทางครับ อย่าไปเผลอเอาของมีค่าออกมาถือเล่นนะครับ เดี๋ยวจะโดนเจ้าจ๋อฉกไปไม่รู้ด้วยนะเอ้า
และนี่ก็คือภาพอีกชุดที่ถ่ายในวันเดียวกัน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับผม



วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ต้องเรียนตามตรงว่าคิดถึงเหลือเกินสำหรับพื้นที่น้อยๆของผมนี้ ระยะเวลากว่าสามปีที่ห่างหายไป หายไปไหน ไปทำอะไรมา ผมจะขอเล่าให้ฟังด้วยภาพสวยๆ(คิดเอาเองว่าสวย)อย่างที่ผมได้ลองลงภาพถ่ายมุมสูงของตัวเมืองภูเก็ต แซมเปิ้ลไปสามภาพนั่นแหละครับผม และบทความเรื่องเล่าของผมหลังจากนี้ไป ก็จะมีภาพประกอบจากประสบการณ์การถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือในช่วงเวลาปริ่มๆจะสามปีมานี้ มาให้ผู้อ่านได้รับชมกันครับ ได้แต่หวังว่าจะยังคงมีคนเข้ามาอ่านนะ เอาเท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวมาว่ากันต่อ อดใจรอกันอีกซักนิด

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...