วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความหลังเมื่อครั้งเก่า


บางเรื่องราวก็น่าประทับใจเกินกว่าจะเก็บไว้ชื่นชมเพียงลำพัง

สำหรับบางคน เรื่องราวต่อไปนี้ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมาในชีวิตแล้วผ่านไป ขอให้ผู้อ่านลองมองดูเหตุการณ์ผ่านตัวอักษรที่ผมพยายามอย่างยิ่ง ที่จะร้อยเรียงขึ้นจากความทรงจำในวันนั้น ให้จบก่อน แล้วไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของผู้อ่านเอง ว่าเรื่องราวต่อจากนี้ สมควรได้รับการเผยแพร่ออกไปให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้หรือเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล มีไว้อ่านเพื่อความบันเทิงก็พอ อย่างไรก็ตาม ผมต้องการบอกกับผู้อ่านทุกท่านว่า สิ่งดีๆเรื่องราวดีๆนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ ตราบเท่าที่มนุษย์รู้จักให้คุณค่าความสำคัญกับอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ตัวเราเอง และทุกครั้งที่นึกถึง มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีๆเสมอ
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงมีโอกาสได้ชมภาพประทับใจภาพหนึ่ง  ที่เคยเป็นประเด็น ที่ผู้คนมากมายกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางในโลกอินเตอร์เน็ต  ลุกลามมาถึงสื่อกระแสหลักอย่างสื่อโทรทัศน์ เป็นภาพของนักเรียนช่างกล(ในสื่อระบุอย่างนั้น)ช่วยกันเข็นรถโดยสารประจำทางสายหนึ่ง ที่จอดเสียอยู่กลางถนน ท่ามกลางแดดจ้าและการจราจลที่ติดขัดของเมืองกรุง สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ต่อจากนี้ เป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันมากเหลือเกิน เพียงแต่เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อน และมีลายละเอียดต่างออกไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง
บ่ายวันหนึ่งของฤดูร้อนปี2551ผมเดินทางกลับจากทำธุระ โดยรถโดยสารร่วมประจำทางมินิบัสสีเขียวสาย71
ผู้โดยสารบนรถคันนั้นไม่แออัดมากนัก ทุกที่นั่งเต็ม มีผู้โดยสารยืนประมาณสี่ห้าคน ผมได้มีโอกาสนั่งที่เบาะหลังสุดตรงกลางพอดี พัดลมเพดานนั้นได้ไม่เสีย เพียงแต่มันไม่อาจส่ายหน้าไปทางไหนได้อย่างที่ควรจะเป็น ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมรับอานิสงฆ์จากพัดลมพิการนั้นไปเต็มๆ ขณะที่ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อเหนียวเหนอะหนะ  กลิ่นควันจากท่อไอเสียตลบอบอวนทุกครั้งที่รถจอดติดเป็นเวลานาน แม้จะพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมานาน เดินทางด้วยรถเมล์ร้อนแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ทำให้ผมรู้สึกชินชาแต่อย่างใด ยิ่งทำให้ผมเบื่อหน่าย หงุดหงิดรำคาญแบบนี้ทุกครั้งไป ทำไงได้ล่ะ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ความร้อนอบอ้าวทำเอาผมเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ เริ่มรำคาญผู้โดยสารสองคนที่นั่งติดกัน แขนทั้งซ้ายขวาวางแปะไปกับแขนของคนทั้งสอง เหงื่อเหนียวๆทำให้ผมต้องเอาแขนเช็ดกับขากางเกงอยู่บ่อยครั้ง แถมผู้โดยสารด้านขวามือดันหลับสัปหงก เอาหัวมาชนไหล่ผมอยู่เนืองๆ ด้านขวามือผู้โดยชายยืนบังหน้าต่างอยู่  แกคงร้อนและอยากให้ลมข้างนอกพัดผ่านตัวบ้างเมื่อรถเคลื่อนตัว แต่แกคงลืมว่าคนอื่นในรถก็เหมือนแกนั่นแหละ ด้าน ซ้ายมีอีกคนยืนขวางประตูหลังอยู่เช่นกัน ใจนึกอยากจะถีบหมอนี่ออกไปให้พ้นประตูซะ ลมจะได้พัดเข้ามาให้ชื่นใจบ้าง  จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความอัตคัด ขัดใจไปซะหมด ส่วนไอ้หนุ่มวัยรุ่นที่นั่งเบาะหน้าประตูหลัง ก็คุยโทรศัพท์เสียงดังโขมงโฉงเฉงน่ารำคาญนัก  ขณะที่ผมกำลังหงุดหงิดคิดโทษดินโทษฟ้าด่าชาวบ้านในใจนั่นเอง เจ้ามินิบัสก็เคลื่อนตัวผ่านแยกไฟแดงพระรามเก้าเข้าสู่ย่านรามคำแหง ลมเอื่อยๆผสมกลิ่นควันพัดผ่านผิวที่ชื้นด้วยเหงื่อ ความเย็นทำให้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน  ข้ามแยกมาไม่ถึงป้ายแรกด้วยซ้ำ จู่ๆเครื่องยนต์ก็ดับลง พร้อมกับตัวรถที่หยุดการเคลื่อนตัวกระทันหัน  ผู้โดยสารหลายคนหัวคะมำไปข้างหน้า ที่ยืนอยู่ก็เทตัวไปติดเบาะกันหมด รวมทั้งผมด้วย ชายสัปหงกที่นั่งข้างๆตกใจตื่น มองซ้ายมองขวาหน้าตาเลิกลัก ส่งสายตามาที่ผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น มินิบัสจอดสงบนิ่งอยู่บนถนนเลนส์กลาง รามคำแหงขาออก ตรงทางขึ้นทางยกระดับพอดิบพอดี ในขณะที่ไฟเขียวยังปล่อยรถตามมาจากด้านหลังอยู่เรื่อยๆ รถที่อยู่เลนส์ซ้ายและขวาก็พยายามเคลื่อนไป ส่วนเลนส์กลางที่ตามหลังมินบัสมา ก็ติดแหงกอยู่ตรงนั้น จะออกซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ คนขับมินิบัสพยายามสตาร์ทอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะติด จนต้องร้องตะโกนให้ผู้โดยสารลงไปช่วยเข็น ไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง ผู้โดยสารทั้งชายหญิงกรูลงจากรถ ผู้หญิงก็วิ่งเข้าฟุตบาทข้างทางส่วนผู้ชายมารวมกันที่ท้ายรถ ทั้งหมดช่วยกันเข็น ช่วยกันดันให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ รถค่อยๆเคลื่อนตัวเร็วขึ้น คนขับรอจังหวะให้รถเคลื่อนตัวให้ความเร็วได้ระดับ แล้วหักพวงมาลัยพยายามเบียดเข้าเลนส์ซ้ายพร้อมกับเข้าเกียร์แล้วปล่อยคลัช เสียงกระทบเสียดสีกันของเฟื่องเกียร์ดังขึ้นหนึ่งครา มินิบัสกระตุกกึกๆๆๆเสียงเครื่องยนต์ก็คำรามขึ้นอีกครั้ง คนขับเร่งเครื่องยนต์ซ้ำๆเสียงดังสนั่น ควันดำก้อนใหญ่ถูกพ่นออกมาจากท่อไอเสีย บนฟุตบาทผมได้ยินผู้โดยสารหญิงบางคนปรบมือด้วยความปิติยินดี  พวกเราเองบางคนที่ลงไปเข็นรถก็ปรบมือดีใจกะเค้าด้วย ผู้โดยสารทั้งหมดกรูกลับขึ้นไปบนรถอีกครั้ง ทุกคนหอบเหนื่อย แต่ก็มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม อิ่มเอม คนขับเอ่ยขอบคุณผู้โดยสารด้วยน้ำใสใจจริงอย่างไม่ขาดปาก  เหตุการณ์ที่รถดับแล้วกลับมาคืนชีพใหม่อีกครั้งกินเวลาไม่ถึงสองนาที ช่วงเวลาสั้นๆที่เปี่ยมไปด้วยพลังสามัคคี ร่วมมือร่วมใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนตัวผม ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น และดีใจที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นที่อยู่บนท้องถนนเดือดร้อนหนักมากไปกว่ารถติดตามปกติ  บอกตรงๆว่าผมไม่คิดว่ามินิบัสคันนี้มันจะกลับมาวิ่งได้ในเวลาอันสั้นแบบนั้น ฟ้ามืดลงตั้งแต่ก่อนมาถึงแยกนานแล้ว ช่วงเวลาประมาณทุ่มยาวไปจนถึงดึก เป็นที่รู้กันว่าเส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น รถติดมหาโหดขนาดไหน แต่ค่ำวันนั้น หลังจากเรากลับขึ้นรถ ดูเหมือนพระเจ้ามองเห็นว่าพวกเราได้ทำอะไรไป การเคลื่อนตัวจากหน้าเดอะมอลล์รามฯไปจนถึงแยกลำสาลี(ที่ผมต้องลง)นั้นเป็นไปด้วยความลื่นไหลอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน  เหงื่อชุ่มๆเหือดแห้งไปพร้อมกลับลมเอื่อยๆเมื่อมินิบัสเคลื่อนไปข้างหน้า ผู้โดยสารหลายคนทยอยลงตรงเดอะมอลล์บ้าง บิ๊กซีบ้าง เชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ที่นั่นวันนั้น คงลืมเลือนมันไปบ้างตามกาลเวลา แปลกที่ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าผู้โดยสารคนอื่นๆเป็นเพียงคนแปลกหน้าธรรมดาๆที่ผ่านมาขึ้นรถคันเดียวกัน แล้วก็คงจบจากกันไป ไม่มีความหมายใดๆ  ทั้งสิ้น เหมือนทุกๆครั้ง  แต่หลังจากนี้ พวกเขาจะไม่ธรรมดาอีกแล้วสำหรับผม ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอกันหรือจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เลย ผมกลับถึงที่พักด้วยหัวใจที่พองโตอิ่มเอม นานเท่าไหร่ตั้งแต่มาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ที่ไม่ได้รู้สึกดีๆเช่นนี้
ภาพนักเรียนช่างกลช่วยกันเข็นรถโดยสารฯที่ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง จึงไม่เป็นเพียงภาพประทับใจอย่างที่คนทั่วไปรู้สึก สำหรับผม มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก อาจเพราะผมได้เคยประสบเหตุการณ์แบบนั้นมาด้วยตัวเองก็เป็นได้  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...