วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

สงกรานต์ที่ผ่านมา

สวัสดีครับผู้อ่านที่รักทุกท่าน
ผมมีความยินดีเหลือเกินที่ได้กลับมาร้อยเรียงเรื่องราวมาให้ทุกท่านได้อ่านอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน ทุกครั้งที่หายไปก็อยากจะกลับมาเขียนแต่ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร (เข้าอีหรอบเดิมๆ) สำหรับเรื่องที่จะเขียนวันนี้ก็คิดว่าจะเขียนตั้งแต่จบสงกรานต์ใหม่ๆ เพื่อจะได้ทันควันหลงบ้าง เผื่อท่านผู้อ่านจะได้อินไปกับเนื้อหา จนแล้วจนรอดก็ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้
นานมากๆหลายปีดีดักที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะเล่นน้ำสงกรานต์สาเหตุง่ายๆเพราะไม่มีเพื่อนเล่นนั้นเอง ผู้อ่านน่าจะพอเข้าใจได้ว่าเล่นคนเดียวมันไม่สนุกแน่ๆ สำหรับปีนี้ก็ไม่ได้เล่นเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นในสงกรานต์ปีนี้ที่ผมอยากจะถ่ายทอดออกมาให้อ่านกัน ไม่เลวร้ายระทึกขวัญหรอกครับ มันเรียบง่าย สบายๆไม่ซีเรียส เรื่องเป็นอย่างงี้ครับ
วันที่สิบสี่เมษาฯลูกพี่ลูกน้อง(ลูกชายน้าสาว)ของผมเกิดปีเดียวกัน  แต่มันเรียกผมพี่ มันบวชครับแล้วผมก็มีโอกาสไปแสดงความยินดีด้วย ในงานบวชไม่ได้มีไรพิเศษแตกต่างจากงานบวชทั่วๆไป แต่สิ่งที่แปลกออกไปคือความรู้สึกและความทรงจำบางอย่างของผมกับที่นี่(อำเภอๆนึง)มันกลับมา ทำให้ผมหวนรำรึก ถึงตอนที่ยังเป็นเด็กและก้าวสู่วัยรุ่น ตอนที่โลกยังสวยงามและน่าอยู่มากกว่านี้ในสายตาเด็กบ้านนอกอย่างผม
อำเภอนี้เป็นเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมเมืองแรกๆของจังหวัดอุบลฯติดชายแดนไทยลาว เป็นบ้านเกิดของแม่ผม และน้าๆอีกหลายคน แม้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่อำเภอนี้แต่ผมก็ชอบที่นี้ และรู้สึกผูกพันกับที่นี้อย่างลึกซึ้ง  ทุกปิดเทอมหรือเสาร์อาทิตย์ พ่อกับแม่จะขับรถพาพวกเรามาเยี่ยมยายและน้าๆเสมอ ยิ่งถ้าเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนละก็ ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนวิเศษที่ผมรอคอย เพราะนอกจากผมจะได้มาอยู่บ้านยาย แล้วยังจะได้มาเล่นน้ำในแม่น้ำโขงแถมได้เล่นน้ำสงกรานต์อีกด้วย เพราะที่นี่มีญาติพี่น้องเต็มไปหมด ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยี่ยนกันก็จะรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมใจกลับมาทุกครั้ง แถวบ้านยายจะมีเด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมเยอะมาก และเราก็รู้จักสนิทสนมดี และมีอะไรให้เล่นกันตลอดโดยไม่ต้องกลัวเบื่อ
ที่แม่น้ำโขงหน้าร้อน น้ำโขงจะลดจนเนินทรายกลางน้ำจะโผล่ขึ้นมาและเด็กอย่างก็ชอบเล่นน้ำกันตรงนั้นมาก เพราะน้ำตรงนั้นสะอาดกว่าริมตลิ่งมาก(มีโรงโม่หินล้างหินจนน้ำที่ไหลลงมาเป็นตะกอนดินสีแดงตามริมตลิ่งความกว้างจากตลิ่งเข้าไปลำน้ำประมาณยี่สิบเมตรเห็นจะได้)เด็กผู้ชายจะชอบเล่นต่อสู้กันเหมือนในหนังฮ่องกง น้ำตื้นแค่ข้อเท้า ทำให้กระกระเด้งกระดอนเมื่อต่อสู้กันอย่างในหนัง ไม่ทำให้เราเจ็บตัวเท่าไหร่  เมื่อผมยังเด็กมันเป็นยุคทองของหนังฮ่องกงในเมืองไทยนะ หนังมีอิทธิพลกับเด็กอย่างเรามาก และพวกเราก็ชอบเลียนแบบพฤติกรรมในหนัง สมัยนั้นหนังมาเฟียใส่สูทยิงกันต่อยกัน คิวบู๊เค้ามันมากๆ และได้รับความนิยมมากๆ แหมนอกเรื่องไปเยอะเชียว การที่จะไปตรงหาดกลางน้ำนั่นได้ต้องมีผู้ใหญ่พาเราไป และผู้ใหญ่ก็มักไม่ค่อยว่างหรอก แต่ปิดเทอมครั้งนึงได้ไปกลางน้ำซักสี่ห้าครั้งผมว่ามันก็คุ้มแล้ว เรียกว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ผมตั้งตารอทุกๆปิดเทอมเลยก็ว่าได้ เมื่อโตมาจึงรู้ว่า ตลอดลำน้ำโขง มีหาดทรายกลางน้ำแบบนี้อยู่แทบจะทั้งสายน้ำโขงที่เดียว เอิ๊กๆๆเด็กๆผมคิดว่ามีที่นั่นที่เดียวจริงๆนะ มันจึงมีความหมายกับผมมากไงครับ พูดแล้วก็ขำ
วันนั้นที่งานบวช ผมไปถึงประมาณทุ่มเกือบสองทุ่ม ก่อนหน้าที่จะนั่งรถมาที่นี่ ผมเอาเบียร์เหลือติดตู้เย็นออกมาดื่มหลังกินข้าวเที่ยงอิ่มใหม่ๆ(บ้านฝั่งตรงข้ามถนนเอาเครื่องเสียงชุดใหญ่ ขอย้ำว่าชุดใหญ่จริง แล้วมันก็เปิดเพลงเล่นน้ำเสียงดังมากๆทำไรไม่ได้ เพราะเป็นเทศกาลที่ใครเค้าก็สนุกกัน เลยเอาเบียร์ออกมาดื่ม คืออยากหนุกบ้าง) ได้เรื่องเลย ผมอ้วกแตกหมดไส้หมดพุง แล้วกินไรไม่ได้อีก กินแล้วจะอ้วกออกหมด แล้วพอถึงงานผมก็เพลียมาก นั่งในงานได้ซักพักผมต้องขอตัวกับเจ้าภาพไปนอนพักผ่อน ที่บ้านอีกหลังนึง ห่างจากบ้านงานซักสองร้อยเมตร ห่างพอที่จะยินเสียงเครื่องเสียงจากในงานแค่แผ่วๆ คืนนั้นผมหลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มอิ่มนัก เนื่องจากสภาพร่างกายและสถานที่ๆไม่คุ้นเคย (ไม่ค่อยได้มาค้างอ้างแรมที่นี่หลายปีแล้ว)ตีห้า ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดท้องหนักอย่างรุนแรง หลังจากเสร็จกิจ ผมออกเดินไปตามถนนเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆเนื่องจากเช้ามากจึงยังมืดและยังไม่ค่อยมีคนตื่นออกมาให้เห็นมากนัก คิดว่าคงหนักจากการฉลองสงกรานต์เมื่อคืนวานนี้ ความเงียบและบรรยากาศสบายๆในตอนเช้าทำเอาความทรงจำต่างๆครั้งที่เคยมาสนุกสนานอยู่ที่นี่ มันลอยมาเป็นฉากๆ ยิ่งเดินไปตามทางที่เคยเดิน เรื่องราวเหล่านั้นก็ยิ่งถาโถมเข้ามา แม้บ้านเรือนสถานที่หลายๆแห่ง ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความทรงจำและความสุขก็ยังคงตรึงอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงคำนึงได้
ผมกลับมาถามตัวเอง ความสนุกสนานในชีวิตผมมันหายไป เลือนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อะไรทำให้ผมไม่อยากเล่นสนุกอีกแล้ว ผมมีเรื่องอะไรที่ต้องคิดกังวลหนักหนา ทุกวันนี้จึงขาดแคลนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนัก
ทุกๆครั้งที่ผมเดินออกไปนั่งดูสายน้ำไหล ความกังวล ความเครียด เรื่องราวมากมายในหัว มันถูกสะกดให้แน่นิ่ง จิตใจที่ว้าวุ่นมันล่องลอยไปกับสายน้ำ เมื่อไปบ้านยาย แม้มีเวลาเพียงเล็กน้อย ผมมักจะปลีกตัวไปนั่งดูสายน้ำนั่น แม้เพียงสักครู่ มันก็รู้สึกดีเสมอ
 เมื่อส่งนาคเข้าโบถ์เป็นที่เรียบร้อย ผมลาคุณน้าเจ้าภาพกลับบ้านคนเดียว(ห่วงเป็ดกับหมาที่ยังไม่ได้กินไรตั้งแต่เย็นวาน)โดยมอเตอร์ไซต์ ระยะทางจากบ้านงานถึงบ้านผม ประมาณแปดสิบกิโลฯเห็นจะได้ ผ่านสองอำเภอ และผมก็เปียกตามระเบียบ เด็กๆเล่นสาดน้ำ วัยรุ่นเล่นสาดน้ำ ผู้ใหญ่ก็เล่นสาดน้ำ  ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหนผมก็เห็นแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทุกๆคนดูมีความสุขกับเทศกาลนี้ บ้านกลางทุ่งนาหลายแห่ง เต็มไปรถเก่ง ปิ๊กอัพ จอดเรียงราย ลูกหลานไปทำงานต่างถิ่นกลับมาเยี่ยมบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ปลาบปลื้มยินดี เส้นทางที่ผมผ่าน ทุกคนมีความสุข มันวิเศษจริงๆ ผมรับรู้ได้ ผมเองก็รู้สึกเป็นสุขด้วยเช่นกัน
นั่นคือส่วนนึงของสงกรานต์ เล็กน้อยๆที่ผมผ่านไปเจอแล้วเก็บมาเล่าสู่คุณผู้อ่านฟัง ผมอิ่มเอมนะ คุณผู้อ่านละ สงกรานต์ของคุณเป็นยังบ้าง พบกันใหม่ในตอนหน้า
สวัสดีปีใหม่ไทยครับ

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...