วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เบื้องหน้า เบื้องหลัง

คนๆนึงที่เรารู้จักเค้าดีที่สุด ผมว่าก็คือตัวของเราเองนี่แหละ นั่นคือความคิดเห็นความเชื่อของผม ข้อเท็จจริงละ เป็นอย่างไร คนที่รู้จักรู้ใจ เข้าใจเราที่สุดเป็นผู้ใดกัน
ตั้งแต่เกิดมาใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ผ่านประสบการณ์มาไม่มากไม่น้อย รู้จักผู้คนมากมายหลายหลาก ถ้าลองถามคนที่เราเคยรู้จักเรา รับรองว่า จะได้เห็นตัวเราเองในมุมที่ผู้อื่นมอง ซึ่งเค้าว่ากันว่าเที่ยงตรงกว่าเรามองตัวเองมากนัก  และยิ่งต่างสภาพแวดล้อม ต่างเวลา เราอาจแปลกใจที่เราได้เห็นว่าคนที่รู้จักเราเค้ามองเห็นเราเป็นแบบไหน มุมมองที่เราเปิดให้คนอื่นได้เห็น ที่ต่างทั้งห้วงเวลาและสภาพแวดล้อมย่อมก่อเกิดแนวคิดด้านบุคคลิกภาพของเรา ในมิติอื่นๆด้วย เฉพาะแค่ของตัวเราก็เรียกได้ว่าซับซ้อนแล้ว ยิ่งการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่ง ก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นทวีคูณ การที่มนุษย์หนึ่งคนมีสถานภาพและบทบาทหลายๆอย่างในคนเดียวกัน ย่อมมีบางครั้งที่เราแสดงออกผิดแผกไปจากสิ่งที่สังคมกำหนด หรือคาดหวังไว้ เช่นว่า ในฐานะมนุษย์หนึ่งคน เราก็สามารถมีบทบาทและสถานภาพที่หลากหลายได้ในคนๆเดียว เป็นเด็กหญิงชาย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นลูกของพ่อแม่เป็นหลาน ของน้าอา ป้าลุง ปูย่า ตายาย เป็นนักเรียนอนุบาล ของคุณครู  เมื่อโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่  เป็นพ่อแม่ ก็จะมีอาชีพการงานก็เป็นตัวกำหนดบทบาทในสังคมของคนๆนั้นอีกชั้นนึง ในขณะที่มีสถานะภาพเป็นสามี ภรรยาด้วยเช่นกัน นั้นยังไม่ได้รวมบุคลิกเฉพาะบุคคลเข้าไปด้วย เมื่ออยู่กับเพื่อนการแสดงออกจะเป็นแบบนึง กับครอบครัว จะเป็นอีกแบบนึง อยู่ที่ทำงานกับเจ้านายหรือลูกน้องก็จะแสดงออกไปตามกาละเทศะ หรือปัจจัยแวดล้อมนั้นๆ การที่จะทำให้ผู้คนที่รู้จักเค้า แล้วรู้สึกกับคนๆนั้น เกิดขึ้นได้สารพัดอย่าง รัก เกลียด ชอบ นับถือ อิจฉา คลั่งไคล้ ฯลฯ หลายครั้งที่มนุษย์เราขัดแย้งกันเองเพราะตีความและมองสิ่งๆเดียวกันในมุมที่แตกต่าง
บ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมว่ากล่าว วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ส่วนมากแล้วมักเป็นบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่อาจมาชี้แจงอะไรได้ในตอนนั้น ที่สำคัญ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่สนิทสนมอะไรกับเค้าเลย  เมื่อพูดแล้วก็แล้วไปมันไม่สำคัญหากเราไม่ใส่ใจ  การที่เราเป็นคนละเอียดอ่อนและระมัดระวังใส่ใจต่อคนที่เราพูดถึงหรือพาดพิงนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินจะทำได้ แม้เราทำไม่ได้ทุกครั้งในวงสนทนา หากมันทำให้เราเข้าใจตนเอง และคนอื่นมากขึ้น การวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินผู้อื่นจากความไม่รู้ของเราน่ามีน้อยครั้งลง เมื่อความจริงเกี่ยวกับบุคคลที่เราพาดพิงถึงนั้นปรากฏ (ส่วนมากมักจะไม่เจอความจริง) ก็คงไม่ต้องทำให้เราเปลืองความรู้สึกมากเกินไปกับเรื่องราวอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา การมานั่งคิดคำนึงถึงสิ่งที่ไม่สนับสนุนต่อการทำมาหากินนั้น ย่อมไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีนัก แม้ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์แน่ชัดว่า การไม่ทำเช่นนั้น มันจะเกิดประโยชน์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมก็ตามที ช่างเถอะมันครับ ความคิดมันพาไปนี่นา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...