วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมตัดสินใจจะทำนาด้วยวิธีหยอดเมล็ด

                                             

น่าอายเหลือเกินครับคุณผู้อ่าน แม้ว่าจะอายแค่ไหน จะถูกด่าประนามอย่างไรหลังจากนี้ ผมก็จะเล่าตามความจริง ดีกว่าโกหกกัน ที่ผมเล่าไปในตอนที่แล้ว ว่าทำโน่นทำนี่ด้วยวิธีการที่คิดไว้แล้วว่าเจ๋งและสดใหม่ว่างั้นเถอะ หลังจากที่โพสเรื่องราวตอนที่แล้ว ฟ้าฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมา ผมแหงนมองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้งในหนึ่งวัน เมื่อฟ้าครึ้ม ผมจะเดินออกไปดูนอกชายคา ผมสังเกตุว่ามันเป็นเมฆฝนที่ผ่านการตกมาจะพื้นที่อื่นแล้วพัดผ่านมาเท่านั้นเอง และเป็นเช่นอยู่ติดต่อกันอีกราวหนึ่งสัปดาห์ มันน่าเจ็บใจไหมละครับ ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้น ผมพยายามติดต่อรถไถนาให้มาปั่นพรวนดินที่ไถไปแล้วครั้งแรก เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการขั้นต่อไป ไม่ว่าจะดำกล้า หรือหยอดเมล็ด ใช้เวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีพื้นที่ทั้งหมดก็ถูกเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ผมเตรียมอุปกาณ์บางอย่าง เพื่อรองรับกับแผนการที่วางไว้ ผมเลื่อยไม้กระดาน ที่มาจากฝาบ้านเก่า ความยาวประมาณเมตรยี่สิบ และความกว้างให้เหลือประมาณสามนิ้ว นำไม่ไผ่มาผ่าให้มีขนาดดังนี้ กว้างประมาณสามเซนติเมตร ยาวประมาณสิบนิ้ว เหลาปลายข้างหนึ่งให้เรียวมนเล็กน้อย ผมใช้ไม้ไผ่แบบที่ว่าหกชิ้น ผมนำมาทาบกับไม้กระดานที่เตรียมไว้ ให้ปลายด้านแหลมยาวโผล่พ้นออกมาประมาณหกเจ็ดนิ้ว แล้วตอกตะปูติดไว้เป็นซี่ๆเว้นระยะห่างเท่าๆกัน ผมจะได้ชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนคราด ฟันห่างพอประมาณ (เป็นระยะห่างคร่าวๆของต้นข้าวแต่ละหลุม)ผมหาไม้หน้าสองยาวประมาณเมตร มาตอกเข้าตรงกึ่งกลางของชิ้นงานนั้นเพื่อเป็นด้ามจับ วิธีใช้งานเราจะใช้ฟันคราดไม้ไผ่นี้ ปักลงในผืนดินที่ร่วนซุยเบาๆ หนึ่งทีได้หกรู ยกมันขึ้น แล้วหยอดเมล็ดข้าวลงไป แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จ แจ๋วไปเลยใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน หุๆ รุ่งเช้าผมจะได้ทดลองใช้งานมันเป็นครั้งแรก

ก่อนหน้านี้ประมาณสองวัน ผมออกหาข้าวพันธุ์เพื่อการนี้ มันหายากมาก ชาวนาส่วนมากไม่เหลือข้าวพันธุ์แล้ว แต่ก็ได้มาหนึ่งกระสอบ หากเป็นนาหว่านต้องใช้มากว่านี้สองถึงสามเท่า แต่เนื่องจากผมจะหยอด ข้าวเพียงหนึ่งกระสอบจึงเหลือเฟือเหลือหลาย และในที่สุดผมก็ต้องหามาเพิ่ม แหะๆเดี๋ยวรู้แน่ว่าเพราะอะไร ไม่เกินความคาดหมายของผู้อ่านหรอกครับ

เช้าของอีกวัน ผมตระเตรียมอุปรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดอันประกอบด้วย เสียมขนาดเล็กด้ามนึง อุปกรณ์ลูกครึ่งระหว่างคราดกับเสียมที่ทำขึ้นเมื่อวาน ถังพลาสติกสำหรับใส่พันธุ์ข้าว กระเป๋าสะพายเก่าๆทิ้งแล้ว(จะเอาไปใส่ข้าวพันธุ์ สะดวกกว่าเมื่อจะหยอดข้าว ดีกว่าหิ้วถังข้าวไปทั้งถัง) เสื้อแขนยาว หมวก น้ำหนึ่งขวด ไม่เตรียมมื้อเที่ยง เพราะอยู่ไม่ไกลบ้านนัก แบ่งข้าวจากกระสอบใส่ถังจนเกือบเต็มเผื่อเอาไว้ ทั้งที่คิดว่าหยอดทั้งวันก็คงไม่หมด กินข้าวเช้าอิ่มแล้วก็บึ่งรถมอเตอร์ไซต์ออกไป มุ่งสู่ท้องทุ่งแห่งความหวัง

ไม่ถึงห้านาที ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย ผมไม่รีรอ แบ่งข้าวใส่กระเป๋าสะพาย สวมเครื่องแบบ หยิบอุปกรณ์ แล้วลงมือทันที ผมลองปักเจ้าลูกครึ่งเสียมกับคราดลงครั้งแรก แล้วยกขึ้นดู รู้สึกจะลึกเกินไปนิด คงเพราะดินที่เพิ่งปั่นมันร่วนมากและยังกะน้ำหนักมือได้ไม่พอดีนัก พอย่อตัวลงจะหยิบข้าวลงหยอดเท่านั้นละ กระเป๋าใส่ข้าวที่สะพายอยู่เกิดเอียงกระเท่เร่เทเมล็ดข้าวส่วนนึงลงไปกองกับพื้นประมาณหนึ่งกำมือ โอ้ เซ็งเลยครับ เสียฤกษ์จริงๆ ต้องเก็บต้องกอบกลับเข้ากระเป๋าเสียเวลาไปเกือบๆห้านาที ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ผมปรับกระเป๋าสะพายใหม่ ระวังไม่ให้ข้าวกระฉอกออกง่ายอย่างเดิม พอจะหยอดทีก็ต้องนั่งยองๆลงทั้งตัว กันไม่ให้กระเป๋าเอียง และไม่ให้ปวดหลังมากไป แล้วดันตัวขึ้น ปักจึกลงไป หกรู นั่งลง หยอดหนึ่งสองสามสี่ห้าหก... สังเกตว่า พื้นนาไม่ได้ราบเรียบเสมอกัน รูที่ได้จึงลึกตื้นไม่เท่ากัน ในใจเริ่มลังเล ตอนนั้นไม่รู้ทำไมถึงไม่มั่นใจอย่างแรง ว่าเจ้าอุปกรณ์ลูกครึ่งนี้ไม่ได้เจ๋งอย่างที่คิดเอาไว้ ผมโยนมันขึ้นไปบนคันนาอย่างไม่ลังเล แล้วเดินไปหยิบเจ้าเสียมน้อยที่เตรียมมาด้วย ให้มาทำหน้าที่แทน ปักปลายเสียมลงทีละแถวละแถว รู้สึกไม่ได้เร็วกว่า เพียงแต่ มันเบากว่า แล้วก็ไม่อยากเดินไปเดินมาเพื่อไปเปลี่ยนอุปกรณ์อีก ก็ใช้เสียมแทนไปเรื่อยๆ พองานเดินหน้าไปประมาณสามสิบเมตร หนูตาลกับปุ้มปุ้ยเดินทางมาสบทบ แต่คงไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากให้กำลังใจ และสร้างความโกลาหล ผมก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆล่วงเข้าชั่วโมงที่สาม ลูกสมุนทั้งสองตัวเริ่มก่อกวน อาจจะหิวหรืออยากกลับบ้านหรือบลาๆๆ ทั้งสองเดินวนเวียนคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลัง หลุมรูที่ปักไว้ก็โดนเหยียบย่ำจนหารูเดิมไม่เจอ เมื่อเห็นท่าไม่ดี เลยพาเจ้าสองตัวนั้นออกมาจากสถานการณ์ ด้วยการพาไปกินน้ำในบ่อปลาใกล้ๆ ขากลับผมไม่ลืมหยิบเจ้าลูกครึ่งติดมือมาด้วย พอกลับมาถึงจุดที่ทำค้างไว้ ก็มองเปรียบเทียบพื้นที่ที่ทำเสร็จกับพื้นที่ที่เหลือ แล้วก็ใจหาย พาลคิดไปว่าหากทำงานด้วยอัตราเร็วเท่านี้ผมคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนแน่ๆกว่าจะทำเสร็จ นึกแล้วก็ท้อ ท้อแล้วก็นึกถึงตอนบอกกับคนอื่นๆว่าจะทำโน่นทำนี่อย่างโน้นอย่างนี้ เฮ้อ ไม่อยากคิดต่อ มันบั่นทอนกำลังใจยิ่งนัก ไม่มีทางเลือก ยังไงๆขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน กลับมาใช้เจ้าลูกครึ่งอีกครั้ง คราวนี้ลองใหม่ คิดว่าคงจะเร็วได้มากขึ้นอีก ปักจึก ๆ ๆ (ช้านิดนึงเพราะต้องกะระยะห่าง)สามทีสิบแปดรู แล้วนั่งลง หยอดๆๆๆๆ....ในความรู้สึกตอนนั้น มันเร็วกว่าใช้เสียมมากๆ(แหงละ)ไม่น่าเสียเวลากับการใช้เสียมเลย ผมเริ่มลุยงานอย่างแข็งขันอีกครั้งนึง ลุกๆนั่งๆอยู่อย่างนั้นทั้งวัน สรุปผมได้พื้นที่งาน3x160เมตรโดยประมาณ เย็นวันนั้นผมไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่ ในใจเริ่มชั่งน้ำหนักระหว่างปริมาณงานกับเวลาที่เสียไป กับการยอมเสียหน้าอีกครั้ง(เสียจนไม่รู้จะหาที่ไหนมาเสีย)เพื่อให้งานเสร็จทันฟ้าฝน เย็นวันนั้นเองพระพิรุณก็พร่างพรมเม็ดฝนลงมาเป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ ไม่ได้ตกหนักอะไรเท่าไหร่นัก ยังนึกโมโห ว่ามาตกอะไรกันป่านนี้ ตอนนี้อยากให้มาไม่มา หลังมื้อเย็นผมกินแคลเซียมเม็ดเพื่อบรรเทาปวดเนื้อตัวที่ต้องปวดแน่ในวันรุ่งขึ้น (เคยกินแคลเซียมเม็ดหลังทำงานหนักใช้แรงเยอะทั้งวันแบบวันนี้ แล้วรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนึกอยู่แล้วว่าไม่น่าจะเกี่ยว)

ผมตื่นขึ้นด้วยอาการปวดเมื่อยอย่างที่คาดไว้ ที่สาหัสมากก็ที่หน้าขา มันตึงจนแทบจะไม่อยากเดินไปไหน เช้าวันนั้นยังคงมีฝนปรอยๆอยู่เป็นระยะๆ ผมได้ข้อสรุปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมต้องยอมถอย เพื่อให้งานเดินหน้า ถึงแม้จะเสียหน้า ว่าแล้วก็พยายามลากสังขารยักแย่ยักยันบากหน้าไปหาพันธุ์ข้าวมาเพิ่มอีกอย่างละกระสอบ จ้าวสอบเหนียวสอบ เหมือนเดิมครับ หายากมากๆๆแต่ก็ได้มาจนได้ หลังจากเสาะหาจนได้สิ่งที่ต้องการ ผมต้องนอนพักรักษาอาการปวดเมื่อยทั้งวัน(หายซ่าไปเลย)ทั้งเจ็บทั้งอายระคนปนเป โอ้วววชีวิตน้อยๆของข้า

อีกวันให้หลัง กระบวนการต่างที่ยังค้างคาก็ถูกสะสางเสร็จสิ้นลงไป โดยมีผมให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แหะๆ แข้งขามันขัดมันข้องไปหมดครับ อย่าว่ากันเลย หากมีใครเห็นผมเดินในสองสามวันนี้อาจสงสัยว่าทำไมผมเดินแปลกๆ ถ้าได้อ่านเรื่องนี้ก็คงหายสงสัยแล้วนะครับ แล้วถ้ามีคนถามว่า ผมเข็ดไหม ตอนนี้ก็ขอเรียนตามตรงว่าเข็ด แต่วันข้างหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ขอพลังจงอยู่คู่กับคุณผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...