วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ป้าขอโทษ นั่งไหมลูก

คุณผู้อ่านคิดว่า สาธุประดิษฐ์กับรังสิตมันไกลกันไหมครับ สำหรับผม มันไม่เคยไกลเลย


หลังจากสอบเอนทรานซ์ติดที่เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯได้อย่างเหนือความคาดหมาย ผมจำต้องย้ายนิวาสสถานจากชนบทอันห่างไกลของเมืองอุบลฯ เจ้ามาพำนักอาศัยในบางกอก ที่ถนนจันทร์ย่านสาธุประดิษฐ์ เป็นบ้านตึกสี่ชั้นในซอยเล็กๆใกล้กับศูนย์การค้าวรรัตน์ หากเดินทางโดยรถเมล์ ผมจะไปถึงโรงเรียนภายในครึ่งชั่งโมง แต่ถ้าเดินลัดตัดเข้าศูนย์การค้าวรรัตน์ มันก็จะถึงภายในครึ่งชั่วโมงเช่นกัน แฮ่! ใช่ครับ รถแม่มติดอิ๊บอ๋ายวายป่วงเลยครับ เอาเป็นว่า เดินเอาเวิร์คสุดแล้ว

หลังจากรายงานตัวและลงทะเบียนที่วิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่ก็พาผมไปฝากเนื้อฝากตัวกับป้าเจ้าของบ้านที่ผมจะไปอยู่ด้วย ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงดี สั่งเสียสั่งลากันสร็จสรรพท่านทั้งสองก็กลับอุบลฯในบ่ายวันนั้นเลย ส่วนผมก็เริ่มต้นใช้ชีวิตในเมืองหลวงเพียงลำพังตั้งแต่นั้นมา แบบเคว้งๆเหวงๆหวิวๆดีพิลึก




เคมีอุตสาหการ (เป็นคณะที่เลือกไว้เป็นลำดับที่สาม คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่178 จากคะแนนเต็ม500 ซึ่งอันที่จริง คิดว่าน่าจะสอบได้คณะที่อยู่ลำดับที่สี่มากกว่าคือ เทคโนโลยีชีวภาพ ม.วิทยาลัยศิลปากร คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้น อยู่ที่128คะแนนจากคะแนนเต็ม500 ส่วนลำดับหนึ่งที่เลือกไว้ คือ วาสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ คะแนนต่ำสุดในปีก่อนหน้านั้น อยู่ที่สามร้อยยี่สิบกว่าๆ คณะนี้อยากเรียนมาก แต่ดูคะแนนกับศักยภาพตัวเองแล้วก็ปลงครับ ไม่หวังมาก แต่ก็หวังอยู่นะ ส่วนลำดับที่สองที่เลือกไว้คือ ออกแบบนิเทศศิลป์ ม.ศิลปากร คะแนนต่ำสุดปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่ สองร้อยสามสิบกว่าๆ คณะนี้ก็หวังครับ แต่ก็รู้ตัวเอง เหมือนลำดับที่หนึ่งนั่นแหละครับ)นั่นคือสาขาวิชาที่ผมเรียน เรียนสามปีได้วุฒิ ปวส.(ใช้เวลาเรียนปรับวุฒิฯการศึกษาหนึ่งปี) ใช่ครับ มันคือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาด้านสารเคมีทั่วๆไปตลอดจน เคมีภัณฑ์ต่างๆในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่ว่านั้น มักจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเลี่ยมเสียเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่ารุ่นพี่ที่จบไป มักวนเวียนเกี่ยวข้องอยูในสายงานด้านนี้ ส่วนนึงก็มักจะไปเรียนต่อปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี วิศวกรรมอุตสาหการที่เทคโนพระจอมเกล้าบางมดกัน ขณะที่อีกส่วนนึงก็สามารถเบนเข็มไปต่อปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่เทคโนโลยีมหานครได้ด้วย เพราะที่คณะเรา มีวิชาเขียนแบบเครื่องกล และวิชาอื่นที่เป็นวิชาพื้นฐานด้านวิศวกรรมด้วย ฮ่าๆ งงใช่ไหมครับ ผมยังงงเลย ดูเส้นทางดูอนาคตน่าจะสดใสสวยหรูปูด้วยกลีบกุหลาบใช่ไหมครับคุณผู้ชม เอ๊ย คุณผู้อ่าน แหม่ ถ้ามันง่ายอย่างงั้นมันก็ดีสิครับ




สิ่งแวดล้อมใหม่ๆอะไรๆก็ดูแปลกหูแปลกตาไปซะหมด ทำเอาใจผมเป๋ไม่เป็นท่าเหมือนกัน เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมเห็นตัวเองที่เป็นคนไม่มีความมั่นคงด้านความคิดและจิตใจเอามากๆทีเดียว มีอะไรหลายอย่าง ดึงความสนใจผมออกจากการเรียนหนังสือ มันดึงดูด เย้ายวนใจให้เคลิ้บเคลิ้มเพลิดเพลินไปกับทุกๆอย่างรอบตัว อะไรหลายๆอย่างนั้น รวมเอาตัวผมเองเข้าไปด้วย




กิจกรรมเชียร์รับน้อง ระบบโซตัส เหล้า บุหรี่ รุ่นพี่ เพื่อนใหม่ สาวๆ อิสระเต็มรูปแบบในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปด ผมสนใจใคร่รู้ไปแทบทุกอย่างทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเรียน วิชาอย่างแคลคูลัสเบื้องต้น เคมีอินทรีย์ เคมีวิเคราะห์ อะไรพวกนี้ ซึ่งมันจำเป็นต้องรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อยอดในระดับที่สูงขึ้น มันก็ช่างแสนยากเย็นเกินความเข้าใจของผมเสียเหลือเกินในขณะนั้น แถมความมุมานะบากบั่นของผมมันก็มีน้อยกว่าชาวบ้านเค้าอีกด้วยสิ(ยังเคยคิดว่า หากผมตั้งใจเอาจริงเอาจังเสียตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็ต้องผ่านมันไปได้เหมือนเพื่อนๆในคลาสนั่นแหละ หึๆ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงแล้วละ)อาจารย์ เพื่อนๆรุ่นพี่หลายๆคนพยายามบอกให้เฟรชชี่อย่างพวกเรา ระมัดระวังเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆว่ามันจะส่งผลเสียต่อการเรียน ไอ้เราก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไป พูดก็พูดเถอะ ถึงไม่มีใครบอกผมก็รู้แหละ ผมก็เชื่อว่าใครๆก็รู้ แต่มันห้ามใจไม่อยู่ครับ จิตใจมันไม่พร้อมที่จะเรียนจริงๆ ผมก็อธิบายไม่ถูก ลึกๆผมอาจจะกลัวก็ได้ ถึงได้เอาความมึนเมาเป็นเสาหลักของจิตใจ แต่ผมกลัวอะไรละ หรือมันอาจจะไม่ซับซ้อนลึกซึ้งอะไรอย่างงั้นก็ได้ อาจจะแค่ใจแตก อาจจะเป็นเพราะอยู่ต่างที่ต่างถิ่น รึอาจจะเป็นอะไรก็ไม่รู้สินะ แบบว่ามันไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจจะเรียนเอาซะเลย ใจมันเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ มันมีปัจจัยหลายๆอย่างครับ สุดท้ายมันก็คงเป็นใจผมเองนี้แหละ ที่ภูมิคุ้มกันมันอ่อนไปหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว




ผมกับเพื่อนอีกคนค่อนข้างสนิทกับรุ่นพี่ครับ ก็ไอ้เพื่อนคนนี้แหละที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่ามันเป็นคนเสนองานให้ผมที่ภูเก็ต เราสองคนชื่นชอบการดื่ม ชอบการสังสรรค์ไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่เป็นอย่างมาก ถึงกับตั้งฉายาให้ตัวเองว่าเป็น"คู่หูขวางนรก" กันเลยทีเดียว ใกล้เลิกเรียนจะต้องไปหาข่าวว่ารุ่นพี่เค้าจะไปกินเหล้าที่ไหนกันบ้าง พอรู้สถานที่แน่นอน เราทั้งคู่ก็จะทำเนียนเดินผ่านวงเหล้าโดยบังเอิญ แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามความประสงค์ของเรา สร้างความเบื่อหน่ายเอือมระอา เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น......... ไม่ใช่วงเวียนชีวิต ปัดโถ่ว เอิ้กๆๆๆ เพื่อนคนอื่นๆก็ใช่ว่าไม่ดื่มไม่ดูดหรอกนะ เพียงแต่พวกนั้นมันก็สนใจเรียนเอาใจใส่มากกว่าเท่านั้นเอง เรียนอะไรตรงไหนไม่เข้าใจ มันก็นั่งติวกัน ทำแล็ป(ทดลองปฏิบัติการเพื่อดูคุณสมบัติ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ของสารเคมี เคมีภัณฑ์ต่างๆ และผลที่ได้ มาเขียนรายงานในรูปแบบสมการที่มีส่วนผสมของคณิตศาสตร์และเคมี)มันก็ลอกๆกันนะ มีเก่งๆไม่กี่คนหรอก แต่คนไม่เก่ง มันก็เอาขยันเข้าว่า เข้าหาอาจารย์เข้าหารุ่นพี่ช่วยชี้ทางชี้แนะแตะติวไป ไอ้ผมนี่ เมาค้างทุกวันเรื่องวิชาความรู้ไม่มีเข้าหัว กินเหล้ากันเองเฉพาะในห้องในรุ่นเดียวกันก็ออกบ่อยไป แรกๆมีห้ามปรามตักเตือนเองกันบ้างทั้งเรื่องเรียนเรื่องเหล้า หลังๆนี่ไม่ค่อยห้ามกันแล้ว ไปนำกันอาดหลาด เอิ้กๆๆๆ แต่ไอ้คู่หูผมกับเพื่อนๆในห้องมันยังเอาตัวรอดได้นะ ผมมันก็คงแย่กว่าเขาจริงๆแหละครับ สำหรับเรื่องสำนึกและความรับผิดชอบเนี่ย ไม่ใช่คิดไม่ได้นะครับตอนนั้น เพียงแต่มันทำอย่างที่คิดไม่ได้แค่นั้นแหละ เอิ้กๆๆๆ




จัททร์ถึงศุกร์ผมก็จะมีอีเว้นท์ดื่มกินกับรุ่นพี่รุ่นเพื่อนที่ทุ่งมหาเมฆ ส่วนเสาร์อาทิตย์ ผมจะอุทิตเวลาให้ทุ่งรังสิตครับ เรียกว่าตอนนั้นถ้าขยันเรียนเหมือนขยันกินเหล้าแล้วละก็ ป่านนี้ผมคงกลายเป็นบุคคลากรผู้ทรงคุณค่าในสายงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไปแล้วสินะเนี่ย แหม่ ก็คิวกินเหล้านี่มันแน่นเอี้ยดซะขนาดนั้นนี่น่าคุณผู้อ่าน เอิ้กๆๆๆ


เพื่อนที่รังสิต ก็เป็นพวกกันตั้งแต่เรียนมัธยมนู้นแหละครับ สำหรับเพื่อนคนนี้ ก็เรียนศิลปะที่มหา'ลัยแถวๆนั้นครับ นอกจากเหล้า สิ่งมึนเมา กับศิลปะที่เพื่อนผมเรียนแล้ว สิ่งที่ดึงดูดผมไปที่นั่นทุกๆเสาร์อาทิตย์วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกลครับ นั่นก็คือหม้อ เอ๊ย สาวๆที่พักอยู่หอเดียวกันกับเพื่อนผมนั่นเองละคร้าบ ไม่ได้ติดการกินเหล้าอย่างเดียว ยังติดสัดอีกด้วย เอิ้กๆๆๆ ครับ ไอ้ที่มีอยู่ในสถาบันเราเองก็ดันไม่สนใจใส่ใจ ดันไปสนใจอะไรอื่นไกลอย่างงั้นก็ไม่รู้ เรียนสายวิทย์แต่ไปใกล้ชิดสนิทกับสายศิลป์ อยู่ในเมืองก็ไม่ค่อยชิน ใจมันไปอินแถวปริมณฑลนู้นแน่ะ
ผมก็ใช้ชีวิตแบบนี้ทำนองนี้ไปเรื่อยๆเอื่อยๆ แค่เพียงเทอมเดียวเท่านั้น รู้เรื่องครับ เพื่อนๆรุ่นพี่เค้าเรียนกันสามปี ส่วมผมเรียนเทอมเดียวจบ จบเห่เลยละ ทำไมละ เรียนเก่งไง ถุย เอิ้กๆๆๆ จากที่เคยเสียเวลาไปแล้วหนึ่งปีตอนมัธยม ผมก็ต้องมาเสียเวลาอีกหนึ่งปีที่นี่อีก คราวนี้น่าจะซึ้งแล้วละนะ ไอ้เฮิร์บเอ้ย




มีอยู่ครั้งนึง ที่ผมมากินเหล้ากับเพื่อนที่รังสิตเหมือนอย่างเคย มาร่ำสุรากันตั้งแต่เย็นวันศุกร์ แล้วยังไงไม่รู้ละ ดันติดลมลากยาวไปจนถึงคืนวันอาทิตย์ ซึ่งปกติแล้วเนี่ย ศุกร์เสาร์พวกเราก็จะซัดซะเต็มเหนี่ยว เอาให้หน่ำใจ ตื่นมาเย็นๆวันอาทิตย์ ก็สลายตัวแยกย้ายไปพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันจันทร์ แต่สัปดาห์นั้น วงเหล้ายืดเยื้อไปจนดึก ดื่น แล้วผมก็น็อคคาวง (อีกครั้งหนึ่ง) ตอนใกล้จะหลับจำได้ว่า กำลังจะตีสาม กะว่ากินจนสว่าง(นึกว่าจะไหวทีไรเป็นน็อคทุกทีสิน่า)แล้วค่อยออกไปรอรถเมล์ กินไปคุยไปเหมือนไม่เมา แต่ดันสลบเฉยเลย ตื่นมาอีกที เก้าโมงกว่า อิ๊บอ๋ายแล้ว ซึ่งผมมีเรียนวันจันทร์สิบโมงครึ่งนี่หว่า เอาละสิทีนี้ น้ำเนิ้มไม่อาบมันแล้วครับ ผมคว้ากระเป๋าแล้วรีบกลับอย่างไว แม้เรียนไม่ทันชั่วโมงแรก ขอไปทันชั่วโมงที่สองก็ยังดี ตอนนั้นคิดแบบนั้น


ผมกระโดดขึ้นรถเมล์ปอ.29ที่กำลังแน่นเอี้ยดเข้าไปเบียดเสียดเบียดร่างกับเพื่อนร่วมทางอีกหลายชีวิต นักเรียนนักศึกษา คนทำงานต่างก็แออัดยัดเยียดอยู่ในรถปอ.เก่าๆคันนั้น สภาพของผมตอนนั้น มันดูไม่จืดเลยครับ น้ำไม่ได้อาบ ชุดนักศึกษายับยู่ยี่(ตั้งแต่วันศุกร์) ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แถมแฮ้งค์คอแห้งสุดๆ ตานี่ก็แห้งเชียว สู้แสงไม่ค่อยได้ด้วย รถเคลื่อนตัวออกจากป้ายไปซักพักเดียวเท่านั้น ก็เริ่มติดแถวๆทางเข้ามหาวิทยาลัยรังสิต แล้วก็ติดลากยาวไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้น ผมปลงแล้วละ ว่ายังไงก็ไปไม่ทันเรียนแน่นอน แต่ทำไงได้ ยังไงๆก็ต้องกลับอยู่ดี รถเมล์ก็ค่อยๆกะดึ้บๆไปทีละศอกทีละวา ตอนนั้นเค้ายังก่อสร้างทางยกระดับอยู่เลยครับ ทำให้แถวดอนเมืองนี้รถติดอย่างมหาโหดไร้มนุษยธรรม ว่ากันอย่างงั้นเลยทีเดียว พอรถเคลื่อนเข้าสู่บริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ผมเริ่มหมดแรง ง่วงและเพลียสุดๆ มือขวาโหนราวจับ ยืนพิงเบาะที่นั่ง หัวก็โยกคลอนตามจังหวะรถออกตัว เบรค โคลงเคลงไปมา สัปหงกซ้ายทีขวาที จะหลับแหล่มิหลับแหล่แต่ยังพอมีสติอยู่ ป้าคนนึงแกนั่งอยู่ฝั่งในติดกับที่ผมยืนพิงพอดี แกมองผมแบบหวั่นใจตั้งแต่ตอนผมขึ้นมายืนข้างที่นั่งแกใหม่ๆแล้วละ ไม่หวั่นได้ไง ก็สภาพเยินออกอย่างงั้นนี่น่า เอิ้กๆๆๆ
รถเคลื่อนไปเกือบจะถึงหลักสี่อยู่แล้ว มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเผลอหลับสิ้นสติสมประดีไปกลางอากาศ มือขวาที่โหนราวอยู่หลุดออกมา น้ำหนักตัวของผมทิ้งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับข้อศอกขวาของผม ก็ทิ้งดิ่งสับลงกลางกบาลของคุณป้าท่านนั้นอย่างจังเช่นกัน ยังกะจาพนมในหนังองค์บากไม่มีผิด ไม่ใช้แสตนด์อิน เล่นจริงเจ็บจริง
...........หน้าผากก็ดูโหน๊กโหนก หน้าอกไม่รู้เอามาจากไหน ประเดี๋ยวก็ "ปั่ก" เข้าให้........
 ผมสะดุ้งตื่นขึ้นในทันที เกือบจะหงายหลังอยู่แล้ว ดีที่ในรถคนมันแน่นมาก ตัวผมก็พอจะยังยืนหลังพิงผู้โดยสารคนอื่นได้อยู่ และมีมืออีกสองมือคว้าผมแขนเอาไว้ได้ทันควัน ไม่งั้นละก้อ คงได้เกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นนั้นแหละ ส่วนคุณป้าคนนั้นน่ะเหรอ แกก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติพร้อมกับเอี้ยวตัวยื่นมือทั้งสองข้างมาคว้าแขนท่อนผมของผมไว้(ใช่ครับ สองมือที่ว่าไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็คือมือของคุณป้าคนนี้นี่แหละ) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วฉับพลันอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อนจากหญิงวัยชราอย่างคุณป้าท่านนี้เลยครับ รวดเร็วแข็งแรงอย่างจอมยุทธ์ผู้มีพลังลมปราณแข็งกล้า ช่างน่าทึ่งจริงๆ แล้วแกก็เอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ว่า "ป้าขอโทษ นั่งไหมลูก" ตอนนั้นผมทั้งอึ้งทั้งอายผสมไปด้วยความงงงวยเล็กน้อย ทั้งรู้สึกผิดที่ทำร้ายแกโดยไม่ตั้งใจ รีบยกมือไหว้แล้วขอโทษขอโพยแกเสียยกใหญ่ บอกแกว่าผมไม่ได้ตั้งใจเลยซักนิด(ป้าแกอาจนึกในใจว่า ขนาดมึงไม่ตั้งใจยังล่อซะกลางกบาลกูเลย ถ้ามึงตั้งใจนี่มันจะขนาดไหน) แกก็บอกไม่เป็นไรลูก คนนี่มองกันใหญ่เลยครับ ผมนี่อยากจะหายตัวได้จริงๆเลยวินาทีนั้น แล้วแกก็กล่อมให้ผมนั่งแทนแก (สงสัยแกคงกลัวโดนอีกดอก ถ้าขืนให้ผมยืนหลับอีก เอิ้กๆๆๆ) เพราะแกบอกเห็นสภาพผมตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ว่าท่าทางจะไม่ไหว ผมก็ไม่ไหวจริงๆด้วยแหละ ผมก็อิดออดครับเกรงใจแก มีอย่างที่ไหน เอาศอกไปสับกบาลหญิงแก่เอาที่นั่ง ไอ้บักห่าเฮิร์บเอ้ย คิดแล้วไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เอิ้กๆๆๆ สุดท้าย ผมก็ต้องยอมรับน้ำใจแกไว้ครับ ก่อนนั่งก็ขอบคุณแกอีกหลายๆทีเลยครับ มันเหมือนกับไปเบ่งเอาที่นั่งกับคนแก่เลยอะ สาวๆนักศึกษา สาวออฟฟิสที่ยืนๆอยู่นี่ถึงกับเบ้ปาก ทำหน้าเหม็นขี้ใส่ผมกันยกใหญ่เชียวครับ ผมนี่โคตรอาย อายจนไม่รู้จะอายยังไง นั่งอายได้ไม่นาน ผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


 มาตื่นอีกทีตอนใกล้จะถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว คุณป้าท่านนั้นไม่อยู่แล้ว แกเป็นใครหน้าตาเป็นอย่างไร ผมก็จำไม่ได้เลย รถดูว่างมากกว่าตอนที่ผมจะหลับเยอะทีเดียว เวลาตอนนั้นน่าจะสักสิบเอ็ดโมง แดดตอนนี่แรงราวกับจะย่างไก่ให้สุกได้เลยก็ปานนั้น มันร้อนทะลุรถแอร์เข้ามาเลยครับ ได้หลับได้พักบ้างก็สดชื่นขึ้นมานิดหน่อย นี่ยังต้องต่อรถเมล์62ไปอีกไม่น้อยกว่าครึ่งชั่งโมง กว่าจะถึงที่พัก ต้องขอกลับไปซักล้างตัวเองซะหน่อย ก่อนจะย้อนกลับเข้ามาเรียนคาบบ่าย วิชาที่เรียนเช้า ผมก็ขาดไป ส่วนคาบบ่ายก็เรียนๆแบบง่วงๆเบลอๆไป พอตกเย็นก็เริ่มเงี่ยหู คอยฟังข่าว ว่าวงเหล้าของชาวคณะ เค้าจะสัญจรไปที่ไหน เพื่อจะได้ทำเนียนไปแจมเหมือนอย่างเคย แล้ววงจรอุบาทว์ก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้นอีกครั้ง ชีวิตมันช่างลั๊นลาดีแท้ ชีวิตของ*เอกอัครราชตู้ด


 สุดสัปดาห์นั้น ผมได้บทเรียนสำคัญหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมเข็ดหลาบอยู่ดี มีอีกหลายครั้งที่ความเมา(จากรังสิต) นำผมไปสู่สถานการณ์อันยากลำบากและวิกฤต ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าเพียงผมดื่มกินแต่พอประมาณ และประมาณตนเอง






แม้จะผ่านไปเกือบ20ปีแล้ว ผมก็ยังรู้สึกผิดกับคุณป้าท่านนั้นอยู่ครับ แล้วผมก็กราบขอโทษคุณป้าจากใจจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้งมา ณ ที่นี้ด้วย ขอให้คุณป้าท่านนั้นจงมีความสุขความเจริญ จากอภัยทานที่คุณป้าทานให้ผมตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนด้วยเถิด


ขอบคุณคุณผู้อ่านที่ติดตาม แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า


หมายเหตุ*เอกอัครราชตู้ด เป็นคำศัพท์ที่ไอ้เพื่อนยากผู้จากไปของผมได้บัญญัติขึ้นเมื่อสมัยที่เรายังเป็นหนุ่มกระทง มีความหมายคร่าวๆว่า " คอสุราที่ขัดสนทุนทรัพย์ มักจะไปนั่งร่วมวงดื่มกินกับผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือลัทธิทางการเมือง โดยมอบบริการในรูปแบบอารมณ์ขันและความบันเทิงเริงใจ สร้างบรรยากาศ อันน่ารื่นรมย์ให้เหมาะสมแก่การดื่มกินเป็นสิ่งตอบแทน" ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่า" ตลกแ-ก "ครับ เอิ้กๆๆๆ
อ๊ะๆ คุณผู้อ่านอย่าทำหน้าเหม็นขี้อย่างงั้นสิครับ ผมอายนะครับเนี่ย เอิ้กๆๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...