วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แด่เพื่อนผู้จากไป

สวัสดีครับคุณผู้อ่าน วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวเพื่อนของผมคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน เขาได้เสียชีวิตไปแล้วกว่าหกปี สาเหตุของการเสียชีวิตนั้น มาจากการดื่มสุรามากเกินจนตับพังนั้นเอง ผมว่าเรื่องราวของเพื่อนผู้นี้ของผม คงจะเป็นอุทาบรู๊ววว เอ้ย อุทาหรณ์ให้กับผู้ที่ชอบดื่มสุรามากเกินพอดีสำหรับผู้อ่านทุกท่านได้เป็นอย่างดี เรียกว่าหักดิบเอาจากตอนที่แล้วก็ว่าได้ ฮ่าๆ
ย้อนหลังไปเมื่อซักประมาณ ปี2533 เป็นปีที่ผมเริ่มเข้ามาเรียนในระดับมัธยมต้นในตัวจังหวัด ซึ่งห่างจากบ้านที่อยู่ต่างอำเภอของผมประมาณ 45กิโลเมตรโดยประมาณ ก็ไปเช้าเย็นกลับครับ นั่งรถประจำทางไปกลับก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงโดยเฉลี่ยต่อเที่ยว ผมรู้สึกตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ของผมมาก โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อม บทเรียนชีวิตใหม่ๆ และผมเองก็กำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยรุ่นพอดิบพอดี
ม.1รุ่นผมมีแปดห้องครับ ผมเรียนห้องม.1/7 ในห้องมีห้าสิบคน (ห้องอื่นๆก็ประมาณนี้ บวกลบประมาณสามคน)และผมก็ได้รู้จักกับไอ้เพื่อนรักของผมนี้ ที่ชั้นม.1/7แห่งนี้ นี่เอง
พวกเรานักเรียนห้อง7นั้น มีทั้งเด็กเรียนเก่งเรียนอ่อนคละกันไป ออ โดยส่วนมากนักเรียนของที่นี่จะจบป.6 ที่โรงเรียนในตัวเมืองน่าจะสักเจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นเห็นจะได้ ที่เหลือก็ดุ่มๆมาจากต่างอำเภอต่างจังหวัดบ้างเหมือนผมนี่แหละครับก็ว่ากันไป อาจารย์บางท่านชอบแซวเด็กต่างอำเภอว่า มาจากบ้านโคกอีโด่ย เป็นอันรู้กันว่าเป็นเด็กมาจากบ้านนอกไม่ประสีประสา อะไรทำนองนั้น
ช่วงชีวิตที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นนั้น นำพาให้ผมและเพื่อนหลายคนสนิทชิดเชื้อกันไปตามธรรมชาติของวัยโดยมีฉากหลังเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดมีชื่อเสียง นักเรียนที่นี่มีเปอร์เซ็นสอบเอ็นทรานซ์ติดสูงกว่าโรงเรียนไหนๆในจังหวัด ศิษย์เก่าของที่นี่ ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไป จากการที่มีพวกเขาเข้าไปอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพ มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในแวดวงสังคม พวกเราเรียนรู้ วัฒธรรมหลายๆอย่าง และซึมซับเอาความภาคภูมิใจนี้จากรุ่นสู่รุ่น ถามว่าทุกคนที่เรียนที่นี่ประสบความสำเร็จอย่างที่ว่ามาทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นหรือ ครับ ไม่แน่นอน มีไปได้สวยก็ต้องมีไปได้เสีย และอย่างที่รู้กัน ชื่อเสียงสถาบันการศึกษาไม่ได้การันตีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวบุคคลเท่านั้นเอง ผมกับไอ้เพื่อนยาก และเพื่อนๆอีกจำนวนหนึ่ง ก็ไม่ได้มีชีวิตเป็นอย่างที่เราได้ยินและเคยภาคภูมิใจแต่อย่างใด ใช่ครับ เราห่วยแตก เอิ้กๆๆ
ห้องผมมีเรื่องขึ้นชื่อเรื่องนึงครับ คือเรื่องทะเลาะวิวาท เกือบครึ่งของจำนวนนักเรียนทั้งห้องเคยตีกันมาแล้วทั้งสิ้น เกือบทั้งหมดของต้นเรื่อง เป็นเรื่องขี้หมูขี้หมาหาสาระมิได้
และตีกันก็ไม่ได้เลือดตกยางออกอะไร ต่อยกันไม่มีคนห้ามซักพักก็เหนื่อยแล้วก็เลิกกันไปเอง แต่เอาไปคุยได้ ว่าห้องกูแม่งตีกันอีกแล้ว เอิ้กๆๆ มีอีกหลายกรณี มีผู้อยู่เบื้องหลัง ครับ ห้องผมนอกจากนักมวยแล้ว ยังมีโปรโมเตอร์มือทอง มันชอบจัดมวยเด็ดๆได้ไม่แพ้โปรโมเตอร์มวยอาชีพทีเดียว เอิ้กๆๆมันจะชอบยุคนนั้นให้เกลียดนี้ ยุคนนี้ให้หักกับคนนั้น ไปบอกคนนู้นว่าไอ้คนนี้มันบอกมันเจ๋ง อย่างมึงตีสู้มันไม่ได้หรอก อะไรทำนองนี้ สารพัดคารมที่มันยกมากล่อมให้เพื่อนมาตีกันให้ดู พอนึกนึกถึงถึงตอนนั้นแล้วอยากย้อนเวลาไปตบกบาลไอ้หมอนี้สักที เอิ้กๆๆ แหมมันแสบจริง ๆ แต่ไม่ใช่ไอ้เพื่อนเกลอเจ้าของเรื่องๆนี้หรอก เกริ่นให้ฟังบรรยากาศรวมๆตอนเข้าเรียนใหม่ๆให้เห็นภาพครับ ว่า ออ ลืมบอกไป สมัยผมเรียนนั้น ม.ต้นจะเป็นชายล้วนครับเพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็นสหวิทยาตอนผมขึ้นม.6นู้นครับ ไอ้ตอนผมเรียนม.ต้นมันเลยมีแต่ตัวผู้ ห่ามๆแสบๆเจ็บๆกันทั้งนั้น ยิ่งร้อยพ่อพันธ์แม่มาเจอกันนี้ โห่ ฝนตกขี้หมูไหลกันเลยทีเดียว นี่ยังไม่พูดถึงการไปยูเนี่ยนกับจอมแสบห้องอื่นนะครับเนี่ย
ครับผมและไอ้เพื่อนยากก็เคยผ่านสังเวียนกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องมาแล้วเช่นกัน และเราก็แพ้ยับเยินทั้งคู่ เอิ้กๆๆ
ออ ผมลืมอธิบายบุคคลิกภาพโดยรวมของเจ้าของเรื่องเลย
เรื่องชื่อของมันผมขออนุญาติไม่เอ่ยถึงนะครับ เพราะผมยังไม่ได้ขออนุญาติพ่อแม่ของเพื่อนว่าจะนำมาบอกเล่าสู่คุณผู้อ่านได้ฟังกัน คืออยากเขียนก็เขียนเลย เลยขอสงวนนามไว้นะครับผม
ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันสูงซักร้อยหกสิบนิดๆถึงตอนอายุสามสิบกลางก็ประมาณนี้ เตี้ยว่างั้นเถอะ(บอกแต่แรกว่าเตี้ยก็จบ เอิ้กๆๆ) คือตัวเล็ก ผิวขาวละเอียด หน้าตาหล่อเหลาทีเดียว เสียงแหบต่ำ จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับ คิ้วหนาเรียวเชิดขึ้นด้านข้าง รับกับใบหน้ารูปไข่ของมันได้อย่างลงตัวที่สุด มีปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม ภาษาวัยรุ่นเค้าเรียด สด ใช่ปะ(บอกตรงๆไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนกับมันเท่าไหร่ แหะๆสาวๆสนใจแต่มันตลอด น้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน เอิ้กๆๆ)ที่สำคัญ มันมีเซ้นต์ทางด้านศิลปะไทยครับ ฝีมือมันไม่เบาเลย โดยเฉพาะงานจิตรกรรมและแกะสลัก ยังอายุน้อย ยังพัฒนาได้อีกไกล อันนี้ผมเสียดายปนอิจฉาครับ อยากเขียนรูปเขียนโบถ์เหมือนมันบ้าง(มันเคยบอกผมว่า เคยไปเขียนรูปในโบถ์ให้ชาวบ้านโดยไม่คิดเงินสักบาท ขอแค่มีข้าวกับเหล้ากินก็พอ แหม่ มึงจะหล่อไปไหน) มันเท่นะคุณ อะไรที่มันเป็นรากเหง้าของชนชาติเราเอง แล้วเรามีความสามารถทางนี้ด้วย มันเจ๋งอะ (ศิลปะของชาติอะ มรดกของชาติอะคุณผู้อ่านคิดดู)ถ้ามันจะเอาจริงเอาจังทางนี้ มันต้องรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นแน่แท้เทียวครับ นอกจากนั้นมันยังมีอารมณ์ขันล้นเหลือครับ กินเหล้ากะมันนี่ไม่มีเครียด นอกจากมันจะเครียดของมันเอง บทความที่แล้วที่ผมเอาวลีเด็ดมาแถที่ว่า "ก็ผมไม่ได้เป็นใบ้นี่" ผมก็ลอกไอ้หมอนี่มาละครับ มีอีกหลายมุกเลยที่ผมจำของมันไปใช้หากินเวลาป้อสาว เอิ้กๆๆ แต่ชีวิตช่วงก่อนที่มันจะจากไป มันกลับกลายเป็นไอ้ตลกฝืดไปเสียนั่น ความเฉลียวฉลาดคมคายความพริ้วของมัน หายไปไหนหมดไม่รู้ จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเหล้าอีกนั่นแหละ ผมได้แต่เสียดาย เสียดายที่ประเทศเราสูญเสียบุคคลากรที่มีความสามารถไปทางศิลปะไปก่อนวัยอันควร ถ้ามันยังอยู่ มันคงมีโอกาสสร้างสรรค์งานศิลป์ให้กับประเทศชาติได้อีกเยอะ ลืมบอกอีกเรื่องนึงครับ หลังจากที่มันไม่ได้เรียนกับพวกผมแล้ว มันก็ไปเรียนก.ศ.น.จนจบม.3 แล้วพ่อมันก็ส่งไปเรียนช่างยนต์ที่นครพนมก็เหลวเหมือนเดิมครับ ก่อนจะถูกส่งตัวไปเรียนช่างสิบหมู่ที่วิทยาลัยในวังในพระบรมราชูปถัมป์ อยุธยาและมาต่อที่ศิลปกรรมที่ราชภัฏอุบลฯ เห็นได้ชัดว่าเพื่อนผมมันชอบศิลปะมากว่าอย่างอื่น
มิตรภาพของผมและเพื่อนๆมีเหล้า บุหรี่ เสียงเพลง เป็นตัวเชื่อม ประสาน พวกเราเริ่มหัดดูดหัดดื่มกันตั้งแต่ตอนนั้น(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ)การดูดนี่จะไปดูดกันตอนเช้าก่อนเข้าแถวหรือก่อนเข้าเรียนคาบแรก และแน่นอน หลังมื้อเที่ยงด้วย ส่วนการดื่มนั้น เราก็จะหาโอกาสพิเศษอย่าง ทุกครั้งที่มีกิจกรรม นอกหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นกีฬาสี กีฬาจังหวัด การเดินทางไกล(ลูกเสือ)กิจกรรมออกร้านของนักเรียน(เกษตรแฟร์) การจัดการแข่งขันด้านวิชาการจากโรงเรียนต่างๆ เราก็ไม่เว้น เราก็จะต้องออกไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียน ด้วยการดื่มและดูดแทบจะทุกครั้งไป นี่ยังไม่นับวันเกิด วันอยากเกิด วันนู้นนี่นั่น อะไรก็ตามที่เราพอจะคิดออก และที่พอจะบอกและอ้างเหตุผลกับพ่อแม่ได้ เพื่อจะรวมตัวกัน ทำกิจกรรมอันไร้สาระนี้
นึกย้อนไปอีก ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ ก็ได้คำตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากสนุกสนาน อยากเฮฮา อยากมีตัวตน อยากทำอะไรห่ามๆหลุดโลก อยากได้การยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ก็ประมาณนี้ครับ วัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยก็คงประมาณนี้กระมังครับ อยู่ที่จะประคับประคองตัวเองได้แค่ไหน  คงเป็นเพราะความไม่คิดอะไรมากนี้เอง ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่างๆของวัยรุ่น
มีครั้งนึง เมื่อกลุ่มเพื่อนของเราสนิทแนบแน่นกันพอสมควรแล้ว พวกเราอาจหาญทำการใหญ่โดยการโดดเรียนออกไปเฉลิมฉลองวันเกิดของเพื่อนในกลุ่มกลางวันแสกๆ ที่บ้านของเพื่อนยากของผมคนนี้ อยู่นอกเมืองออกไปไม่ไกลนัก บรรยากาศเงียบสงบ หลังบ้านติดกับบึงน้ำขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยพืชพรรณ อย่างกก จอกแหน เฟิร์น หม้อข้าวหม้อแกงลิง และพืชพรรณในบึงน้ำชนิดอื่นๆอีกเยอะเลยที่ผมไม่รู้จักชื่อ นอกจากนี่ยังเต็มไปด้วยนกกินปลาหลายสายพันธุ์ที่ทำรังและหากินอยู่ระบบนิเวศอันหลากหลายนี้อีกด้วย ไงครับ บรรยากาศน่านั่งกินเหล้ามากเลยว่าไหมครับ เอิ้กๆๆๆ
ด้วยความผิดปกติของจำนวนนักเรียนที่หายไปจากชั้นเรียน เท่าที่จำได้ น่าจะแปดคน เป็นวิชาอังกฤษด้วย ผมยังจำได้แม่น จึงทำให้อาจารย์ประจำวิชาต้องร้องเรียนไปยังอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องเรา จนเกิดปฏิบัติการตามล่านักดื่มสุราวัยละอ่อนขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ในขณะที่จอห์นนี่วอลเกอร์แบล็คเลเบิ้ลพร่องลงไปยังไม่ถึงครึ่งขวด เพราะเพิ่งเวียนแก้วไปรอบเดียว และเสียงเพลงฮิตของวงอินคาจากเครื่องเสียงสเตอริโอค่ายโซนี่
ดังคลอไปกับเสียงพูดคุยเฮฮาของผองเพื่อนที่นั่งล้อมวงอยู่บนเสื่อผืนใหญ่ ทันใดนั้นเองที่มุมทางเดินห่างออกไปสักประมาณสิบหลาเห็นจะได้ อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพ่อของไอ้เพื่อนยากของผมซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ทั้งสองย่างสามขุมตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเราอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของพวกเราอยู่ดี หนึ่งในวงเหล้าละล่ำละลักตะโกนเสียงดังลั่น "เฮ้ย (ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง) มา" สิ้นเสียงตะโกนเท่านั้น ทุกคนยกเว้นไอ้เพื่อนยากของเรา ก็พุ่งทะยานออกไปจากวงเหล้าแบบจอมยุทธ์ในหนังจีนทันที (นึกสงสัยตัวเองหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวลนลานกันขนาดนั้น) ที่ตลกคือ ทางที่วิ่งหนีมันเป็นขอบคันดินแคบๆที่ทำขึ้นเพื่อกั้นบึงน้ำกับตัวบริเวณบ้าน มันทำให้วิ่งไปได้ทีละคนแบบแถวตอนเรียงเดี่ยว แล้วมีเพื่อนบางคน กลัวมากจนสติแตกเลยอยากจะวิ่งแซงไอ้คนอยู่ข้างหน้าจนวิ่งตกคันดินหัวทิ่มไปเลย ทุลักทุเล ขำไปวิ่งไป วิ่งหนีไปได้สักร้อยเมตรเศษ ก็หยุดปรึกษากันแบบหอบๆว่าเอาไงกันดี ส่วนไอ้รูปหล่อของเรามันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แถมนั่งคุยกับคุณครูและพ่อมันอย่างอารมณ์ดีไม่สะทกสะท้าน นี่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของมันอีกหนึ่งอย่าง ในยามคับขันไม่ลนลานแตกตื่น สมเป็นจอมยุทธ์ผู้ท่องมาแล้วทั่วยุทธจักร เอิ้กๆๆแล้วผู้ต้องหาทั้งหมดก็ยอมมอบตัว เพราะคิดว่า โทษหนักจะได้เป็นเบา อีกอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาของเราท่านไม่ได้เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนนักรบนอกด่านซักกะหน่อย เอิ้กๆๆและพวกเราก็คิดถูก สรุป พวกเราทุกคนก็ถูกเรียกผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของบุตรหลานของท่านที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งเรากลัวกันจริงๆ เพราะถึงเราจะเกเร แต่เราก็ไม่อยากให้พ่อแม่เราหนักใจน่ะ คือเราทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของพ่อแม่เราลงไปแล้วไง คุณผู้อ่านนึกออกไหม


เพื่อนผมคนนี้มีเพื่อนอีกกลุ่มครับ ก็ไม่เชิงเท่าไหร่ คือเขาก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมนู้นแน่ะครับ กลุ่มนี้นอกจากกิจกรรมดื่มดูด เที่ยวกลางคืนแล้วพวกเขายังชอบกิจกรรมการดมอีกด้วยครับ ไม่ใช่ดมเกงในนะคร้าบบ เอิ้กๆๆ เท่าที่ไปคลุกคลีตีโมงด้วย ผมก็ไม่คิดว่ากลุ่มนี้เค้าจะมีปัญหาชีวิตอะไรนักหนาหรอกครับ ที่ต้องหาทางออกด้วยการดมเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะถูกจริตกับความเมาด้วยการดม เท่านั้นเองก็เป็นได้ ผมก็เคยลองกับเขาบ้างเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้จริงๆครับ ทางนี้ไม่ไหวจริงๆ ผมก็เลยห่างๆออกมา วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนไปเป็นปี แล้วพฤติกรรม ความชื่นชอบก็เริ่มคัดกรองคนในกลุ่มให้เหลือแต่พวกที่ชอบอะไรเหมือนๆกันเท่านั้น ช่วงนั้นเพื่อนผมคนนี้ก็เริ่มรู้แน่แล้วว่ามันชอบความเมาแบบไหน ส่วนผมชอบเหมือนเดิม ไม่เพิ่มการดม จากมอหนึ่งขึ้นมอสอง เริ่มมีความชัดเจนว่า เพื่อนผมคนนี้ ไม่อยากมาเรียนหนังสืออีกต่อไป และออกนอกลู่นอกทางไปจนแทบจะหาทางกลับไม่เจออยู่แล้ว ไอ้ผมก็ได้แต่เฝ้าดู ฟังข่าวมันจากเพื่อนคนอื่นๆ เพราะผมเองไม่ได้อยู่ในกลุ่มของมันอีกแล้ว แล้วไอ้ผมเองก็ใช่ว่าการเรียนจะดีนักหนา จะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่ใจมันอยากรอด ก็เลยดิ้นรนถูไถจนจบม.3จนได้ ผมได้ข่าวว่ามันหนีออกจากบ้านไปกรุงเทพฯกับเพื่อนกลุ่มดมของมันตั้งแต่ม.2เทอมปลายเสียแล้ว


เป็นช่วงปิดเทอมช่วงนั้นเอง ผมมีโอกาสแวะไปถามไถ่ข่าวคราวจากพ่อแม่ของมันบ้าง ครั้งสองครั้ง ก็ทราบว่ามันยังคงใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯและยังไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วอีกสองปีต่อมา


ที่วัดเลียบ ไอ้เพื่อนยากของผมมันก็ฉายแววด้านศิลปะไทยออกมาให้ผมได้เห็นเป็นครั้งแรก เมื่อผมมีโอกาสไปนั่งดื่มและดูมันทำงาน เป็นงานแกะต้นเทียนพรรษา สำหรับงานประเพณีแห่เทียนพรรษาครับ นั่นมันน่าทึ่งมากทีเดียวกับฝีมือแกะเทียนของมัน
ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมายาวนาน และมีคนหนุ่มสาวมาสืบสานต่อ ช่างเป็นวิถีที่งดงามยิ่ง


"กูอยากตาย"มากกว่าสองครั้งที่มันได้เอ่ยขึ้นมาในวงสนทนาขณะที่นั่งดื่มกัน หลายเดือนก่อนหน้าที่มันจากจากไป ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะผมไม่คิดว่ามันจะอยากมากขนาดนั้น ช่วงนั้นผมไม่ค่อยอยากให้มันมาร่วมสังสรรเท่าไหร่ เหตุเพราะร่างกายของมันทรุดโทรมมาก ก่อนหน้าที่พวกเพื่อนๆจะค่อยๆกลับมาเจอะเจอมารวมตัวกัน ไอ้เพื่อนยากของผมก็เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นอยู่ประมาณปีสองปีทีเดียว เพราะมันไม่ยอมหยุดดื่ม ไม่ยอมฟังคำทัดทานใดๆจากใคร แม้กระทั่งพ่อแม่มันเอง จะว่าไป พวกผมเองก็มีส่วนทำให้มันกลับมาดื่มอีกเหมือนกันนะ หลังจากที่พ่อมันพาไปหาพระเกจิรูปหนึ่งและให้มันสาบานว่าจะหยุดดื่มเด็ดขาดอย่างน้อยสองปี ไม่อย่างงั้นก็จองวัดได้เลย แต่พอเจอเพื่อนๆ บ่อยๆเข้า มันก็เริ่มตบะแตก


เพื่อนในกลุ่มอีกเป็นนักดนตรีเก่าคนเปิดร้านอาหารอยู่ใกล้บ้านของไอ้รูปหล่อ และมันก็ให้โอกาสผมมาเล่นดนตรีที่ร้านนั้นด้วยครับ ก็ก๊องๆแก๊งๆไป เล่นเอามัน เล่นแค่ศุกร์เสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะความที่ร้านมันอยู่ใกล้กับบ้าน ไอ้รูปหล่อ มันจึงแวะเวียนมานั่งมาพบปะเพื่อนๆอุดหนุดที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง สมัยเรียนจากคนที่เคยเป็นตัวโจ๊ก ตัวฮาตัวป่วน มันกลายเป็นคนหงอยเศร้า ขี้น้อยใจ เล่าแต่เรื่องทุกข์ใจระบายให้ฟังบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหลือความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจให้เห็นอีกเลย เพื่อนๆก็ได้แต่ปลอบๆไป สมัยที่มันท็อปฟอร์ม ไม่มีใครฮาเกินมัน ใครที่พยายามจะหักหน้ามัน จะโดนมันตอกจนหน้าหงายกลายเป็นตัวตลกไปเลยละครับ ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจน รู้สึกกังวล แต่ก็คิดว่ามันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวมันเอง เพราะด้วยวัยและประสบการณ์ชีวิต ที่มันออกจะผ่านอะไรๆมามากกว่าผมและเพื่อนๆอีกหลายๆคนด้วยซ้ำไป เกิดคำถามขึ้นในใจผม มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของมันกันแน่ อะไร คือสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจมันที่ไม่อาจเยียวยา อะไรทำให้คนๆหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีอนาคตที่สดใสรออยู่ กลับกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นสิ้นหวังสิ้นศรัทธาในตัวเอง จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่พบคำตอบนั้น จากมาแล้วดื่มแค่น้ำเปล่า ก็ยกระดับเป็นสปาย จากสปายไปเป็นเบียร์ แล้วก็เหล้า เข้าสู่วงจรเดิม และเข้าสู่โรงหมอต่อไป
 มันคิดถึงเพื่อน มันเป็นคนรักเพื่อนรักฝูง มันคงอยากสนุกกับเพื่อน มันเป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการผลักดันให้เกิดงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนๆม.ต้นที่เรียนด้วยกันมา สุดท้าย มันก็ไม่ได้มางานที่มันพยายามจัดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ห่างหายกันไปกว่ายี่สิบปี
ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่อยากทำให้ดีกว่านี้


ในวันที่มันไป มีโทรศัพท์สายนึง เบอร์คุ้นๆโทรมาหลายสายมากๆผมรู้สึกแปลกๆ คือ จำไม่ได้ว่าเป็นเบอร์ใคร และผมรู้สึกไม่อยากรับสายนี้เลย ไม่รู้ทำไม โทรมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ซึ่งแบบว่า ถูกมะ คือโทรมาสักห้าสายนี้ก็ต้องเอะใจแล้วใช่ไหมคุณผู้อ่านว่าคนโทรมานี่ต้องมีธุระสำคัญมากๆ แต่นี้ ล่อไปสามสิบกว่าสายแน่ะ กว่าผมจะยอมรับสาย แล้วผมก็รู้ว่าทำไม ผมถึงไม่อยากรับสายนี้


แม่ของเพื่อนผมพยายามโทรมาหาผมเพื่อแจ้งข่าวการจากไปของมัน ให้ตายเถอะถึงผมจะช็อคมากที่ได้รู้ แต่ไม่ได้ผิดจากที่คาดไว้ บอกตรงๆ ผมเห็นสภาพมันครั้งสุดท้ายที่แวะไปเยี่ยมมันที่บ้านครั้งนั้น ผมก็เริ่มทำใจตั้งแต่นั้นมา ว่าถ้าหากมันยังขืนดื้อดึงดันจะดื่มต่อไป มันคงจะดื่มเป็นเพื่อนผมได้อีกไม่นานนัก เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น


ผมเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของท่านทั้งสอง พ่อแม่ของเพื่อนผมในงานพิธี ตัวเพื่อนผมมันไปสบายแล้ว แต่ทั้งสองคนนี้จะอยู่กับความเจ็บปวดนี้ไปอีกนานเท่าใด ผมไม่อยากจะจินตนาการ ผมอยากให้ท่านทั้งสองมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่แม้จะไม่มีลูกชายคนนี้ ไอ้เพื่อนยากของผมอีกต่อไปแล้วก็ตาม


หกปีผ่านไปแล้ว นึกแล้วก็ใจหาย เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เพราะรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปเร็วนี่เอง จึงทำให้ผมได้ตระหนักว่า มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ก็จงรีบๆทำเสีย ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป ได้แต่หวังว่าเพื่อนของผมจะเดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี และขอจบเรื่องราวนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าผู้อ่านจะได้อะไรบ้างจากบทเรียนชีวิตที่สรุปรวบยอดมาให้ฟังสั้นๆนี้ นี่คงเป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิตเพื่อนผมที่ผมได้รับรู้และสัมผัสมา ส่วนชีวิตในด้านอื่นๆของมัน ก็คงไม่มีความหมายสำหรับผมและเพื่อนคนอื่นๆอีกต่อไป หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกนะ ไอ้เพื่อนยาก


กุศลผลบุญอันใดอันเกิดจากบทความชิ้นนี้ ขออุทิศให้แด่ เพื่อนผู้จากไปของผมผู้นี้ด้วยครับ
 จะนี้เยอะไปไหน เอิ้กๆๆๆ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวดี มีมานานแล้วครับ

กราบสวัสดีคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดต​บล็อค​ไปนาน ผมก็ขออนุญาต​กลับมาทำหน้าที่อีกครั่งหนึ่ง สำหรับวั...